บทที่ 400.2 ของขวัญ

กระบี่จงมา! Sword of Coming

เหวยเลี่ยงยิ้มบางๆ กล่าวว่า “คนดีถูกรังแก ก็จะไม่เป็นคนดีแล้วหรือ? คนชั่วย่อมไม่มีจุดจบที่ดี ก็จะไปเป็นคนเลวแล้วอย่างนั้นหรือ? วิญญูชนหลอกได้ด้วยวิธีการที่สมเหตุสมผล ก็รู้สึกว่าต้องรังแกวิญญูชนแล้วอย่างนั้นหรือ? แบบนี้ไม่ถูกต้อง”

“เพียงแต่ว่าหากจะพูดถึงความดีความเลวของคน เป็นเรื่องที่ซับซ้อนเกินไป ต่อให้แน่ใจว่าผิดหรือถูก แต่จะจัดการอย่างไรก็ยังเป็นปัญหาใหญ่เทียมฟ้า ก็เหมือนความขัดแย้งบนเรือข้ามฟากในวันนี้ หากคนหนุ่มที่สะพายกระบี่ผู้นั้นอดทนใช้เหตุผลมาพูดคุยกับคนกลุ่มนั้น แล้วพวกเขาจะฟังหรือ? แม้ปากจะบอกว่าฟัง แต่ในใจยอมรับหรือไม่? ถ้าอย่างนั้นพูดหรือไม่พูดจะมีความหมายอะไร? เพราะสิ่งที่คนกลุ่มนั้นเต็มใจฟังหาใช่หลักการเหตุผลที่แท้จริงไม่ แต่เป็นเพราะสถานการณ์ในตอนนี้พาไป เมื่อสองฝ่ายต่างคนต่างแยกย้ายกัน สันดอนขุดได้สันดานขุดยาก ทุกอย่างก็ยังคงเป็นเหมือนเดิม ไม่แน่ว่าการที่นั่งลงพูดคุยกันด้วยเหตุผลดีๆ อาจจะกลับกลายเป็นว่าทำให้ตัวเองต้องเสียเปรียบ…ช่างเถิด ไม่คุยเรื่องพวกนี้แล้ว พวกเรามองทะเลเมฆให้สบายใจดีกว่า”

อันที่จริงบทสนทนาครั้งนี้เป็นเหวยเลี่ยงที่พูดคุยกับตัวเองมากกว่า เขายิ่งไม่คาดหวังว่าแม่นางน้อยจะฟังเข้าใจ

ในความเป็นจริงแล้ว ต่อให้เปลี่ยนมาเป็นพ่อแม่ของหยวนเหยียนซู่ที่มานั่งฟังก็ยังไม่มีประโยชน์อยู่ดี ใช่ว่าฟังไม่เข้าใจ แต่เพราะรู้สึกว่าวิถีบนโลกก็เป็นเช่นนี้ พูดคุยเรื่องพวกนี้ยังไม่น่าสนใจเท่าคุยเรื่องหลักการอันลี้ลับซับซ้อนที่อยู่ห่างไกลจากพื้นดินหมื่นลี้เลย

เมื่อสองร้อยปีก่อนเหวยเลี่ยงก็เป็นเซียนดินคนหนึ่งแล้ว แต่เพื่อผลักดันความรู้ของตัวเองจึงคิดจะถ่ายโอนผ่านขนบธรรมเนียมประเพณีของหนึ่งแคว้น ขณะเดียวกันก็นำมาเป็นการบรรลุมรรคาและโอกาสในการพิศมรรคาของตนด้วย ดังนั้นตอนนั้นเขาจึงเปลี่ยนชื่อเป็น ‘เหวยเฉียน’ มาเยือนทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของแจกันสมบัติทวีป ช่วยไท่จู่สกุลถังแคว้นชิงหลวนบุกเบิกแคว้น หลังจากนั้นก็ประคับประคองช่วยเหลือฮ่องเต้สกุลถังรุ่นแล้วรุ่นเล่าก่อตั้งกฎหมาย ก่อนจะมีงานโต้วาทีพุทธเต๋าครั้งนี้เกิดขึ้น เหวยเลี่ยงไม่เคยใช้สถานะผู้ฝึกตนเซียนดินของตัวเองไปเล่นงานขุนนางในราชสำนักและผู้ฝึกตนมาก่อน

