หัวหน้าศัตรูได้ฟัง พลันรู้สึกว่าตนเองขาอ่อน
ตัวสั่นเทิ้มสักครู่ เห็นสถานการณ์ดังนี้ เตรียมคุกเข่ายอมแพ้ จิ่วหุนพลันปรากฏกาย ร่างเขาขยับไหววูบ ตวัดกระบี่ยาวครั้งเดียว
เวลาเสี้ยววินาที จิ่วหุนตัดคอศัตรูตกจากร่าง
เมื่อทุกอย่างจบลง เขากลับไปอยู่ข้างกายเยี่ยเม่ย ก้มหน้าไม่พูดไม่จา ตลอดการกระทำเขาไม่บอกเยี่ยเม่ย ไม่ขอความเห็นนางเลย
ภาพเหตุการณ์เลือดอาบเช่นนี้ คนจำนวนไม่น้อยในที่นี้ตัวสั่นเทาไม่หยุด คนทั้งหมดอดส่งสายมองบุรุษหนุ่มชุดขาวผู้นั้นไม่ได้
เขาสวมชุดสีขาว บนผมดำขลับมีผ้าผูกสีแดง อีกทั้งมีใบหน้างดงาม ยิ่งเพิ่มความสง่ายากอธิบายได้ขึ้นไปอีก เรียกได้ว่างดงามไร้มลทิน แต่ใครก็คิดไม่ถึง เขาลงมือฆ่าคนได้หมดจดถึงเพียงนี้….
ลงมืออย่างไร้น้ำใจถึงเพียงนี้ ถึงกระทั่งไม่ลังเลเลยสักเล็กน้อย
ศีรษะหัวหน้าศัตรูร่วงหล่น บนพื้นนองไปด้วยเลือดน่าอนาถ ฝีมือเช่นนี้ อายุเท่านี้ ทุกคนต่างแตกตื่นในความสามารถของเขา
เยี่ยเม่ยหันมองจิ่วหุน ถามนิ่งๆ ว่า “ฆ่าเขาทำไม”
ใบหน้างดงามของจิ่วหุนไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆ สายตากลับทอแววเข้มแข็งและดื้อดึง กดเสียงต่ำ “คนที่ด่าเจ้า ไม่มีคุณสมบัติรับผิดหรือขอโทษ”
พวกเขามีแต่ต้องตายเท่านั้น
เขาเอ่ยคำนี้ออกมา ซินเยว่เยี่ยนอดใจไม่ไหวหันไปเหม่อมองเขาอยู่นาน
การปกป้องเช่นนี้ ดูถ้าหากอู๋เหินชอบเยี่ยเม่ย เจ้าหนุ่มนี้ต้องเป็นศัตรูหัวใจไม่ผิดแน่
เยี่ยเม่ยจ้องเขาสักพัก ถอนใจ “เจ้ามีจิตสังหารรุนแรงนัก”
เจ้าหนุ่มนี่ จิตสังหารแรงกว่านาง แบบนี้อันตรายเกินไป นิสัยนางก็ถูกเรียกว่าเป็นโรคจิตแล้ว เขายังรุนแรงกว่านางอีก…
จิ่วหุนฟังแล้ว กลับเงยหน้ามองนาง สายตายังคงแข็งขืนดังเดิม ทว่าน้ำเสียงอ่อนลง “สำหรับเรื่องอื่น ข้าใจกว้างมาก”
คำพูดนี้ก็บอกชัดเจนแล้ว
เรื่องอื่น เขาไม่คิดสังหารคน ปกติที่รับเงินเอาชีวิตคนนั่นก็คืองาน มีแต่ยามปกป้องนางเท่านั้น ที่เขาเป็นเช่นนี้
เยี่ยเม่ยมุมปากกระตุก ไม่รู้จะเอ่ยอะไรสักครู่ เพียงพยักหน้า “ดูท่าเมื่อครู่ที่เจ้าเชื่อฟังข้า ไม่ไปสังหารลู่หวานหว่าน ก็ถือว่าไว้หน้าข้ามากแล้ว”
ไม่เช่นนั้นคงเป็นดังตอนนี้ เขาไม่พูดไม่จาสักคำ ก็พุ่งไปฆ่าคนแล้วเหรอ
จิ่วหุนหน้าแดง รู้ว่าเยี่ยเม่ยกำลังหยอกล้อตน ก้มหน้าเอ่ย “ไม่ว่าอย่างไร…ใครก็ห้ามรังแกเจ้า”
เสียงของเขาเบามาก มีเพียงตัวเองที่ได้ยิน
เยี่ยเม่ยไม่ได้ยิน และก็ไม่ถกปัญหาเรื่องการฆ่าคนกับเขาอีก
นางหมุนกายกลับ มองบรรดาคนที่ตกอยู่ในอารามหวาดกลัว น้ำเสียงเย็นชากล่าว “พวกเจ้าก็เห็นแล้ว ข้าผู้นี้อ่อนโยนมาก ใจกว้างมาก”
นางเอ่ยถึงตรงนี้ คนทั้งหมดอดไม่ไหว มอง องครักษ์ของเป่ยเฉินเสียงที่ตายด้วยน้ำมือเยี่ยเม่ย ศพเป็นรูพรุนบนพื้น
คนถูกฆ่าถึงขั้นนี้แล้ว ยังจะอ่อนโยน…ใจกว้างอีก?
