DND.
ซือหยูตาเป็นประกายเขามองตรงไปยังชายชุดม่วงที่ถูกฝูงวิหคปกป้องเอาไว้
“คิดหรือว่าเจ้าระดับหกนั่นจะสนใจชีวิตของคนฝึกสัตว์อสูรหรือตระกูลซือถูมากกว่ากัน?”
ซือหยูถามอย่างใจเย็น
ทั้งสามรู้ทันทีว่าซือหยูจะพูดอะไรการจับตัวชายชุดม่วงจะทำให้จ้าวเทวะระดับหกหลงกล ต่อให้เขาล้างบางตระกูลซือถูได้ คนฝึกสัตว์อสูรก็มิอาจฟื้นคืนจากความตายได้อยู่ดี
“ถ้าจับมันไว้เราก็ถือว่าช่วยตระกูลซือถูสำเร็จ!”
นายหญิงซือถูมีความหวังแต่ความหวังนั้นก็หายไปแทบจะทันที เพราะการบุกทะลวงวิหคหลายหมื่นตัวเข้าไปนั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้!
ซือหยูพูดต่อ
“ไม่จำเป็นหรอก!”
เมื่อพูดจบซือหยูมองชายชุดม่วงและประเมินระยะห่าง จากนั้นเขารอเงียบๆให้ชายชุดม่วงเข้ามาใกล้
เมื่อห่างกันสามร้อยลี้แสงสีม่วงได้ส่องประกายจากตาขวาของซือหยู เวลารอบตัวช้าลง
ในสายตาที่มองเห็นนายหญิงซือถูกับคนอื่นๆไร้การเคลื่อนไหวราวกับหุ่นเชิดที่ถูกแช่แข็ง เมฆาครึ้มที่ห่างออกไปสี่ร้อยลี้ยังดูเชื่องช้าราวหอยทาก
ปีกเพลิงแผ่สยายบนหลังซือหยูเขาพุ่งตรงเข้าใส่ชายชุดม่วงที่ใบหน้าตกตะลึง ซือหยูยิ้มเบาๆและกระชากไหล่อีกฝ่ายถอยมาถึงยานเคลือบ
ต่อมาการเร่งเวลาได้จบลง ซือหยูกลับมาอยู่ในการไหลของเวลาปกติ นายหญิงซือถูกับคนอื่นๆเพียงเห็นว่าร่างของซือหยูแล่นผ่านราวกับหายไป จากนั้นเขาก็ปรากฏตัวอีกครั้ง
แต่เมื่อเขาปรากฏตัวอีกครั้งเขามีชายชุดม่วงที่ถูกค้วาอยู่ในมือ ชายชุดม่วงตกตะลึง
ทั้งสามคนที่เหลือตกใจไม่แพ้กันพวกเขามิอาจบอกได้เลยว่ามันเกิดอะไรขึ้น ราวกับว่ามิติเคลื่อนไหวในพริบตา แต่มันดูเหมือนกับวิชาประหลาดที่ไม่มีใครเข้าใจเสียมากกว่า
“อ๊ากกกกกกกก!”
ชายชุดม่วงกรีดร้องทุรนทุรายเมื่อฝ่ามือซือหยูซัดใส่ลำตัวจนหมดสติ
หากคนผู้นี้เป็นผู้ฝึกสัตว์อสูรเขาจะสามารถควบคุมสัตว์อสูรได้เมื่อมีสติ การทำให้สลบเป็นหนทางที่ดีที่สุด
นายหญิงซือหยูตกใจมาก
“พี่ชานเหลียงรู้วิชาที่เขาใช้เมื่อครู่หรือไม่?”
กงซุนหวูซื่อจ้องมองซือหยูและหรี่ตามองนางกำลังครุ่นคิด
ไป่ชานเหลียงส่ายหน้าช้าๆ
“ช้าไม่เคยเห็นหรือเคยได้ยินมาก่อน!”
เขาจับตัวคนจากระยะหลายร้อยลี้โดยไม่ต้องใช้พลังมิติวิชานี้มันบ้าบออย่างมาก!
ฟึ่บ!
