ตอนที่ 934 - มิติโกลาหล

The Divine Nine Dragon Cauldron

DND.
  ซือหยูตาเป็นประกายเขามองตรงไปยังชายชุดม่วงที่ถูกฝูงวิหคปกป้องเอาไว้
  “คิดหรือว่าเจ้าระดับหกนั่นจะสนใจชีวิตของคนฝึกสัตว์อสูรหรือตระกูลซือถูมากกว่ากัน?”
  ซือหยูถามอย่างใจเย็น
  ทั้งสามรู้ทันทีว่าซือหยูจะพูดอะไรการจับตัวชายชุดม่วงจะทำให้จ้าวเทวะระดับหกหลงกล ต่อให้เขาล้างบางตระกูลซือถูได้ คนฝึกสัตว์อสูรก็มิอาจฟื้นคืนจากความตายได้อยู่ดี
  “ถ้าจับมันไว้เราก็ถือว่าช่วยตระกูลซือถูสำเร็จ!”
  นายหญิงซือถูมีความหวังแต่ความหวังนั้นก็หายไปแทบจะทันที เพราะการบุกทะลวงวิหคหลายหมื่นตัวเข้าไปนั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้!
  ซือหยูพูดต่อ
  “ไม่จำเป็นหรอก!”
  เมื่อพูดจบซือหยูมองชายชุดม่วงและประเมินระยะห่าง จากนั้นเขารอเงียบๆให้ชายชุดม่วงเข้ามาใกล้
  เมื่อห่างกันสามร้อยลี้แสงสีม่วงได้ส่องประกายจากตาขวาของซือหยู เวลารอบตัวช้าลง
  ในสายตาที่มองเห็นนายหญิงซือถูกับคนอื่นๆไร้การเคลื่อนไหวราวกับหุ่นเชิดที่ถูกแช่แข็ง เมฆาครึ้มที่ห่างออกไปสี่ร้อยลี้ยังดูเชื่องช้าราวหอยทาก
  ปีกเพลิงแผ่สยายบนหลังซือหยูเขาพุ่งตรงเข้าใส่ชายชุดม่วงที่ใบหน้าตกตะลึง ซือหยูยิ้มเบาๆและกระชากไหล่อีกฝ่ายถอยมาถึงยานเคลือบ
  ต่อมาการเร่งเวลาได้จบลง ซือหยูกลับมาอยู่ในการไหลของเวลาปกติ นายหญิงซือถูกับคนอื่นๆเพียงเห็นว่าร่างของซือหยูแล่นผ่านราวกับหายไป จากนั้นเขาก็ปรากฏตัวอีกครั้ง
  แต่เมื่อเขาปรากฏตัวอีกครั้งเขามีชายชุดม่วงที่ถูกค้วาอยู่ในมือ ชายชุดม่วงตกตะลึง
  ทั้งสามคนที่เหลือตกใจไม่แพ้กันพวกเขามิอาจบอกได้เลยว่ามันเกิดอะไรขึ้น ราวกับว่ามิติเคลื่อนไหวในพริบตา แต่มันดูเหมือนกับวิชาประหลาดที่ไม่มีใครเข้าใจเสียมากกว่า
  “อ๊ากกกกกกกก!”
  ชายชุดม่วงกรีดร้องทุรนทุรายเมื่อฝ่ามือซือหยูซัดใส่ลำตัวจนหมดสติ
  หากคนผู้นี้เป็นผู้ฝึกสัตว์อสูรเขาจะสามารถควบคุมสัตว์อสูรได้เมื่อมีสติ การทำให้สลบเป็นหนทางที่ดีที่สุด
  นายหญิงซือหยูตกใจมาก
  “พี่ชานเหลียงรู้วิชาที่เขาใช้เมื่อครู่หรือไม่?”
  กงซุนหวูซื่อจ้องมองซือหยูและหรี่ตามองนางกำลังครุ่นคิด
  ไป่ชานเหลียงส่ายหน้าช้าๆ
  “ช้าไม่เคยเห็นหรือเคยได้ยินมาก่อน!”
  เขาจับตัวคนจากระยะหลายร้อยลี้โดยไม่ต้องใช้พลังมิติวิชานี้มันบ้าบออย่างมาก!