เมื่อเป็นเช่นนี้เขาจึงไม่เพียงแต่เหนื่อยทั้งกายเหนื่อยทั้งใจ ความก้าวหน้ายังเป็นไปอย่างเชื่องช้า ถึงขั้นที่ว่าในช่วงเวลาระหว่างฮ่องเต้สองยุคเขายังต้องเดินย้อนกลับมาทางเดิมเป็นระยะทางช่วงใหญ่

นี่ทำให้เหวยเลี่ยงผิดหวังอย่างมาก

สุดท้ายเหวยเลี่ยงจากไปด้วยรอยยิ้ม เพียงแต่เตือนแม่นางน้อยว่าให้เก็บเรื่องจดหมายและเรื่องจวนผู้บัญชาการไว้เป็นความลับ

หลังจากที่เงาร่างของเหวยเลี่ยงหายไป พ่อแม่ของหยวนเหยียนซู่และเค่อชิงของตระกูลถึงเดินมาหยุดอยู่ข้างกายเด็กหญิง เริ่มถามถึงรายละเอียดบทสนทนาของทั้งสอง

แม่นางน้อยไม่กล้าปิดบัง แต่ตอนแรกนางก็อยากรักษาความลับเรื่องที่รับปากกับอาจารย์ท่านนั้นว่าจะไม่พูดถึงเรื่องจวนบัญชาการและจดหมาย

เพียงแต่หลุดปากบอกออกไปโดยไม่ทันระวัง ทำให้เค่อชิงผู้เฒ่าของตระกูลจับเบาะแสได้ เขาหลอกถามนางด้วยสีหน้าเมตตาอ่อนโยนแต่กลับซุกซ่อนความนัยลี้ลับเอาไว้ หยวนเหยียนซู่คิดไม่ตกอยู่นาน แต่ก็ไม่อาจต้านทานการซักถามอย่างกระตือรือร้นจากพ่อแม่ได้ จึงได้แต่พูดออกมาอย่างหมดเปลือก

เค่อชิงผู้เฒ่าดีใจสุดขีด หันไปกระซิบกับชายวัยกลางคนลัทธิขงจื๊อเบาๆ บอกว่าคนผู้นั้นต้องเป็นผู้ฝึกตนที่ถวายการรับใช้อยู่ในจวนผู้บัญชาการใหญ่อย่างแน่นอน! ไม่แน่ว่าอาจเป็นคนดังที่อยู่ข้างกายผู้บัญชาการใหญ่เหวยเลี่ยงก็เป็นได้!

ตระกูลหยวนโชคดีแล้ว!

เค่อชิงผู้เฒ่าตระกูลหยวนกำชับชายลัทธิขงจื๊อผู้นั้นอีกว่า นิสัยของพวกเทพเซียนบนภูเขายากจะคาดเดา ไม่อาจใช้หลักเหตุผลทั่วไปมาประเมินได้ ดังนั้นห้ามวาดงูเติมหางอย่างการไปเยี่ยมเยือนถึงบ้านเพื่อขอบคุณอะไรเด็ดขาด ห้ามเด็ดขาดเชียว ตระกูลหยวนแค่ทำเป็นว่าไม่รู้อะไรก็พอ

สองสามีภรรยาปลาบปลื้มดีใจอย่างถึงที่สุด

มีเพียงแม่นางน้อยที่เต็มไปด้วยความละอายใจต่อเทพเซียนท่านนั้น นางนั่งยองอยู่ข้างราวรั้ว รู้สึกหดหู่เล็กน้อย

เหวยเลี่ยงที่เดินจากไปไกลแล้วถอนหายใจหนึ่งที

เรื่องเล็กแค่นี้ไม่อาจทำให้เหวยเลี่ยงผิดหวังได้ ยิ่งไม่รู้สึกเสียใจภายหลัง แค่ไม่มีความปิติยินดีก็เท่านั้น วันหน้าหากตระกูลหยวนที่ถือว่าเป็นแค่ตระกูลลำดับรองของเมืองหลวงแคว้นชิงหลวนเจอกับปัญหา ต่อให้จดหมายฉบับนั้นส่งไปไม่ถึงจวนผู้บัญชาการ เขาเหวยเลี่ยงก็ยังจะลงมือช่วยเหลือครั้งหนึ่ง