จากนั้นชายสวมหมวกไผ่ก็บินตามมาแต่เขาทิ้งระยะห่างกันหลายหมื่นศอกและยังไม่จู่โจม เขากลับจ้องมองซือหยูและชายชุดม่วงในมือ
จริงอยู่ที่เขามาตามกับดักนายหญิงซือถูจึงโล่งใจ
“เจ้ากับข้าจะต่อรองกันหรือไม่?”
ซือหยูชี้ชายชุดม่วงในมือ
แม้ว่าชายสวมหมวกไผ่จะไม่เปิดใบหน้าซือหยูก็สัมผัสความชิงชังอย่างเข้มข้นในสายตานั้นได้ ชายสวมหมวกไผ่พยักหน้าเงียบๆ
ซือหยูคิด…คนผู้นี้มีความชิงชังในใจมากนัก!จะเป็นใครล่ะ?
ตั้งแต่ที่เขาไปเมืองเทียนหยาเขาได้พบกับศัตรูมากมาย ดังนั้นเขาจึงไม่มั่นใจว่าคนตรงหน้าเขาคือใคร แต่มันก็ไม่ได้ส่งผลกับการต่อรองระหว่างกัน
“ง่ายนักข้าจะแลกชีวิตมันกับชีวิตพวกข้า ข้าไม่คิดว่าเจ้าจะปฏิเสธหรอก…”
ซือหยูพูด
ชายสวมหมวกไผ่กำหมัดแน่นและทำได้แต่พยักหน้าความชิงชังเผยเห็นชัด มันลึกล้ำจนทำให้เสียวสันหลัง
“ให้คนตระกูลซือถูหนีไปก่อน…”
ซือหยูกล่าว
ทั้งสองฝ่ายยินยอมคนตระกูลซือถูกลับไปที่ตระกูลทันที นายหญิงซือถูนำคนไปเก็บของสำคัญเท่านั้น จากนั้นทุกคนจึงแยกกันหนี
“นายหญิงท่านก็ควรไปด้วย…”
ซือหยูพูดต่อ
นางมองคนของนางที่กำลังหนีไปไกลเมื่อลับสายตาไปแล้วจึงไร้ความกังวลอีก
นางหันมายิ้มให้ซือหยู
“เจ้าเพิ่งจะช่วยตระกูลซือถูเอาไว้ข้าทิ้งเจ้าตอนนี้ไม่ถือเป็นคนอกตัญญูหรือ?”
ซือหยูยิ้ม
“เช่นนั้นก็ได้อย่างไรท่านก็เป็นเป้าหมายของมัน เดินทางคนเดียวย่อมเป็นอันตราย”
หลังจากพานายหญิงซือถูขึ้นยานเคลือบซือหยูหันไปมองชายสวมหมวกไผ่
“ครึ่งชั่วโมงหลังจากพวกข้าหนีข้าจะปล่อยเจ้านี่! เจ้าอย่าบังอาจได้ตามมา”
“แล้วถ้าเจ้าไม่รักษาคำพูดเล่า?”
ชายสวมหมวกไผ่ถามอย่างเย็นชา
ซือหยูเปิดหน้าปฏิญาณสัตย์ดวงใจและกล่าวคำสาบานทันที
“ตัวประกันจะถูกปล่อยในครึ่งชั่วโมงแน่นอน”
จากนั้นเขาจึงงขว้างปฏิญาณสัตย์ดวงใจออกไปชายสวมหมวกไผ่รับเอาไว้โดยไม่ละสายตาจากซือหยูแม้แต่วินาทีเดียว
เมื่อทุกคนตกลงเรียบร้อยก็โล่งใจเพราะถ้าหากต้องสู้กับจ้าวเทวะระดับหกจริง พวกเขาคงไม่มีโอกาสชนะอยู่เลย!
ซือหยูระวังตัวอยู่ในทุกขณะเมื่อทุกอย่างเรียบร้อย เขาเริ่มใช้ยานเคลือบทันที
ฟึ่บ!
