ภาคที่ 4 บทที่ 118 เฝ้าระวัง

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 118 เฝ้าระวัง

ใกล้กับทะเลทรายหงส์เดียวดาย

ที่นี่เชื่อมทุ่งหญ้าฮาเหวยเข้ากับที่ราบดินเยือกแข็ง ไปไกลออกไปทางทิศตะวันออกอีกจะเป็นเขตมรณาอันเลื่องชื่อ

บนทวีปต้นกำเนิดมีหลายที่ที่ไม่อาจใช้ชีวิตอยู่ได้ เขตมรณาก็คือหนึ่งในนั้น

สถานที่ไร้ชีพเช่นที่นี่มีมานานนับหมื่นปี ตลอดเวลาที่ผ่านมา ไม่เคยมีสิ่งมีชีวิตใดเข้ามาในเขตมรณาแล้วรอดชีวิตออกไปได้มาก่อน

เมื่อราชวงศ์เทพสวรรค์บีบให้เผ่าคนเถื่อนถอยไปยังที่รกร้างเยือกแข็ง พวกเขาเคยคิดจะผ่านเขตมรณา จะได้ตีทัพมนุษย์จากด้านหลังได้ และอาจนำชัยชนะมาอย่างน่าอัศจรรย์

หากแต่ก็ล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง ทหารเผ่าคนเถื่อน 2 แสนนายเข้าเขตมรณาไป แต่กลับมาเพียงพันกว่าคน

เผ่าคนเถื่อนที่โชคดีรอดมาได้ ในที่สุดก็บอกกล่าวสิ่งที่อยู่ในเขตมรณาให้ได้รับรู้

เทพอสูรบรรพกาล

มันหลับอยู่ใจกลางเขตมรณา ทำลายทุกสิ่งมีชีวิตที่กล้าเข้าไปรบกวนมันจนสิ้น

นับแต่นั้นมา ก็ไม่มีใครกล้าเข้าไปท้าทายยังพื้นที่ดำมืดที่ฉายกลิ่นอายความตายนั่นอีก

เส้นทางสู่เขตมรณานั้นไม่ถือว่าเป็นเส้นทางในแดนเผ่าคนเถื่อนในสายตามนุษย์ด้วยซ้ำ นั่นก็เพราะตามหลักการของพวกเขาแล้ว มันไร้หนทางเลยต่างหาก !

ทว่าเรื่องในวันนี้กลับต่างออกไป

ทัพมนุษย์กำลังเคลื่อนเข้าใกล้เขตนั่นจากระยะไกล

พวกเขาเคลื่อนกายเงียบเชียบ แม้จะมากันหลายคน แต่ก็ไร้เสียงเอะอะ เห็นได้ชัดว่าเป็นทัพแกร่งที่มีความสามัคคีสูง

ฉือไคฮวงนั่งบนหลังม้าหนังพันลี้ มองพื้นที่มืดสนิทด้านหน้านิ่ง มองจากที่ไกลแล้วก็ดูราวกับปากขนาดใหญ่ที่รอกลืนสิ่งใดก็ตามที่คิดย่างกรายเข้าไป

ตอนนี้กองทัพกำลังสวรรค์ซึ่งมีทหารนับหมื่นกำลังหมายจะท้าทายพื้นที่แห่งความตายนั่น

“ไม่ว่าจะสำเร็จหรือไม่ อย่างไรเราก็คงอยู่ในหน้าประวัติศาสตร์แล้ว” ฉือไคฮวงถอนใจ

“หากล้มเหลว เดี๋ยวเดียวก็จบ ข้ายังรู้สึกว่าให้หันกลับไปฆ่าสังหารให้สมใจยังจะดีกว่า” เฉิงเถียนไห่พึมพำ

“หุบปากเถอะเจ้าบ้านี่ เจ้าไม่ห่วงชีวิตตนเองได้ แต่จะทำกับพวกทหารอย่างนั้นไม่ได้ อีกทั้งในพวกเราอย่างไรก็ต้องมีพวกที่รอดออกไป จะได้บอกทุกอย่างกับเบื้องบนได้” ฉู่อิงหว่านตอบเสียงขุ่น

“น่าเสียดายที่เราไม่มีราชันแห่งฝัน ไม่เช่นนั้นคงไม่น่าปวดหัวเช่นนี้” หลินเฉ่าเซวียนกล่าว