แต่แม่นางน้อยที่ชื่อว่าหยวนเหยียนซู่ผู้นั้นก็ได้สูญเสียโชควาสนาของตระกูลเซียนที่สามารถเหยียบย่างไปบนเส้นทางของการฝึกตนแล้ว

เพียงแต่เหวยเลี่ยงก็รู้ด้วยว่า สำหรับหยวนเหยียนซู่แล้ว นี่อาจจะไม่ใช่เรื่องเลวร้ายจริงๆ เสมอไป

การที่ได้มีชีวิตอย่างสงบสุขมั่นคงอยู่บนโลกก็ถือว่าไม่ง่ายแล้ว

ขึ้นเขามาฝึกตน กลายเป็นผู้ฝึกลมปราณ หากเริ่มงัดข้อกับสวรรค์เมื่อไหร่ ไม่พูดถึงความดีความเลวของคน แต่ขอแค่เป็นคนที่ไม่มีจิตมุ่งมั่นก็ยากที่จะได้พบจุดจบที่ดีในบั้นปลายชีวิต

……

เฉินผิงอันจูงมือเผยเฉียนกลับไปยังห้องบนเรือ

วันนี้เผยเฉียนบอกว่าตัวเองจะคัดตัวอักษรห้าร้อยตัวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

เฉินผิงอันไม่ได้ขัดขวาง แค่เตือนว่าวันนี้เขียนเยอะแล้ว แต่ก็ไม่อาจนำไปนับรวมกับวันพรุ่งนี้ได้

เผยเฉียนยืดอกตั้งพูดว่า นั่นมันแน่อยู่แล้ว

ตอนที่คัดตัวอักษรนางก็วางน้ำเต้าน้อยสีเหลืองไว้ข้างมือ

เฉินผิงอันนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามของโต๊ะ พลิกเปิดตำราสำนักนิติธรรมเล่มหนึ่งที่ซื้อมาหลังจากได้รับคำแนะนำจากชุยตงซานต่ออีกครั้ง ไม่ใช่ตำราที่มีเล่มเดียวหายากอะไร แต่กลับเป็นหนึ่งในตำรา ‘ดั้งเดิม’ ประเภทที่สามารถสนับสนุนประคับประคองรากฐานของสามลัทธิร้อยสำนักเอาไว้ได้ เกี่ยวกับเรื่องของการอ่านหนังสือนี้ ลู่ไถเคยแนะนำเฉินผิงอันมาก่อน และเฉินผิงอันก็จดจำไว้ขึ้นใจเสมอ ยกตัวอย่างเช่นวิธีการอ่านหนังสือคือควรอ่านเล่มหนาก่อนแล้วค่อยอ่านเล่มบาง รวมไปถึงการ ‘ไล่ตามเส้นเบาะแสไปหาเครือญาติ’ และยังมีเคล็ดลับในการเลือกหนังสือ อย่าเห็นว่าความรู้ของเมธีร้อยสำนักปะปนกันหลากหลาย มีหนังสืออยู่หลายประเภทจนแทบจะเรียกได้ว่ามหาสมุทรตำราอันไร้ขอบเขตสิ้นสุด อันที่จริงแล้วต่อให้เป็นความรู้ของสามลัทธิอย่างขงจื๊อ พุทธ เต๋าที่ตำราได้รับความนิยมมากที่สุด ทว่าหนังสือที่คู่ควรแก่สี่คำว่า ‘เปิดตำรามีประโยชน์’ อย่างแท้จริง รวมกันแล้วกลับไม่เกินห้าสิบเล่ม มนุษย์ธรรมดาที่มีอายุเจ็ดสิบปีทุกคนบนโลกใบนี้ล้วนสามารถอ่านอย่างละเอียดและอ่านทบทวนซ้ำแล้วซ้ำเล่าได้

ดังนั้นตำราสามเล่มนี้ของสำนักนิติธรรมที่เฉินผิงอันเลือกมาจึงเป็นเพียงตำราที่แน่ใจว่าการพิมพ์ไม่มีจุดผิดพลาดเท่านั้น

เรื่องราวในคืนนี้ สิ่งที่เฉินผิงอันรู้สึกปลาบปลื้มใจในตัวเผยเฉียนมากที่สุดยังคงเป็น ‘การกระทำจากใจจริง’ ที่เฉินผิงอันเคยบอกกับเผยเฉียนไปก่อนหน้านี้