ในตอนที่ยานเคลือบขยับลำแสงจันทร์สีม่วงได้แล่นผ่านจุดที่มันเคยอยู่ เกิดรอยไหม้เกรียมในทุกแห่งที่แสงจันทร์ผ่าน หากซือหยูช้ากว่านี้สักเล็กน้อย พวกเขาคงจะตายไปแล้ว!
ฟึ่บ!
ชายวัยกลางคนสวมชุดคลุมยาวพุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็วเขาขี่วิหคจ้าวเทวะระดับสี่ วิหคนี้ก็คือตัวที่หนีไปก่อนหน้า ชายวัยกลางคนได้ฝึกมันและบังคับบินกลับมา
เขามีดวงตาาคมกริบและมีดวงจันทร์สีม่วงที่ระหว่างคิ้ว
“อสูรจันทร์ม่วง?”
ไป่ชานเหลียงกงซุนหวูซื่อ และนายหญิงซือถูตกใจ หลังจากเห็นว่าเป็นใครก็อุทานขึ้นมาพร้อมกัน
ซือหยูรู้จักคนผู้นี้เช่นกันเขารีบใช้พลังปิดบังใบหน้า
นายหญิงซือถูถาม
“ตำหนักชิงวิญญาณเริ่มสมคบคิดกับพวกมันตั้งแต่เมื่อไหร่?”
ตำหนักชิงวิญญาณตั้งอยู่ในชายดินแดนพรสวรค์และถูกสงสัยว่าทำเรื่องชั่วร้ายมามากกว่าหนึ่งครั้งแต่ก็ไม่มีหลักฐานที่ชัดเจนในการเอาผิด
หรือบอกได้เลยว่าคนที่เป็นพยานนั้นไม่มีชีวิตอยู่อีกแล้ว! และถ้าหากพวกเขาได้เห็นอสูรจันทร์ม่วง นั่นก็หมายความว่าอสูรจันทร์ม่วงจะไม่ปล่อยให้พวกเขารอดชีวิต!
“เจ้าไม่ได้ตอบโต้กับเจ้าตำหนักคงฉานอยู่หรอกรึ?ทำไมเจ้าถึงอยู่ที่นี่?”
ชายสวมหมวกไผ่ตำหนิเบาๆ
อสูรจันทร์ม่วงตอบ
“ฮ่าๆๆๆได้เปรียบอยู่แท้ๆ เจ้ากลับทำเสียเรื่อง ข้ามาตามล้างตามเช็ดเรื่องของเจ้าเพื่อไม่ให้โอรสศักดิ์สิทธิ์โกรธยังไงล่ะ!”
“เจ้าจะจัดการยังไง?เจ้าจะฆ่าเมิ่งเถียนไปด้วยเรอะ?”
ชายสวมหมวกไผ่ถามอย่างเยือกเย็นเพราะถ้าหากการจู่โจมเมื่อครู่สำเร็จ เมิ่งเถียนจะตายไปด้วย
อสูรจันทร์ม่วงตอบกลับ
“ก็ใช่น่ะซี่!”
เมื่อพูดจบเขาคว้าปฏิญาณสัตย์ดวงใจของซือหยูและเปลี่ยนมันให้กลายเป็นผุยผง
เขาจ้องมองซือหยูและคนที่เหลือ
“ข้าได้ยินว่าซือหยูเซี่ยนอยู่ที่นี่…เขาคือคนไหนล่ะ?”
เขามาเพื่อตามหาซือหยูเซี่ยน!นายหญิงซือถู ไป่ชานหลาน และกงซุนหวูซื่อชักสีหน้า ทั้งสามไม่กล้ามองซือหยูเพราะกลัวอสูรจันทร์ม่วงรู้
“โอ้…พวกเจ้าจะไม่บอกรึ?เช่นนั้นข้าขอเดา…ไม่ใช่ผู้หญิงสองคน ก็เหลือแค่สอง ถ้าข้าเดาไม่ผิด เจ้าคือไป่ชานเหลียงหรือพิษประจิมสินะ?”
อสูรจันทร์ม่วงเดา
จากนั้นจึงละสายตาไปหาซือหยู
“โอ้ว่าอย่างไรล่ะ?”