  ฟึ่บ!
  จากนั้นชายสวมหมวกไผ่ก็บินตามมาแต่เขาทิ้งระยะห่างกันหลายหมื่นศอกและยังไม่จู่โจม เขากลับจ้องมองซือหยูและชายชุดม่วงในมือ
  จริงอยู่ที่เขามาตามกับดักนายหญิงซือถูจึงโล่งใจ
  “เจ้ากับข้าจะต่อรองกันหรือไม่?”
  ซือหยูชี้ชายชุดม่วงในมือ
  แม้ว่าชายสวมหมวกไผ่จะไม่เปิดใบหน้าซือหยูก็สัมผัสความชิงชังอย่างเข้มข้นในสายตานั้นได้ ชายสวมหมวกไผ่พยักหน้าเงียบๆ
  ซือหยูคิด…คนผู้นี้มีความชิงชังในใจมากนัก!จะเป็นใครล่ะ?
  ตั้งแต่ที่เขาไปเมืองเทียนหยาเขาได้พบกับศัตรูมากมาย ดังนั้นเขาจึงไม่มั่นใจว่าคนตรงหน้าเขาคือใคร แต่มันก็ไม่ได้ส่งผลกับการต่อรองระหว่างกัน
  “ง่ายนักข้าจะแลกชีวิตมันกับชีวิตพวกข้า ข้าไม่คิดว่าเจ้าจะปฏิเสธหรอก…”
  ซือหยูพูด
  ชายสวมหมวกไผ่กำหมัดแน่นและทำได้แต่พยักหน้าความชิงชังเผยเห็นชัด มันลึกล้ำจนทำให้เสียวสันหลัง
  “ให้คนตระกูลซือถูหนีไปก่อน…”
  ซือหยูกล่าว
  ทั้งสองฝ่ายยินยอมคนตระกูลซือถูกลับไปที่ตระกูลทันที นายหญิงซือถูนำคนไปเก็บของสำคัญเท่านั้น จากนั้นทุกคนจึงแยกกันหนี
  “นายหญิงท่านก็ควรไปด้วย…”
  ซือหยูพูดต่อ
  นางมองคนของนางที่กำลังหนีไปไกลเมื่อลับสายตาไปแล้วจึงไร้ความกังวลอีก
  นางหันมายิ้มให้ซือหยู
  “เจ้าเพิ่งจะช่วยตระกูลซือถูเอาไว้ข้าทิ้งเจ้าตอนนี้ไม่ถือเป็นคนอกตัญญูหรือ?”
  ซือหยูยิ้ม
  “เช่นนั้นก็ได้อย่างไรท่านก็เป็นเป้าหมายของมัน เดินทางคนเดียวย่อมเป็นอันตราย”
  หลังจากพานายหญิงซือถูขึ้นยานเคลือบซือหยูหันไปมองชายสวมหมวกไผ่
  “ครึ่งชั่วโมงหลังจากพวกข้าหนีข้าจะปล่อยเจ้านี่! เจ้าอย่าบังอาจได้ตามมา”
  “แล้วถ้าเจ้าไม่รักษาคำพูดเล่า?”
  ชายสวมหมวกไผ่ถามอย่างเย็นชา
  ซือหยูเปิดหน้าปฏิญาณสัตย์ดวงใจและกล่าวคำสาบานทันที
  “ตัวประกันจะถูกปล่อยในครึ่งชั่วโมงแน่นอน”
  จากนั้นเขาจึงงขว้างปฏิญาณสัตย์ดวงใจออกไปชายสวมหมวกไผ่รับเอาไว้โดยไม่ละสายตาจากซือหยูแม้แต่วินาทีเดียว
  เมื่อทุกคนตกลงเรียบร้อยก็โล่งใจเพราะถ้าหากต้องสู้กับจ้าวเทวะระดับหกจริง พวกเขาคงไม่มีโอกาสชนะอยู่เลย!
  ซือหยูระวังตัวอยู่ในทุกขณะเมื่อทุกอย่างเรียบร้อย เขาเริ่มใช้ยานเคลือบทันที
  ฟึ่บ!