เมื่อทำผิดก็ควรขอโทษผู้อื่นก่อนด้วยความจริงใจ

นอกจากนี้ก็คือเผยเฉียนในเวลานี้กับเผยเฉียนในตอนแรกราวกับเกิดฟ้าพลิกดินคว่ำ ยกตัวอย่างเช่นตั้งแต่เกิดเรื่องจนจบเรื่อง ความคิดเดียวของเผยเฉียนก็คือคัดตัวอักษร

ไม่ใช่หันกลับไปด่าคนกลุ่มนั้นด้วยคำพูดทำนองว่าจะไม่ตายดี

เฉินผิงอันถาม “เผยเฉียน ถูกเจ้าหมอนั่นกดหัว เกือบจะผลักเจ้ากระเด็นออกไป เจ้าไม่โกรธหรือ?”

“โกรธสิ ตลอดทางที่เดินกลับมานี่ในใจข้าก็ด่าเขาตลอดทางเลยไงล่ะ เจ้าคนสารเลวทั้งแปดคนนั้น วิธีตายของแต่ละคนที่ข้าคิดไว้ล้วนไม่เหมือนกัน ยกตัวอย่างเช่นเจ้าคนที่ถูกอาจารย์สั่งสอนนั่นออกจากบ้านไม่ทันระวังสะดุดล้มร่วงลงไปจากเรือข้ามฟาก กระแทกลงบนพื้นจนร่างเหลกเหลว ส่วนสตรีหน้าเหม็นคนที่หากอิงตามการบรรยายหน้าตาที่พ่อครัวเฒ่าเคยเล่าให้ข้าฟังก็ต้องเรียกว่ายิ้มทีถุงใต้ตาปูดบวมผู้นั้น ข้าหวังให้นางอยู่ดีๆ ก็ไปทะเลาะกับคนอื่น แล้วถูกคนเขาตบหน้าหันซ้ายหันขวา สุดท้ายถูกคนตบจนฟันร่วงหมดปาก ฮ่าๆ แล้วก็ยังมีเจ้าคนปากแหลมแก้มลิงผู้นั้น ให้เขาท้องเสีย อยู่บนเรือข้ามฟากไม่มีหมอช่วยจึงต้องนอนกลิ้งร้องโอดโอยอยู่บนพื้น…”

เผยเฉียนมัวแต่มุ่งมั่นคัดตัวอักษร ไม่ทันระวังจึงหลุดปากพูดความในใจออกมา เพิ่งจะรู้ตัวในฉับพลัน จึงพูดหน้าม่อยว่า “อาจารย์ เขกมะเหงกหรือดึงหู ท่านตัดสินใจเอาเลย”

เฉินผิงอันไม่ได้โกรธสักเท่าไหร่ เขายิ้มถามว่า “งั้นถ้าเกิด…”

ดูเหมือนเผยเฉียนจะรู้ว่าเฉินผิงอันจะถามอะไร จึงยืดเอวตั้งตรง “อาจารย์ท่านวางใจเถิด ข้าก็แค่คิดในใจหาความบันเทิงให้ตัวเองเท่านั้น ต่อให้วันใดข้าฝึกวิชากระบี่ล้ำโลกและวิชาหมัดไร้เทียมทานสำเร็จแล้ว แล้วได้มาเจอกับเจ้าคนพวกนี้ก็ไม่มีทางทำอะไรพวกเขาหรอก! อย่ามากก็แค่ถีบพวกเขาทีหนึ่งเหมือนที่อาจารย์ทำ”

เฉินผิงอันถามอย่างประหลาดใจ “ทำไมล่ะ?”

เผยเฉียนพูดด้วยสีหน้ามีเหตุมีผล “ก็ข้าคือลูกศิษย์ของอาจารย์อย่างไรล่ะ แถมยังเป็นลูกศิษย์เปิดขุนเขาด้วย! หากข้าถือสาพวกเขา จะไม่ทำให้อาจารย์ขายหน้าหรอกหรือ? อีกอย่าง นี่มันเรื่องใหญ่แค่ไหนกันเอง ตอนเด็กข้าถูกคนเตะคนถีบก็ถมเถไป ตอนนี้ข้าเป็นคนมีเงินแล้ว แถมยังเป็นคนในยุทธภพครึ่งตัวแล้วด้วย แน่นอนว่าต้องเป็นคนใจกว้าง!”

