ตอนที่ 386 ที่แท้เป็นอย่างนี้เอง / ตอนที่ 387 ที่นี่เป็นบ้านคุณ

หมอยาหวานใจท่านประธาน

ตอนที่ 386 ที่แท้เป็นอย่างนี้เอง 

 

 

ไม่คิดก็แล้วไป พอคิดทำให้ยิ่งน่าโมโห สุดท้ายเฉวียนสือไม่อยากมองอีลั่วเสวี่ยแล้ว จึงเบือนหน้าไปทางอื่น 

 

 

ลูกบอลเงิน “ปัดโธ่ ตาแก่คนนี้ ข้าอยากทุบหัวจริงๆ ในหัวมีแต่ขี้เลื่อย โง่ชะมัด น่าจะส่งคนอย่างนี้ไปดัดแปลงแก้ไขที่ดาวของพวกเรา” 

 

 

อีลั่วเสวี่ยยิ้มๆ ไม่พูดอะไร คนอายุเกินครึ่งร้อยแล้ว อ้อ ไม่สิ ตาแก่อายุใกล้เจ็ดสิบแล้ว ยิ่งแก่ก็ยิ่งเหมือนเด็ก มีคำกล่าวที่ว่า พอคนอายุหกสิบสี่การกระทำและความคิดจะเริ่มถอยหลังกลับ 

 

 

เธอถือว่าเขาเป็นเด็กงอแงก็สิ้นเรื่อง ขืนถือสามากเกินไป คนที่อึดอัดไม่ใช่เธอหรือไง 

 

 

ฝ่ายนั้นต้องการให้เธอรู้สึกอึดอัด โกรธขึ้ง สุดท้ายเป็นฝ่ายตีจากเฉวียนหมิงไปเอง ทำอย่างนี้ก็จะบรรลุเป้าหมายของเขา น่าเสียดายที่เธอไม่ได้เป็นแบบนั้น 

 

 

“ลั่วเสวี่ย อย่าคิดมาก ให้ผมพาคุณไปส่งเถอะ” หนานหลิวเฟิงเห็นอีลั่วเสวี่ยยืนนิ่งเงียบอยู่ข้างๆ ยังยิ้มเจื่อนๆ ก็รู้สึกสงสารเธอ 

 

 

ถ้าเป็นเขา จะไม่ยอมให้เธอต้องทุกข์อย่างนี้ แต่น่าเสียดายที่หนานหลิวเฟิงไม่รู้ว่าต่อให้ขณะนี้คนที่ยืนอยู่ข้างตัวอีลั่วเสวี่ยจะเป็นเขา แต่ไม่แน่ว่าเขาจะทำได้ดีกว่าเฉวียนหมิง 

 

 

นิสัยประหลาดของนายท่านผู้เฒ่าเฉวียนทำให้น่าโมโห แต่อย่างน้อยเขาก็ยังดีกว่าแม่ของตน ตั้งแต่แรกแม่เขาก็ดูถูกอีลั่วเสวี่ยซึ่งเป็นเพียงลูกบุญธรรมของบริษัทเล็กๆ 

 

 

ยิ่งกว่านั้นตอนนั้นที่เธอพูดก็ไม่เกรงใจนัก ขณะที่ผู้หญิงเป็นสัตว์โลกที่ใจแคบที่สุด ทันทีที่ไม่ชอบใคร ย่อมอยากมากที่จะเปลี่ยนแปลงความคิด 

 

 

อีลั่วเสวี่ยตื่นจากภวังค์ แล้วพยักหน้า “อืม ได้” 

 

 

หนานหลิวเฟิงนั่งบนรถ มองดูที่นั่งข้างคนขับที่ว่างเปล่า รู้สึกใจโหวงๆ ที่แท้เธอยังคาใจ จึงจงใจทิ้งระยะห่างระหว่างกัน คงไม่อยากให้ถูกเข้าใจผิด  

 

 

อีลั่วเสวี่ยนั่งอยู่ในเงามืดอย่างนิ่งเงียบ มองเห็นสีหน้าเธอในความมืดไม่ชัด แตหนานหลิวเฟิงรู้สึกได้ว่าเธออารมณ์ไม่ดีนัก 

 

 

“อยากฟังเรื่องฟางจื่อชิวไหม?” หนานหลิวเฟิงคิดๆ ไม่รู้ว่าจะคุยอะไรจึงยกเรื่องนี้ขึ้นมาเริ่มต้น คิดดูแล้ว เธอเองก็คงอยากรู้ 

 

 

ก่อนที่เธอยังไม่ทำพิธีแต่งงานกับเฉวียนหมิง เขายังคงมีโอกาส เขาจะช่วงชิง บางทีอาจจะอยู่ในขั้นตอนนี้ ถ้าเธอรู้ว่าเขายังชอบเธอ สำหรับเขาแล้วย่อมดีกว่า เมื่ออยากให้เธอรู้สึกดีต่อเขา ก็ต้องคอยช่วยเธอ 

 

 

อีลั่วเสวี่ยแปลกใจ “คุณเองก็มีความสัมพนธ์กับเธอดีไม่ใช่หรือ?” 