  ในตอนที่ยานเคลือบขยับลำแสงจันทร์สีม่วงได้แล่นผ่านจุดที่มันเคยอยู่ เกิดรอยไหม้เกรียมในทุกแห่งที่แสงจันทร์ผ่าน หากซือหยูช้ากว่านี้สักเล็กน้อย พวกเขาคงจะตายไปแล้ว!
  ฟึ่บ!
  ชายวัยกลางคนสวมชุดคลุมยาวพุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็วเขาขี่วิหคจ้าวเทวะระดับสี่ วิหคนี้ก็คือตัวที่หนีไปก่อนหน้า ชายวัยกลางคนได้ฝึกมันและบังคับบินกลับมา
  เขามีดวงตาาคมกริบและมีดวงจันทร์สีม่วงที่ระหว่างคิ้ว
  “อสูรจันทร์ม่วง?”
  ไป่ชานเหลียงกงซุนหวูซื่อ และนายหญิงซือถูตกใจ หลังจากเห็นว่าเป็นใครก็อุทานขึ้นมาพร้อมกัน
  ซือหยูรู้จักคนผู้นี้เช่นกันเขารีบใช้พลังปิดบังใบหน้า
  นายหญิงซือถูถาม
  “ตำหนักชิงวิญญาณเริ่มสมคบคิดกับพวกมันตั้งแต่เมื่อไหร่?”
  ตำหนักชิงวิญญาณตั้งอยู่ในชายดินแดนพรสวรค์และถูกสงสัยว่าทำเรื่องชั่วร้ายมามากกว่าหนึ่งครั้งแต่ก็ไม่มีหลักฐานที่ชัดเจนในการเอาผิด
  หรือบอกได้เลยว่าคนที่เป็นพยานนั้นไม่มีชีวิตอยู่อีกแล้ว! และถ้าหากพวกเขาได้เห็นอสูรจันทร์ม่วง นั่นก็หมายความว่าอสูรจันทร์ม่วงจะไม่ปล่อยให้พวกเขารอดชีวิต!
  “เจ้าไม่ได้ตอบโต้กับเจ้าตำหนักคงฉานอยู่หรอกรึ?ทำไมเจ้าถึงอยู่ที่นี่?”
  ชายสวมหมวกไผ่ตำหนิเบาๆ
  อสูรจันทร์ม่วงตอบ
  “ฮ่าๆๆๆได้เปรียบอยู่แท้ๆ เจ้ากลับทำเสียเรื่อง ข้ามาตามล้างตามเช็ดเรื่องของเจ้าเพื่อไม่ให้โอรสศักดิ์สิทธิ์โกรธยังไงล่ะ!”
  “เจ้าจะจัดการยังไง?เจ้าจะฆ่าเมิ่งเถียนไปด้วยเรอะ?”
  ชายสวมหมวกไผ่ถามอย่างเยือกเย็นเพราะถ้าหากการจู่โจมเมื่อครู่สำเร็จ เมิ่งเถียนจะตายไปด้วย
  อสูรจันทร์ม่วงตอบกลับ
  “ก็ใช่น่ะซี่!”
  เมื่อพูดจบเขาคว้าปฏิญาณสัตย์ดวงใจของซือหยูและเปลี่ยนมันให้กลายเป็นผุยผง
  เขาจ้องมองซือหยูและคนที่เหลือ
  “ข้าได้ยินว่าซือหยูเซี่ยนอยู่ที่นี่…เขาคือคนไหนล่ะ?”
  เขามาเพื่อตามหาซือหยูเซี่ยน!นายหญิงซือถู ไป่ชานหลาน และกงซุนหวูซื่อชักสีหน้า ทั้งสามไม่กล้ามองซือหยูเพราะกลัวอสูรจันทร์ม่วงรู้
  “โอ้…พวกเจ้าจะไม่บอกรึ?เช่นนั้นข้าขอเดา…ไม่ใช่ผู้หญิงสองคน ก็เหลือแค่สอง ถ้าข้าเดาไม่ผิด เจ้าคือไป่ชานเหลียงหรือพิษประจิมสินะ?”
  อสูรจันทร์ม่วงเดา
  จากนั้นจึงละสายตาไปหาซือหยู
  “โอ้ว่าอย่างไรล่ะ?”