“ดี!ท่านผู้นั้นอยากเจอเจ้า ข้าที่เป็นผู้เฒ่าต้องพาตัวเจ้าไป”
อสูรจันทร์ม่วงแววตาเยือกเย็น
ท่านผู้นั้น?ใครกัน? ทุกคนสงสัย
อสูรจันทร์ม่วงไม่ให้โอกาสซือหยูได้พูดจันทร์ม่วงที่หน้าผากเปล่งลำแสงออกมา
ชายสวมหมวกไผ่กรีดร้องด้วยความตกใจ
“เมิ่งเถียนก็อยู่กับมันนะ!”
“ฮื่ม!ไอ้ขยะนั่น! ท่านผู้นั้นไม่ต้องการหรอก โอรสศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่ต้องการเหมือนกัน!”
อสูรจันทร์ม่วงถอนหายใจแรง
ชายสวมหมวกไผ่หมดคำพูดเขาค่อยๆเลิกล้มความคิดที่จะหยุด ความชิงชังในแววตาของเขาเพียงแค่เพิ่มขึ้น
เขามองเมิ่งเถียนและกัดฟัน
“ย่อมได้ถ้าซือหยูเซี่ยนตาย สละเมิ่งเถียนไปก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่”
“ซือหยูเซี่ยนเตรียมตัวตาย!”
ชายสวมหมวกไผ่แผ่จิตสังหารจำนวนมากออกมาราวกับว่าเขามีเรื่องที่ต้องการจะสะสางกับซือหยู
ลำพังแค่ชายสวมหมวกไผ่ก็แย่แล้วแล้วยังมีอสูรจันทร์ม่วงมาอีก! ซือหยูเกินกำลังแล้ว!
ฟึ่บ!
เขาใช้ยานเคลือบเพื่อหนีในทันทีชายสวมหมวกไผ่กับอสูรจันทร์ม่วงไล่ตามมาติดๆ พริบตาทั้งสองฝ่ายก็เดินทางข้ามระยะหลายล้านลี้
ซือหยูพูดอย่างเคร่งเครียด
“หวูซื่อเอาทุกคนไปกับยานเคลือบ! พวกมันต้องการตัวข้า!”
จากที่สองคนนั้นพูดทั้งสองอยากจะสังหารเขา ซือหยูรู้ว่าถ้าทั้งสามต้องไปด้วย ทุกคนจะเป็นอันตราย
และถ้าหากทั้งสามหนีไปเองซือหยูก็อาจจะมีวิธีหนีเองได้ และก็ดีกว่าถ้าเขาจะเหลือไพ่ตายที่คนอื่นไม่รู้เอาไว้ใช้ตอนที่อยู่ลำพัง
นายหญิงซือถูขบริมฝีปากแดง
“ข้าจะอยู่กับเจ้าข้าพอจะรับมือพวกมันได้บ้าง”
“อย่าเสี่ยงชีวิตโดยไม่มีเหตุผล!ท่านต้านพวกมันได้ไม่นาน…”
เขาพูดต่อ
“แล้วยานเคลือบก็ใช้ได้แค่ครั้งเดียวยิ่งพาคนไปมากก็ยิ่งใช้พลังมาก ถ้าข้าหนีคนเดียวก็มีโอกาสหนีรอดมากกว่า”
กงซุนหวูซื่อหันมองซือหยูด้วยความแปลกในนางคิด…เวลามีอันตรายเมื่อใด เขาจะพึ่งพาได้เสมอ! เขาถึงกับเลือกเสี่ยงชีวิตตัวเองมากกว่าเป็นตัวถ่วงคนอื่น!.novel-lucky.
นางหยุดคิดถึงตอนที่ถูกชายหนุ่มวิถีอสูรช่วยชีวิตเอาไว้ไม่ได้ทั้งสองคนนี้มีด้านที่เหมือนกัน
นางไม่มีเวลาให้คิดมากยามเร่งด่วนเช่นนี้นางพลิกฝ่ามือเรียกยานเคลือบออกมาสามชิ้น
“มา…เจ้าเอาไปหนึ่ง”
นายหญิงซือถูพูดเสริม
“ระวังตัวด้วย!”