จูเหลี่ยนพาสือโหรวผลักประตูเดินเข้ามาพอดี เขายกนิ้วโป้งให้นาง “ความสามารถในการประจบสอพลอของจอมยุทธ์หญิงเผย ยิ่งนานวันยิ่งเข้าขั้นสุดยอดแล้ว”

เผยเฉียนก้มหน้าก้มตาคัดตัวอักษรต่อ วันนี้นางอารมณ์ดีมาก จะไม่คิดเล็กคิดน้อยกับพ่อครัวเฒ่าแล้ว

เฉินผิงอันพูดกับจูเหลี่ยน “อีกเดี๋ยวคนกลุ่มนั้นต้องมาขออภัยแน่นอน เจ้าช่วยขวางไว้ให้ข้าที บอกให้พวกเขาไสหัวไปไกลๆ”

เผยเฉียนถามขึ้น “อาจารย์ ทำไมถึงไม่พบ จะได้พูดคุยกับพวกเขาด้วยเหตุผลไงล่ะ?”

จูเหลี่ยนยิ้มกล่าว “เจ้าจะไปเข้าใจกับผายลมอะไร”

เผยเฉียนไม่ได้เถียงกลับอย่างที่หาได้ยาก นางแสยะปากแอบหัวเราะ

คราวก่อนตอนที่เดินอยู่บนทางเล็กหลังออกจากสวนสิงโต นางก็กุมตดเอาไปให้จูเหลี่ยนกับสือโหรวเดา ดังนั้นพ่อครัวผู้เฒ่า เจ้าเข้าใจผายลมดีจริงๆ

จูเหลี่ยนยืนอยู่ข้างเผยเฉียน มองดูนางคัดตัวอักษร วิธีที่นางใช้เขียนตัวอักษรน่าจะเรียนรู้มาจากเฉินผิงอัน ตอนนี้ก็พอจะถือว่าเขียนได้บรรจงเป็นระเบียบแล้ว

จูเหลี่ยนมองนางเขียนตัวอักษรแต่ละตัวอย่างจริงจังตั้งใจพลางพูดไปด้วยว่า “นายน้อยพูดจาดีๆ กับคนประเภทนี้ ภายนอกพวกเขาต้องทำเป็นว่ายอมศิโรราบให้ทั้งกายและใจ ปากยังจะพูดคำพูดเหลวไหลทำนองว่าวันหน้าจะไม่ทำแบบนี้อีกเด็ดขาด แต่พอหันหลังกลับไปก็เดินเหยียบจมูกขึ้นหน้า *(เปรียบเปรยว่าฝ่ายหนึ่งให้หน้าไม่ถือสาอีกฝ่าย ส่วนอีกฝ่ายหนึ่งไม่เพียงแต่ไม่รับน้ำใจกลับยังทำตัวกำเริบเสิบสาน)*ไม่แน่ว่าอาจจะเห็นเรื่องครั้งนี้เป็นความภาคภูมิใจ เวลาเจอคนอื่นก็จะบอกว่าหากไม่ตีกับนายน้อยก็คงไม่ได้รู้จักกัน พอลงจากเรือก็ใช้ชีวิตอยู่ในยุทธภพของพวกเขาต่อไป ในเมื่อมีสหายเป็นผู้ฝึกกระบี่ซึ่งคนทั้งเรือต่างก็เป็นพยานให้ได้แล้ว นี่จะไม่ทำให้คนอื่นๆ กริ่งเกรงหรอกหรือ เจ้าคิดว่าเป็นเรื่องเล็กหรือไง?”

เผยเฉียนเงยหน้าขึ้น กล่าวอย่างกังขา “จะเป็นเพื่อนกันได้อย่างไร พวกเราไม่ได้เป็นศัตรูคู่แค้นกับพวกเขาหรอกหรือ?”

จูเหลี่ยนนั่งลงด้านข้าง พูดด้วยเสียงเรียบเฉย “พวกเรารู้ แต่ยุทธภพไม่รู้”

เผยเฉียนหยุดมือที่เขียนพู่กัน นางโมโหจนต้องเอามืออีกข้างหนึ่งตบโต๊ะ “เหตุใดยุทธภพถึงได้เส็งเคร็งเช่นนี้!”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ตั้งใจคัดตัวอักษรไป พยายามเขียนให้เสร็จรวดเดียว อย่าอืดอาดยืดยาดระหว่างเขียน”