  “ดี!ท่านผู้นั้นอยากเจอเจ้า ข้าที่เป็นผู้เฒ่าต้องพาตัวเจ้าไป”
  อสูรจันทร์ม่วงแววตาเยือกเย็น
  ท่านผู้นั้น?ใครกัน? ทุกคนสงสัย
  อสูรจันทร์ม่วงไม่ให้โอกาสซือหยูได้พูดจันทร์ม่วงที่หน้าผากเปล่งลำแสงออกมา
  ชายสวมหมวกไผ่กรีดร้องด้วยความตกใจ
  “เมิ่งเถียนก็อยู่กับมันนะ!”
  “ฮื่ม!ไอ้ขยะนั่น! ท่านผู้นั้นไม่ต้องการหรอก โอรสศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่ต้องการเหมือนกัน!”
  อสูรจันทร์ม่วงถอนหายใจแรง
  ชายสวมหมวกไผ่หมดคำพูดเขาค่อยๆเลิกล้มความคิดที่จะหยุด ความชิงชังในแววตาของเขาเพียงแค่เพิ่มขึ้น
  เขามองเมิ่งเถียนและกัดฟัน
  “ย่อมได้ถ้าซือหยูเซี่ยนตาย สละเมิ่งเถียนไปก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่”
  “ซือหยูเซี่ยนเตรียมตัวตาย!”
  ชายสวมหมวกไผ่แผ่จิตสังหารจำนวนมากออกมาราวกับว่าเขามีเรื่องที่ต้องการจะสะสางกับซือหยู
  ลำพังแค่ชายสวมหมวกไผ่ก็แย่แล้วแล้วยังมีอสูรจันทร์ม่วงมาอีก! ซือหยูเกินกำลังแล้ว!
  ฟึ่บ!
  เขาใช้ยานเคลือบเพื่อหนีในทันทีชายสวมหมวกไผ่กับอสูรจันทร์ม่วงไล่ตามมาติดๆ พริบตาทั้งสองฝ่ายก็เดินทางข้ามระยะหลายล้านลี้
  ซือหยูพูดอย่างเคร่งเครียด
  “หวูซื่อเอาทุกคนไปกับยานเคลือบ! พวกมันต้องการตัวข้า!”
  จากที่สองคนนั้นพูดทั้งสองอยากจะสังหารเขา ซือหยูรู้ว่าถ้าทั้งสามต้องไปด้วย ทุกคนจะเป็นอันตราย
  และถ้าหากทั้งสามหนีไปเองซือหยูก็อาจจะมีวิธีหนีเองได้ และก็ดีกว่าถ้าเขาจะเหลือไพ่ตายที่คนอื่นไม่รู้เอาไว้ใช้ตอนที่อยู่ลำพัง
  นายหญิงซือถูขบริมฝีปากแดง
  “ข้าจะอยู่กับเจ้าข้าพอจะรับมือพวกมันได้บ้าง”
  “อย่าเสี่ยงชีวิตโดยไม่มีเหตุผล!ท่านต้านพวกมันได้ไม่นาน…”
  เขาพูดต่อ
  “แล้วยานเคลือบก็ใช้ได้แค่ครั้งเดียวยิ่งพาคนไปมากก็ยิ่งใช้พลังมาก ถ้าข้าหนีคนเดียวก็มีโอกาสหนีรอดมากกว่า”
  กงซุนหวูซื่อหันมองซือหยูด้วยความแปลกในนางคิด…เวลามีอันตรายเมื่อใด เขาจะพึ่งพาได้เสมอ! เขาถึงกับเลือกเสี่ยงชีวิตตัวเองมากกว่าเป็นตัวถ่วงคนอื่น!.novel-lucky.
  นางหยุดคิดถึงตอนที่ถูกชายหนุ่มวิถีอสูรช่วยชีวิตเอาไว้ไม่ได้ทั้งสองคนนี้มีด้านที่เหมือนกัน
  นางไม่มีเวลาให้คิดมากยามเร่งด่วนเช่นนี้นางพลิกฝ่ามือเรียกยานเคลือบออกมาสามชิ้น
  “มา…เจ้าเอาไปหนึ่ง”
  นายหญิงซือถูพูดเสริม
  “ระวังตัวด้วย!”