เมื่อพูดจบนางใช้ยานเคลือบพุ่งไปทางที่คนของนางหนีไป ไป่ชานเหลียงกับกงซุนหวูซื่อก็หนีไปเช่นกัน
“น้องซือรอก่อนข้าจะบอกตำหนักในเดี๋ยวนี้ ข้าเชื่อว่ากำลังเสริมจะต้องมาแน่”
ไป่ชานเหลียงบอก
กงซุนหวูซื่อลังเลก่อนจะเบ้ปาก
“เจ้าอย่าตายล่ะ!ถ้าเจ้าตาย พี่หวูชิงจะเป็นของชายอื่น!”
ซือหยูประสานหมัดลาและมุ่งหน้าตรงไปยังทิศทางอื่นความเร็วของยานเคลือบนั้นเร็วจนซือหยูผ่านเขตตำหนักชิงวิญญาณมาถึงเขตกลางโดยไม่รู้ตัว
นี่เป็นครั้งแรกที่ซือหยูเข้าใกล้เขตกลางเช่นนี้เขารู้สึกแปลกๆ เขาบินมาข้างหน้า แต่ก็ดูเหมือนมีพลังดึงเขากลับไป
เขาจึงล้มเหลวที่จะไปต่อแม้จะพยายามหลายครั้งเขาได้แต่หยุดที่เขตของตำหนักชิงวิญญาณ
เมื่อถึงตอนนั้นซือหยูจึงพบว่ามีพลังมิติที่ปั่นป่วนอย่างมมากด้วยเนตรวิญญาณซือหยูจึงมิอาจออกไปจากที่นี่ได้
ตามปกติเขาจะมีเวลาข้ามพื้นที่ไปช้าๆแต่ตอนนี้เขาต้องรีบหนีศัตรู เขาจึงได้แต่เตรียมต่อสู้!
ซือหยูมองหาพื้นที่ที่เหมาะจะต่อสู้กับศัตรู
แต่น่าตกใจที่เขาเห็นว่าพื้นที่ที่ได้รับผลจากมิติปั่นป่วนนั้นเพิ่มระยะขึ้นไปจนถึงตำหนักชิงวิญญาณ
“เกิดอะไรขึ้น?ทำไมถึงมีมิติโกลาหลใหญ่ขนาดนี้?”
ซือหยูสับสนอย่างมาก
เพราะมิติในจิวโจวนั้นมั่นคงยิ่งกว่าเฉินหลงมีเพียงอสูรเนรมิตรที่จะฉีกกระชากได้ แทบจะเป็นไปไม่ได้ที่จะเกิดมิติโกลาหลที่นี่
หรือว่ามันคือปรากฏการรณ์ธรมชาติ?ซือหยูคิด แต่ในที่สุดเขาก็เจอที่ที่เหมาะจะต่อสู้แล้ว!
ตู้ม!
ยานเคลือบของซือหยูระเบิดพลังของมันสลายไป เวลาการใช้งานของมันหมดแล้ว
ไม่นานชายสองคนก็ตามเขามาทัน
ฟึ่บ!
แต่ทั้งสองไม่หยุดพวกเขาพุ่งตรงเข้าหาซือหยู ในตอนนั้นซือหยูเกิดความคิด เขาบินไปยังพื้นที่โล่งด้านหน้า
“ตายซะ!”
หน้าผากของอสูรจันทร์ม่วงเปล่งแสงสีม่วงสว่างลำแสงจันทร์ม่วงตรงเข้าหาซือหยู แต่จู่ๆลำแสงสีม่วงก็หายไปกลางทาง!
“ระวัง!”
ชายสวมหมวกไผ่ดึงตัวอสูรจันทร์ม่วงกลับมาในตอนนั้นลำแสงสีม่วงได้พุ่งเข้ามาด้านหลัง มันเกือบจะฆ่าพวกเขา!
“ที่นี่เป็นมิติโกลาหลจะใช้พลังพิเศษตามปกติไม่ได้”
ชายสวมหมวกไผ่มองรอบๆ
ตามทางที่พวกเขาล่าซือหยูพวกขเาสัมผัสได้ว่ามิติปั่นป่วนเป็นวงกว้าง พวกเขาไมเคยเจออะไรแบบนี้มาก่อน!