เผยเฉียนร้องอ้อหนึ่งที แล้วก็คัดตัวอักษรต่ออีกครั้ง

แล้วก็จริงดังคาด

ระเบียงด้านนอกมีเสียงฝีเท้าดังขึ้นมาเป็นระลอก คนส่วนใหญ่เป็นผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตสามสี่ มีแค่คนเดียวที่เป็นขอบเขตห้า

พวกเขาเริ่มเคาะประตู

หลังจากจูเหลี่ยนไปเปิดประตูก็ถีบคนหนึ่งในนั้นกระเด็นออกไป “อย่ามารบกวนความสงบสุขของนายน้อยข้า หากยังมาให้เกะกะสายตา ข้าเห็นใครก็จะตบคนคนนั้นให้ตาย”

คนกลุ่มนั้นหวาดผวาพรั่นพรึง ก้มหน้าค้อมเอวต่ำ บอกลาแล้วเฮโลกันจากไป

ห้องที่อยู่ใกล้เคียงกับระเบียงเส้นนี้มีถึงครึ่งหนึ่งที่เปิดประตูออก พวกเขาต่างก็สงสัยใคร่รู้กันอยู่แล้วว่าอันดับต่อไปจะเป็นการพูดจาไม่เข้าหูเลือดก็กระเด็นไกลสามฉื่อ หรือจะเป็นตำนานอันงดงามในยุทธภพอย่างที่กล่าวถึงในตำรา

ผลกลับกลายเป็นว่าเกิดภาพเหตุการณ์นี้ขึ้น ทุกคนต่างก็รู้สึกเบื่อหน่ายเล็กน้อย

แต่ก็มีผู้ฝึกตนอิสระหลายคนที่รู้สึกดีไม่น้อย

หากคนมุทะลุกลุ่มนั้นได้รับโชคดีหลังโชคร้าย ได้ปีนป่ายพึ่งพาผู้ฝึกกระบี่หนุ่มที่ลึกล้ำจนมองไม่เห็นก้นบึ้งผู้นี้จริงๆ พวกเขาก็ไม่ต้องอิจฉาตาร้อนจนตายหรอกหรือ

มองเฉินผิงอันที่กำลังมองเผยเฉียนคัดตัวอักษร ดูว่าแต่ละขีดแต่ละเส้นที่นางเขียนมีข้อผิดพลาดหรือไม่

สือโหรวพลันรู้สึกอย่างหนึ่งว่า เวลาหลายร้อยปีที่ตนเป็นผีมานี้เหมือนเอาชีวิตไปใช้บนร่างสุนัขโดยแท้

เขายังไม่ทันอายุยี่สิบเลยไม่ใช่หรือ?

ไม่ควรมองจุดที่ละเอียดอ่อนที่สุดในใจคนได้อย่างทะลุปรุโปร่งขนาดนี้กระมัง

เฉินผิงอันหันขวับกลับมา ยิ้มถามว่า “เจ้ามองข้าอยู่นานแล้ว มีอะไรหรือ?”

สือโหรวเขินอายเล็กน้อย ส่ายหน้าตอบรับ

เห็นเฉินผิงอันมีสีหน้าประหลาด สือโหรวก็กลัวว่าเขาจะคิดไปไกล เข้าใจผิดคิดว่าตนมีความคิดที่ไม่ถูกไม่ควร สือโหรวยิ่งคิดก็ยิ่งไม่เป็นตัวของตัวเอง พลันลุกพรวดขึ้นยืน หมุนตัวเดินจากไปทันที

เฉินผิงอันมึนงงไม่เข้าใจ

เขารู้สึกว่าถูก ‘ตู้เม่า’ จ้องมองแบบนี้ ขนบนตัวเขาก็ลุกพรึ่บไปหมด

จูเหลี่ยนพูดอย่างมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น “นายน้อยสมกับเป็นหงส์มังกรในกลุ่มคนจริงๆ สตรีบนโลกที่ได้พบบุคคลเฉกเช่นนายน้อยจะไม่ยอมเสียเวลาทั้งชีวิตเพื่อเฝ้ารอนายน้อยหรอกหรือ?”