 

 

หนานหลิวเฟิงยิ้มพลางสั่นหัว “ไม่หรอก กิจการของฟางกรุ๊ปไม่ค่อยเหมือนกับบริษัทผมและบริษัทของเฉวียนหมิง ทางเราเป็นบริษัททางการค้า ทางการแทรกแซงน้อยมาก ส่วนพวกเขาเป็นวิสาหกิจของรัฐ รัฐบาลร่วมหุ้นด้วย จึงมีลักษณะต่างกัน” 

 

 

จากนั้นหนานหลิวเฟิงก็เริ่มร่ายยาว คุยเรื่องเกี่ยวกับฟางจื่อชิว 

 

 

ฟางจื่อชิวเป็นนักเรียนรุ่นเดียวกับเฉวียนหมิงและมั่วเฉินเซวียน สมัยมัธยมปลายเรียนโรงเดียวกัน แต่อยู่คนละห้อง ตอนนั้นเฉวียนหมิงขยันมา กอยู่มัธยมปลายก็เริ่มสัมผัสกับกิจการของครอบครัวแล้ว ยังต้องเรียนกวดวิชา จึงต้องการวลามากขึ้น 

 

 

เขาเป็นคนที่ไม่ยอมแพ้ นอกเวลาเรียนยังไปเรียนกวดวิชา เรียนล่วงหน้าและเสริมความรู้ ถึงตอนนี้จึงรู้จักกับฟางจื่อชิวซึ่งอยู่อีกห้องหนึ่ง เธอยังไปเรียนกวดวิชาที่เดียวกับเขา 

 

 

ดังนั้นก่อนนี้ตอนกลางคืนเธอกับเฉวียนหมิงจึงได้เห็นเมืองเอฟยามราตรี พูดให้น่าฟังหน่อย ก็แค่หลังจากวุ่นวายมาทั้งวันก็ได้ดูโคมไฟริมถนนและทัศนียภาพของเมืองยามค่ำคืนที่ช่วยให้ผ่อนคลายบ้าง 

 

 

“ต่อมาอีกเฉวียนหมิงประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ เขาจึงไม่ไปโรงเรียนกวดวิชาแล้ว ปู่เฉวียนจ้างครูมาสอนเขาที่บ้าน สอนแบบตัวต่อตัว ส่วนฟางจื่อชิวย่อมไม่ไปร่วม คงสักครึ่งปีต่อมาก็ถึงเวลาสอบเข้ามหาวิทยาลัย” 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 387 ที่นี่เป็นบ้านคุณ 

 

 

จากนั้นฟางจื่อชิวก็ไปต่างประเทศ ถึงตอนนี้ผ่านมาห้าปีแล้ว ไม่รู้ว่าทำไมกลับมา ยังได้รับเชิญไปเป็นหมอที่โรงพยาบาลชั้นนำของเมืองเอฟด้วย 

 

 

มีข่าวลือว่าที่ฟางจื่อชิวไปเรียนแพทย์ที่ต่างประเทศก็เพื่อเฉวียนหมิง เพื่อรักษาเขา คงเพราะครึ่งปีมานี้มีข่าวว่าเฉวียนหมิงเดินเหินเป็นปกติ คนที่นั่งเก้าอี้เข็นมาห้าปียืนขึ้นแล้ว จึงกลับมาดูให้รู้แน่ 

 

 

อีลั่วเสวี่ยกลอกตา ในสมองนึกถึงที่ลี่ลี่เคยพูดว่าคุณน้าจื่อชิว เวลานี้ลี่ลี่อายุแปดเก้าขวบ ตอนนั้นสามสี่ขวบจึงไม่แปลกที่จะจำฟางจื่อชิวได้“ 

 

 

“งั้นเธอกับกับเฉวียนหมิงมีการติดต่อกันไหม?” ที่เธอถามเช่นนี้รู้สึกว่าตัวเองไม่ต่างจากเด็กสาวทั่วไป แต่ตอนนี้เพื่อนชายเธอมาพบกับอดีตเพื่อนหญิง เธอย่อมต้องสนใจ 

 

 

แน่นอน ที่เธอไม่ใส่ใจมาก่อน เพราะผู้หญิงคนนั้นไม่ปรากฏตัว เฉวียนหมิงเองก็ไม่เอ่ยถึง เมื่อเธอไม่เห็นก็ย่อมไม่กังวลใจ 

 

 

หนานหลิวเฟิงยิ้ม “แน่นอนว่าไม่มี คุณได้ยินมาจากไหนหรือ ถ้าเฉวียนหมิงเคยติดต่อกับฟางจื่อชิว คุณจะไม่รู้ข่าวเลยหรือ?” 