“ทหารก็จนกันทั้งนั้น มีใครรวยพอจะซื้ออำนาจขั้นนั้นบ้าง ?” หลี่ฉงซานหัวเราะ

จ่ายหินพลังต้นกำเนิดนับร้อยล้านเพื่อซื้อตำแหน่งมายาในแดนฝัน นับว่าเกินกว่าทหารผ่านศึกเหล่านี้จะเอื้อมถึงไปสักหน่อย

“ก็จริง น่าเสียดายนะเหล่าฉือ ! เจ้าเอาเงินมอบให้ศิษย์หมดเลย ไม่เช่นนั้นก็คงถึงระดับราชันแห่งฝันแล้ว” กัวเหวินฉางว่า

ฉือไคฮวงตอบเสียงเรียบ “ข้าเป็นราชันแห่งฝันก็ไร้ประโยชน์ พวกเขาไม่ให้เราส่งออกข้อมูลอยู่ดี คนที่จะได้ประโยชน์จากการต่อสู้พวกนี้คือเจ้าแดนฝันต่างหาก”

“อย่าห่วงเลย แผนการอันงดงามของข้าต้องสำเร็จแน่” ตาเรียวยาวของจวินโม่เสียส่องประกายตื่นเต้นยามมองความมืดเบื้องหน้า “เราผ่านเขตมรณากลับบ้านไปเมื่อไหร่ ย่อมถูกขนานนามว่าเป็นวีรบุรุษ นี่ข้าได้ยินเสียงโห่ร้องสรรเสริญแล้วเนี่ย”

“มั่นใจเสียเกินตัวเสียจริง” ฉู่อิงหว่านมุ่นคิ้วแล้วเอ่ยเสียงหยัน

“เจ้าจะรู้อะไร ?” จวินโม่เสียตวัดสายตาร้ายมองฉู่อิงหว่าน

“เอาล่ะ ๆ หยุดเถียงกันได้แล้ว พวกเราถึงทางเข้าแล้ว ทุกคนลงจากหลังม้าพักสักหน่อย ส่งหน่วยสอดแนมไปดูพื้นที่โดยรอบ จะได้เตรียมตัวให้ดีที่สุด อย่าให้มีเสียงหรือไฟ เราใช้แรงมากมายกว่าจะมาถึงนี่ได้ จะให้มาล้มตรงนี้ไม่ได้” หลี่ฉงซานเอ่ย

ในฐานะผู้นำกองทัพกำลังสวรรค์ คำของเขาก็คือคำของกองทัพ ทุกคนตกลง จากนั้นก็เริ่มบังคับกองทหารตนไป

หากแต่หน่วยสอดแนมเพิ่งออกไปก็กลับมา ร้องเตือนขึ้นว่า “เรือเคลื่อนเมฆาลำหนึ่งกำลังมุ่งหน้ามา !”

อะไรนะ ?

ทุกคนชะงักไป

เผ่าคนเถื่อนล่วงรู้การเคลื่อนไหวแล้วหรือ ? เร็วเช่นนี้ได้อย่างไรกัน ?

“เดี๋ยวก่อน เจ้าบอกว่าเรือเคลื่อนเมฆาหรือ ?” ฉือไคฮวงถามทหารสอดแนม

“ขอรับ ! เนตรสอดแนมสวรรค์เห็นกับตา เรือเคลื่อนเมฆาลำหนึ่งกำลังมุ่งหน้ามาทางพวกเรา ไม่นานจะถึงแล้ว ให้ยิงดีไหมขอรับ ?” ทหารหน่วยสอดแนมตอบ

“เผ่าคนเถื่อนมีเรือเคลื่อนเมฆาได้ยังไง ?” กัวเหวินฉางเองก็รับรู้ถึงความขัดแย้งข้อนี้

เผ่าคนเถื่อนมีกองกำลังทางอากาศของตนเอง พวกเขาใช้มังกรบินมีพิษชนิดหนึ่งที่ทรงพลังเป็นพาหนะ เคราะห์ดีที่พวกมันมีไม่มากเพราะทำให้เชื่องยาก ดังนั้นจึงพบเห็นได้ยากเช่นกัน