อสูรจันทร์ม่วงตกใจมากที่สุดเพราะที่นี่อยู่ใกล้ตำหนักชิงวิญญาณ เขาออกจากตำหนักมาไม่นานและไม่พบสิ่งผิดปกติก่อนหน้านี้เลย แต่เรื่องนี้ไม่สำคัญอีกแล้ว เพราะเขาจะต้องสังหารซือหยูเซี่ยนให้จงได้
เมื่อมีเป้าหมายเดียวพวกเขายิ่งต้องระวังในการเคลื่อนไหว พวกเขาได้แต่บินอย่างซือหยู พวกเขาถูกเปลี่ยนย้ายมาในพื้นที่หลายสิบแห่งตลอดทาง
บางครั้งพวกเขาอยู่ไกลจากซือหยูบางครั้งก็ถูกย้ายมาใกล้ มันควบคุมไม่ได้เลย
หลังจากไล่ตามไปสักระยะอสูรจันทร์ม่วงขมวดคิ้ว
“บัดซบที่นี่มันอะไรกัน? ถ้าเสียเวลาต่อไป นอกจากซือหยูเซี่ยนจะสลับตำแหน่งไปแล้ว พวกเราก็ทำอะไรมันไม่ได้เลย!”
ซือหยูตะโกน
“เจ้าพูดถูก!เจ้าทำอะไรข้าไม่ได้ แต่ข้าน่ะทำได้!”
ฟึ่บ!
ซือหยูแทบไม่ต้องคิดก่อนจะเรียกมุกครามอำพันออกมามันเร็วจนน่าตกใจ
อสูรจันทร์ม่วงเพียงแค่คิดว่ามันเป็นอาวุธลับจึงใช้หมัดต้านกลับไปโดยไม่ใช้พลังพิเศษเพราะเขาอยากจะเก็บไว้ใช้ในตอนที่บาดเจ็บ
แต่เมื่อปล่อยหมัดเข้าใช้มุกครามอำพันชายสวมหมวกไผ่ก็ตะโกนอย่างบ้าคลั่ง
“โอ้อย่านะ! ดึงมือกลับมา!”
ในตอนนั้นเองเขาพุ่งเข้าไปดึงตัวอสูรจันทร์ม่วง มุกครามอำพันลอยเข้ามาเกือบจะปะทะใบหน้าพวกเขา!
ทั้งสองกระเด็นไปด้านหลังจากแรงกระแทกที่เกือบจะรุนแรงเท่าแผ่นดินไหวอสูรจันทร์ม่วงกระอักเลือด ชายสวมหมวกไผ่เองก็เสื้อผ้าขาดเพราะแรงกระแทก
ทั้งสองหวาดกลัวมากแม้แต่สายลมที่ผ่านใบหน้าพวกเขาก็น่ากลัว ถ้าหากพวกเขาปะทะกับมุกครามอำพันตรงๆก็คงจะตายไปแล้ว!
ซือหยูถอนหายใจเบาๆแสงสีแดงเปล่งที่ตาซ้าย เขาเรียกมุกบาดาลกลับมา มุกบาดาลนั้นแท้จริงคืออาวุธ แต่เมื่อขาดวิชาและพลัง ซือหยูจึงทำได้แค่ขว้างมันราวกับก้อนหิน
ยากที่เขาจะใช้พลังของมันกับจ้าวเทวะได้แต่นั่นก็แสดงให้เห็นแล้วว่ามิติโกลาหลไม่มีผลกับมุกบาดาล
เมื่อโจมตีครั้งแรกไม่เป็นผลซือหยูเก็บมุกบาดาลและเงยหน้ามองด้านบน สิ่งที่เห็นทำให้แววตาของเขาเย็นชา
หลังจากเสื้อผ้าของชายสวมหมวกไผ่ฉีกขาดมันก็แสดงตัวจริงของอีกฝ่ายให้เห็น…และซือหยูก็จำได้!
เขาตะโกน
“ข้าก็สงสัยว่าใครปลอมตัวมา!เป็นเจ้าเองเรอะ!”