  เมื่อพูดจบนางใช้ยานเคลือบพุ่งไปทางที่คนของนางหนีไป ไป่ชานเหลียงกับกงซุนหวูซื่อก็หนีไปเช่นกัน
  “น้องซือรอก่อนข้าจะบอกตำหนักในเดี๋ยวนี้ ข้าเชื่อว่ากำลังเสริมจะต้องมาแน่”
  ไป่ชานเหลียงบอก
  กงซุนหวูซื่อลังเลก่อนจะเบ้ปาก
  “เจ้าอย่าตายล่ะ!ถ้าเจ้าตาย พี่หวูชิงจะเป็นของชายอื่น!”
  ซือหยูประสานหมัดลาและมุ่งหน้าตรงไปยังทิศทางอื่นความเร็วของยานเคลือบนั้นเร็วจนซือหยูผ่านเขตตำหนักชิงวิญญาณมาถึงเขตกลางโดยไม่รู้ตัว
  นี่เป็นครั้งแรกที่ซือหยูเข้าใกล้เขตกลางเช่นนี้เขารู้สึกแปลกๆ เขาบินมาข้างหน้า แต่ก็ดูเหมือนมีพลังดึงเขากลับไป
  เขาจึงล้มเหลวที่จะไปต่อแม้จะพยายามหลายครั้งเขาได้แต่หยุดที่เขตของตำหนักชิงวิญญาณ
  เมื่อถึงตอนนั้นซือหยูจึงพบว่ามีพลังมิติที่ปั่นป่วนอย่างมมากด้วยเนตรวิญญาณซือหยูจึงมิอาจออกไปจากที่นี่ได้
  ตามปกติเขาจะมีเวลาข้ามพื้นที่ไปช้าๆแต่ตอนนี้เขาต้องรีบหนีศัตรู เขาจึงได้แต่เตรียมต่อสู้!
  ซือหยูมองหาพื้นที่ที่เหมาะจะต่อสู้กับศัตรู
  แต่น่าตกใจที่เขาเห็นว่าพื้นที่ที่ได้รับผลจากมิติปั่นป่วนนั้นเพิ่มระยะขึ้นไปจนถึงตำหนักชิงวิญญาณ
  “เกิดอะไรขึ้น?ทำไมถึงมีมิติโกลาหลใหญ่ขนาดนี้?”
  ซือหยูสับสนอย่างมาก
  เพราะมิติในจิวโจวนั้นมั่นคงยิ่งกว่าเฉินหลงมีเพียงอสูรเนรมิตรที่จะฉีกกระชากได้ แทบจะเป็นไปไม่ได้ที่จะเกิดมิติโกลาหลที่นี่
  หรือว่ามันคือปรากฏการรณ์ธรมชาติ?ซือหยูคิด แต่ในที่สุดเขาก็เจอที่ที่เหมาะจะต่อสู้แล้ว!
  ตู้ม!
  ยานเคลือบของซือหยูระเบิดพลังของมันสลายไป เวลาการใช้งานของมันหมดแล้ว
  ไม่นานชายสองคนก็ตามเขามาทัน
  ฟึ่บ!
  แต่ทั้งสองไม่หยุดพวกเขาพุ่งตรงเข้าหาซือหยู ในตอนนั้นซือหยูเกิดความคิด เขาบินไปยังพื้นที่โล่งด้านหน้า
  “ตายซะ!”
  หน้าผากของอสูรจันทร์ม่วงเปล่งแสงสีม่วงสว่างลำแสงจันทร์ม่วงตรงเข้าหาซือหยู แต่จู่ๆลำแสงสีม่วงก็หายไปกลางทาง!
  “ระวัง!”
  ชายสวมหมวกไผ่ดึงตัวอสูรจันทร์ม่วงกลับมาในตอนนั้นลำแสงสีม่วงได้พุ่งเข้ามาด้านหลัง มันเกือบจะฆ่าพวกเขา!
  “ที่นี่เป็นมิติโกลาหลจะใช้พลังพิเศษตามปกติไม่ได้”
  ชายสวมหมวกไผ่มองรอบๆ
  ตามทางที่พวกเขาล่าซือหยูพวกขเาสัมผัสได้ว่ามิติปั่นป่วนเป็นวงกว้าง พวกเขาไมเคยเจออะไรแบบนี้มาก่อน!