“หรือจะเป็นเพื่อนมนุษย์ ?” หลินเฉ่าเซวียนพึมพำขึ้น

“มนุษย์หน้าไหนจะกล้าบินผ่านน่านฟ้าของเผ่าคนเถื่อนกัน ?” หลี่ฉงซานถอนใจ

ท้องฟ้าไม่เคยสงบ มีอสูรกายบินได้น่าผวาอยู่ที่ฟ้าสูง กระทั่งน่านฟ้าสูงเหนือเผ่าใหญ่ทั้งห้าก็ยังเป็นเขตแดนของพวกอสูรกายหากแต่อสูรกายเหล่านี้ไม่ลงมาง่าย ๆ และห้าเผ่าใหญ่ก็ไม่ขึ้นฟ้าไปง่าย ๆ เช่นกัน

เผ่ามนุษย์เองก็ยังอยู่ดี ทุก ๆ ปีมีการกวาดล้างอสูรกายที่น่านฟ้าสูงบ้าง เพื่อทำให้น่านฟ้าตนปลอดภัย กลับกัน พวกเผ่าคนเถื่อนปล่อยให้อสูรกายทำตามใจชอบ เพราะถือว่าช่วยป้องกันทัพมนุษย์ให้ได้

ด้วยเหตุนี้กองทัพกำลังสวรรค์จึงไม่คิดจะใช้การเดินทางผ่านอากาศเพื่อกลับแดนเลย ไม่ใช่เพียงหลาย ๆ คนบินไม่เป็น แต่เป็นเพราะการบินบนน่านฟ้ามันอันตรายมากต่างหาก

หากแต่เรือเคลื่อนเมฆาลำนี้กลับบินเข้ามาใกล้ไม่สนสิ่งใด ทำให้ทุกคนตะลึงไม่น้อย

“ไปดูเถอะ !” หลี่ฉงซานเอ่ย

วีรบุรุษทั้งเจ็ดแห่งทัพกำลังสวรรค์เริ่มมุ่งหน้าไปยังทิศนั้น

บนเนินเขา เนตรสวรรค์ตั้งอยู่บนนั้น นับเป็นวิธีสืบหาข้อมูลหนึ่งของมนุษย์ มันสามารถสังเกตเป้าหมายได้จากระยะไกล ทั้งยังมองการเร้นกายขนานใหญ่ที่ใช้ในกองทัพออกอีกด้วย

หลี่ฉงซานแหงนมองฟ้าเล็กน้อย ใช่แล้ว เรือเคลื่อนเมฆาลำหนึ่งกำลังเคลื่อนเข้ามาจริง ๆ

ที่ด้านหน้าเรือเคลื่อนเมฆานั้นเปิดอยู่ ทำให้เห็นคนด้านในอย่างชัดเจน

และเพราะเข้าใกล้มาเรื่อย ๆ แล้ว หลี่ฉงซานจึงเห็นเงาร่างด้านในชัดเจน เขาร้องขึ้น “เป็นมนุษย์”

“มนุษย์ ?”

“มนุษย์จริงหรือ ?”

“เป็นไปได้หรือ ? ทำไมถึงมีคนขับเรือเคลื่อนเมฆามาตรงนี้ในตอนนี้ได้ ?”

“ระวังด้วย ! อาจเป็นมนุษย์ทรยศที่ทำงานให้เผ่าคนเถื่อน”

“เอาอย่างไรดี ? ยิงดีหรือไม่ ? เรือเคลื่อนเมฆานั่นเร็วมาก ไม่นานก็จะถึงขอบเขตที่มองเห็นเราได้แล้ว”

พวกเขาเริ่มถกเถียงกันเองระหว่างดูเรือเคลื่อนเข้ามา

หากมนุษย์บนเรือเคลื่อนเมฆาเป็นพวกทรยศ เช่นนั้นแผนการก็จะถูกเปิดเผยทันทีที่อีกฝ่ายเห็นกองทัพ

“ยิงเลย !”

“ยิงเลย !”

“ยิงเลย !”

ทุกคนเริ่มร้องออกมา

เพราะเรื่องนี้เกี่ยวพันถึงความปลอดภัยของทั้งกองทัพ ในตอนนี้ทุกคนจึงยอมสังหารคนบริสุทธิ์มากกว่าจะปล่อยให้ลอยนวล

เป็นตอนนั้นเองที่ถึงตาฉือไคฮวง

เขาแหงนหน้ามองฟ้า ก่อนร่างจะสะท้าน “ซูเฉิน !”

“อะไรนะ ?” ทุกคนอึ้งไป ไม่แน่ใจว่าชื่อซูเฉินหมายความว่าอะไร

ฉือไคฮวงตะโกนเสียงดังลั่น “ศิษย์ข้าเอง ! เขาเป็นศิษย์ข้า ! เขามาช่วยพวกเรา !!!”