เฉินผิงอันถอนหายใจ “จูเหลี่ยน บางครั้งคำประจบของเจ้าก็ฟังรื่นหูไม่เท่าของเผยเฉียนจริงๆ”

จูเหลี่ยนหัวเราะฮ่าๆ “ถึงอย่างไรเรื่องการประจบสอพลอนี้ เผยเฉียนก็มีพรสวรรค์โดดเด่นไม่ธรรมดา บ่าวเฒ่าก็แค่เพิ่งจะมาขยันหมั่นเพียรเอาในภายหลังเท่านั้น”

เผยเฉียนก้มหน้าคัดตัวอักษร ไม่แม้แต่จะเงยหน้า ทว่ากลับพูดด้วยสีหน้าขุ่นเคือง “พ่อครัวเฒ่า เจ้ารอก่อนเถอะ รอให้ข้าคัดตัวอักษรเสร็จก่อน ยังเหลืออีกหนึ่งร้อยยี่สิบห้าตัว ถึงเวลานั้นเจ้าแย่แน่”

จูเหลี่ยนพูดกลั้วหัวเราะ “ทำไม จะแข่งกินขี้กับข้าหรือ หรือว่าจะแข่งกันด่าคน?”

เฉินผิงอันรู้สึกทนฟังไม่ค่อยได้จึงหยิบเอายันต์ร่างจริงเทพท่องทิวาราตรีที่มีมูลค่าควรเมืองแผ่นนั้นและแผ่นหยกที่สลักคำว่าวังมังกรชิ้นนั้นออกมา

เพราะถูกหลี่เป่าเจิน ‘เปิดประตู’ ไว้ก่อนแล้ว อีกทั้งเฉินผิงอันก็ไม่รู้วิธีปิดประตู ปราณวิญญาณที่อยู่ในวัตถุสองชิ้นนี้จึงไหลหายไปตลอดเวลา เพียงแต่เมื่อเทียบกับความเปี่ยมล้นของปราณวิญญาณในตัวยันต์และแผ่นหยกเองแล้วก็แทบจะมองข้ามไปได้เลย

ก็เหมือนมีคนใช้จอบขุดร่องน้ำเล็กๆ ปล่อยน้ำออกไปจากทะเลสาบนอกสวนสิงโตที่มีพงต้นกกต้นอ้อแห่งนั้น

นี่จึงยิ่งขับดันให้เห็นถึงช่องโหว่ร้ายแรงถึงชีวิตจากการที่ผู้ฝึกยุทธ์เป็นคนวาดยันต์

หนึ่งคือน้ำมันเดือดพล่านไฟแรง ประหนึ่งสี่ฤดูที่หมุนเวียนเปลี่ยนผ่าน กาลเวลาไม่รั้งรอ

หนึ่งคือสายน้ำเส้นเล็กไหลยาว ดุจถ้ำสถิตตระกูลเซียน สี่ฤดูล้วนเขียวขจี

จูเหลี่ยนจุ๊ปากพูด “แผ่นหยกนี้มองไม่ออกถึงความเป็นมา แต่ยันต์ล้ำค่าของคุณชายรองตระกูลหลี่แผ่นนี้น่าจะถือว่าเป็น…สมบัติอาคมในสมบัติอาคมของตระกูลเซียน?”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “สายยันต์คือสายใหญ่สายหนึ่งของลัทธิเต๋า การเปลี่ยนแปลงพันหมื่นอย่างล้วนเป็นเจตนารมณ์สวรรค์ หลังจากนำมาใช้จนคล่องแคล่วคุ้นเคยแล้วก็มากพอจะทำให้ผู้ฝึกตนเดินทางท่องไปสี่ทิศได้อย่างไม่กริ่งเกรง ต่อให้เจอกับผู้ฝึกกระบี่ที่กินเงินมากที่สุด พลังพิฆาตสูงที่สุดก็ยังมียันต์อักษรบ่อน้ำ ยันต์พันธนาการกระบี่ที่สามารถรับมือด้วยได้ เมื่อเทียบกับผู้ฝึกลมปราณคนอื่นๆ ที่หวาดกลัวผู้ฝึกกระบี่เหมือนกลัวเสือแล้ว ถือว่าดีกว่ามากแล้ว แล้วนับประสาอะไรกับที่ยังสามารถสยบกำราบภูตผี ดังนั้นผู้ฝึกตนทั่วไปจึงมักจะพกยันต์ติดกายไว้หลายแผ่นเพื่อเตรียมไว้ใช้ในช่วงเวลาที่จำเป็น ส่วนจำนวนมากน้อย ระดับสูงหรือต่ำก็ต้องดูที่เงินในกระเป๋าของแต่ละคน”

—–