  อสูรจันทร์ม่วงตกใจมากที่สุดเพราะที่นี่อยู่ใกล้ตำหนักชิงวิญญาณ เขาออกจากตำหนักมาไม่นานและไม่พบสิ่งผิดปกติก่อนหน้านี้เลย แต่เรื่องนี้ไม่สำคัญอีกแล้ว เพราะเขาจะต้องสังหารซือหยูเซี่ยนให้จงได้
  เมื่อมีเป้าหมายเดียวพวกเขายิ่งต้องระวังในการเคลื่อนไหว พวกเขาได้แต่บินอย่างซือหยู พวกเขาถูกเปลี่ยนย้ายมาในพื้นที่หลายสิบแห่งตลอดทาง
  บางครั้งพวกเขาอยู่ไกลจากซือหยูบางครั้งก็ถูกย้ายมาใกล้ มันควบคุมไม่ได้เลย
  หลังจากไล่ตามไปสักระยะอสูรจันทร์ม่วงขมวดคิ้ว
  “บัดซบที่นี่มันอะไรกัน? ถ้าเสียเวลาต่อไป นอกจากซือหยูเซี่ยนจะสลับตำแหน่งไปแล้ว พวกเราก็ทำอะไรมันไม่ได้เลย!”
  ซือหยูตะโกน
  “เจ้าพูดถูก!เจ้าทำอะไรข้าไม่ได้ แต่ข้าน่ะทำได้!”
  ฟึ่บ!
  ซือหยูแทบไม่ต้องคิดก่อนจะเรียกมุกครามอำพันออกมามันเร็วจนน่าตกใจ
  อสูรจันทร์ม่วงเพียงแค่คิดว่ามันเป็นอาวุธลับจึงใช้หมัดต้านกลับไปโดยไม่ใช้พลังพิเศษเพราะเขาอยากจะเก็บไว้ใช้ในตอนที่บาดเจ็บ
  แต่เมื่อปล่อยหมัดเข้าใช้มุกครามอำพันชายสวมหมวกไผ่ก็ตะโกนอย่างบ้าคลั่ง
  “โอ้อย่านะ! ดึงมือกลับมา!”
  ในตอนนั้นเองเขาพุ่งเข้าไปดึงตัวอสูรจันทร์ม่วง มุกครามอำพันลอยเข้ามาเกือบจะปะทะใบหน้าพวกเขา!
  ทั้งสองกระเด็นไปด้านหลังจากแรงกระแทกที่เกือบจะรุนแรงเท่าแผ่นดินไหวอสูรจันทร์ม่วงกระอักเลือด ชายสวมหมวกไผ่เองก็เสื้อผ้าขาดเพราะแรงกระแทก
  ทั้งสองหวาดกลัวมากแม้แต่สายลมที่ผ่านใบหน้าพวกเขาก็น่ากลัว ถ้าหากพวกเขาปะทะกับมุกครามอำพันตรงๆก็คงจะตายไปแล้ว!
  ซือหยูถอนหายใจเบาๆแสงสีแดงเปล่งที่ตาซ้าย เขาเรียกมุกบาดาลกลับมา มุกบาดาลนั้นแท้จริงคืออาวุธ แต่เมื่อขาดวิชาและพลัง ซือหยูจึงทำได้แค่ขว้างมันราวกับก้อนหิน
  ยากที่เขาจะใช้พลังของมันกับจ้าวเทวะได้แต่นั่นก็แสดงให้เห็นแล้วว่ามิติโกลาหลไม่มีผลกับมุกบาดาล
  เมื่อโจมตีครั้งแรกไม่เป็นผลซือหยูเก็บมุกบาดาลและเงยหน้ามองด้านบน สิ่งที่เห็นทำให้แววตาของเขาเย็นชา
  หลังจากเสื้อผ้าของชายสวมหมวกไผ่ฉีกขาดมันก็แสดงตัวจริงของอีกฝ่ายให้เห็น…และซือหยูก็จำได้!
  เขาตะโกน
  “ข้าก็สงสัยว่าใครปลอมตัวมา!เป็นเจ้าเองเรอะ!”