 

 

สองครอบครัวนี้ไม่ใช่คนธรรมดา ตอนนั้นถ้ามีเรื่องแบบนั้น สองครอบครัวคงไม่นิ่งเงียบแบบนี้หรอก สำหรับคนอย่างพวกเขา ไม่มีเรื่องการริรักในวัยเรียน 

 

 

“ไม่มีอะไร ฉันถามไปอย่างนั้นเอง” เดิมเธอไม่ได้ใส่ใจ แต่วันนี้ตัวละครเอกของเรื่องปรากฏตัวขึ้นแล้ว ยังท้าทายเธอด้วย ยังไงก็ต้องทำความเข้าใจอีกฝ่ายบ้าง 

 

 

ไม่เช่นนั้นจะวางแผนรับมือได้อย่างไร ได้ยินว่าเด็กสาวของโลกนี้ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ เมื่อเทียบกับโลกของพวกเขาแล้ว การแย่งชิงผู้ชายมีกลอุบายมากมาย 

 

 

หนานหลิวเฟิงได้ยินแต่ไม่ได้พูดต่อ 

 

 

“เลี้ยวซ้ายที่แยกหน้า พอถึงไฟแดงค่อยเลี้ยวขวา…” ขณะที่หนานหลิวเฟิงเตรียมขับรถตรงไปที่คฤหาสน์ของเฉวียนหมิง อีลั่วเสวี่ยจึงบอกทางเขาให้ไปอีกทางหนึ่ง 

 

 

ไม่ไปบ้านเฉวียนหมิง เธอย้ายออกมาแล้วจริงๆ หนานหลิวเฟิงรู้สึกดีใจ แต่ก็นึกสงสัยขึ้นมาทันที ถนนสายนี้ดูเหมือนมีบ้านคนอาศัยอยู่ไม่มาก ที่ที่เธออาศัย อยู่ทางนี้งั้นหรือ 

 

 

แต่หลังจากขับไประยะหนึ่ง หนานหลิวเฟิงก็พบว่าสองข้างทางไม่มีอาคารเลย ดูแล้วออกห่างจากเขตเมืองแล้ว ดูเหมือนจะมีทะเลสาบกับสวนสาธารณะ 

 

 

“ลั่วเสวี่ย คุณจำทางผิดหรือเปล่า?” หนานหลิวเฟิงชะลอความเร็วรถลง แล้วจอดรถที่ข้างทาง หันมามองอีลั่วเสวี่ย 

 

 

ตอนนี้อีลั่วเสวี่ยกำลังคิดปัญหาบางอย่าง พอเห็นรถจู่ๆ ก็จอด จึงแปลกใจ พอได้ยินเจ้าลูกบอลเงินทวนคำพูดของหนานหลิวเฟิง เธอจึงยิ้ม “ไม่ผิดหรอก ขับต่อไปข้างหน้า อยู่ข้างหน้าไม่ไกลแล้ว” 

 

 

หนานหลิวเฟิงได้ฟังเช่นนั้นก็ขับรถไปต่อ 

 

 

พอถึงทางแยก อีลั่วเสวี่ยบอกให้เขาเลี้ยงขวา แล้วเข้าสู่ถนนที่มีคนเดินน้อยมาก ไปข้างหน้าเล็กน้อยก็เห็นคฤหาสน์หลังหนึ่ง ข้างหน้าเป็นประตูเหล็กบานใหญ่ 

 

 

“ถึงแล้ว จอดรถเถอะ” ถึงบ้านแล้ว อีลั่วเสวี่ยเปิดประตูรถเดินออกมา เปิดท้ายรถหยิบข้าวของของตนเอง 

 

 

หนานหลิวเฟิงมีความรู้สึกเหมือนรู้ทีหลัง “ลั่วเสวี่ย ที่นี่บ้านคุณหรือ?” เขารู้ว่าอีลั่วเสวี่ยมีบ้านสองหลัง หลังหนึ่งคือที่เคยเป็นบ้านสกุลอี อีกหลังคือคฤหาสน์ของเฉวียนหมิง แต่คิดไม่ถึงว่าเธอจะอาศัยอยู่ที่นี่ 

 

 

อีลั่วเสวี่ยพยักหน้า แล้วพูดแหย่เล่น “แน่นอน ถ้าไม่ใช่บ้านฉัน ฉันจะมาที่นี่ทำไม?” 

 

 

ยามประตูห่างออกไปจำอีลั่วเสวี่ยได้ รู้ว่าวันนี้เธอไม่ได้ขับรถออกไป จึงวิ่งมาช่วยเธอถือของทันที 

 

 

“คุณหนูใหญ่ ผมช่วยถือของครับ” 

 

 

“ขอบใจนะ” 

 

 

อีลั่วเสวี่ยแบ่งของในมือครึ่งหนึ่งให้เขา แล้วหันมาหาหนานหลิวเฟิง “วันนี้ต้องขอบใจที่คุณส่งฉันกลับบ้าน”