เพราะความหวาดกลัวเยี่ยเม่ย คนกลุ่มนี้ยังคงพยักหน้าอย่างรวดเร็ว ทั้งยังเอ่ยอย่างพร้อมเพรียง “ขอรับ แม่นางเยี่ยเม่ยอ่อนโยนใจกว้าง พวกเราอาบรัศมีเกียรติยศของแม่นาง ทั้งซาบซึ้งและสำนึกเป็นอย่างมาก”
พวกเขาเป็นทหารในยุคโบราณ ส่วนมากตั้งแต่เล็กก็เป็นคนหยาบกระด้างไม่เคยร่ำเรียน แต่ความหวาดกลัวเยี่ยเม่ยในเวลานี้ พวกเขาแทบระดมใช้ความคิดทั้งหมด งัดเอาคำศัพท์ทุกคำที่มีอยู่ในสมอง มาร้อยเรียงเป็นคำประจบประแจง
คำประเภทอาบรัศมีเกียรติยศ สำนึก ซาบซึ้ง
พวกเขาพูดคำพวกนี้ออกไปก็เพื่อตัวเอง ยกระดับภาษาของตนก็เพื่อยกยอเยี่ยเม่ย พวกเขาขุดความสามารถด้านภาษาที่อยู่ลึกๆ ออกมาเพื่อตัวเองอีกครั้ง ซ้ำยังอยากร้องไห้ฟูมฟายอย่างเจ็บปวด
เยี่ยเม่ยพึงพอใจกับการกระทำของพวกเขา จากนั้นมองศพหัวหน้าศัตรู เอ่ยว่า “แต่พวกเจ้าก็ต้องเข้าใจ ถึงข้าจะใจกว้าง แต่คนข้างกายข้า โดยเฉพาะเจ้าหนูจิ่ว อารมณ์ของเขาไม่สู้ดีนัก ดังนั้นหวังว่าหลังจากพวกเจ้ากลับไปแล้ว ก็ช่วยป่าวประกาศออกไปให้ที เพื่อความปลอดภัยของทุกคน บอกให้ทุกคนไม่ต้องมาหาเรื่องข้าแล้ว เข้าใจไหม”
ประโยคนี้ น้ำเสียงของเยี่ยเม่ยเรียกได้ว่ามีเมตตาแล้ว
นั่นก็เพราะนางกลัดกลุ้มจริงๆ คนมีเรื่องไม่มีเรื่องก็มาหาเรื่องนาง หากทำให้คนพวกนี้ตกใจหนีไปได้หมดในครั้งเดียว ก็ดีไปกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว
คนพวกนั้นรีบพยักหน้า ตอบว่า “พวกเราทราบแล้ว พวกเราทุกคนรู้แล้ว ขอให้แม่นางวางใจ หลังจากกลับไป ต้องทำให้ทุกคนรู้ว่าแม่นางไม่อาจหาเรื่องได้ง่าย”
“อืม? พวกเจ้าพูดอะไร ข้าอารมณ์แย่มาก?” เยี่ยเม่ยพลันเอ่ยเสียงสูง
คนพวกนั้นรีบตอบสนองทันที พากันส่ายหน้า เอ่ยต่อ “ไม่ไม่ไม่ ความหมายของพวกเราคือ ถึงแม้แม่นางเยี่ยเม่ยจะใจกว้างมาก อ่อนโยนเป็นอย่างยิ่ง ซ้ำเป็นสตรีที่รูปโฉมงดงาม มีเมตตามาก ถึงขั้นที่เรียกว่าเป็นสตรีที่งดงามที่สุดมีเมตตาที่สุด เป็นศัตรูกับแม่นางเยี่ยเม่ยเป็นเรื่องไม่ถูกต้อง เพราะต่อให้แม่นางเยี่ยเม่ยไม่ลงมือ คนข้างกายแม่นาง ก็อดผดุงความยุติธรรม สังหารพวกต่ำต้อยไม่รู้ความคิดทำร้ายแม่นางเยี่ยเม่ยผู้มีเมตตา”
พวกเขาพูดไป น้ำตาไหลนองหน้าแล้ว
ตามจริงแล้ว ชั่วชีวิตนี้พวกเขาไม่เคยคิดเลยว่า พวกตนเองมีความสามารถประจบประแจงได้ถึงขั้นนี้ พูดจาไหลลื่น แทบไม่ต้องหยุดชะงัก อีกทั้งคนกลุ่มนี้จิตใจตรงกัน ประจบประแจงโดยพร้อมเพรียง คล้ายกับเคยฝึกฝนมาก่อนก็ไม่ปาน
หลูเซียงฮั่วปาดเหงื่อบนใบหน้า ทหารด้านหลังเขาก็ปาดเหงื่อบนหน้าผากเช่นกัน ต่างก็ถอนใจมองเยี่ยเม่ย แทบมองเยี่ยเม่ยด้วยความตกใจพร้อมกัน
สตรีนางนี้ร้ายกาจเกินไปแล้ว…พวกเขาเองก็เป็นทหาร รู้อย่างลึกซึ้งว่าตนเองคิดประจบเช่นนี้ ต้องใช้พละกำลังขนาดไหน แสดงความรู้มากมายเช่นนี้ออกไป ดูเยี่ยเม่ยทำคนกลุ่มนี้ตกใจเสียจนเป็นตัวอะไรไปแล้ว…
เยี่ยเม่ยพยักหน้าด้วยความพอใจ นางชื่นชอบคำพูดของพวกเขามาก ส่งสายตาเย็นชามอง “กลับไปเถอะ กลับไปประจำการเมืองของพวกเจ้าให้ดี ไม่ต้องออกมาทำเรื่องราวที่ทำให้ฮ่องเต้ของพวกเจ้าสิ้นหวังอีก”
นางเอ่ยเช่นนี้ กลับทำให้ ซินเยว่เยี่ยนฟังพิรุธบางอย่างออก หันมองเยี่ยเม่ย
เยี่ยเม่ยเอ่ยว่า “ฮ่องเต้ของพวกเจ้า” ความหมายคือ ฮ่องเต้ของราชสำนักเป่ยเฉิน ไม่ใช่ของนาง? หรือว่าเยี่ยเม่ย เป็นสหายของอาหรุ่ยผู้นั้น เป็นจงเจิ้งซีจริงๆ
เวลานี้ไม่มีใครสังเกตปฏิกิริยาของซินเยว่เยี่ยน
ศัตรูฟังคำพูดของเยี่ยเม่ย เมื่อได้รับการปล่อยตัวก็รีบลุกขึ้น ตะเกียกตะกายจากไป “พวกเราขอตัวก่อน”
พวกเขารีบวิ่งไปอย่างว่องไว ในใจยังตักเตือนตัว ภายหน้าหากมีเรื่องที่เกี่ยวกับแม่นางผู้นี้อีก พวกเขาไม่มีทางเข้าร่วมด้วยอีกแล้ว ถึงแม่นางลงมือสังหารคนด้วยตนเองไปแค่ผู้เดียว แต่ระดับความหวาดกลัวของพวกเขา ไม่ต่ำไปกว่าองค์ชายสี่ปีศาจของพวกเขาแล้ว
เหลือบมองเงาหลังของพวกเขาเตลิดไป เยี่ยเม่ยแค่นหัวเราะเย็น หันกลับไปมองหลูเซียงฮั่วทีหนึ่ง “แม่ทัพหลู ท่านรู้หรือไม่ว่าคนกลุ่มนี้ล้อมสังหารข้า เรื่องนี้สมควรใช้ประโยชน์อย่างไร”
หลูเซียงฮั่วชะงักไปชั่วขณะ ถามด้วยความฉงน “ท่านหมายถึงทางฝั่งต้ามั่ว…”
เยี่ยเม่ยพยักหน้า “ไม่ผิด เชื่อว่าเจ้าคงรู้ว่าสมควรทำอย่างไรสินะ”
หลูเซียงฮั่วสีหน้าจริงจังขึ้นมาทันที ความฉลาดรวมถึงความรวดเร็วในการรับสถานการณ์เปลี่ยนแปลงของเยี่ยเม่ย ทำให้เขารู้สึกเลื่อมใสขึ้นหลายส่วน ประสานหมัดเอ่ยว่า “ข้าเข้าใจแล้ว แม่นางวางใจ หลังจากกลับเมืองแล้ว ข้าจะรีบจัดการทันที”
เยี่ยเม่ยพยักหน้าอย่างพอใจ ก้าวนำออกไป “ไปเถอะ กลับเมือง ข้าไปแสดงความห่วงใยองค์ชายใหญ่ของพวกเจ้าสักหน่อย”