ตอนที่ 189-1 ละครน้ำเน่าฉากใหญ่

ยอดหญิงสกุลเสิ่น

“นายท่านผู้เฒ่าโหว ท่านรีบไปช่วยคุณหนูเถิด นางกับคุณหนูน้อยถูกบีบบังคับจนแทบจะมีชีวิตต่อไปไม่ได้แล้ว” หญิงชราร่ำไห้ตะโกน

 

 

ในใจนายท่านผู้เฒ่าโหวตกตะลึง บุตรสาวของเขาถูกใครบีบบังคับจนมีชีวิตต่อไปไม่ได้ คุณหนูน้อยคือใคร หรือว่าเป็นหลานสาวของเขา จวนจงอู่โหวอำนาจล้นฟ้า เขาก็เพิ่งจะได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นราชครูของรัชทายาท แม้แต่องค์ชายหลายองค์ของจักรพรรดิยังต้องให้เกียรติเขาหลายส่วน ใครกันที่กล้าบีบบังคับลูกสาวของเขา หรือว่าจะเป็นลูกเขยที่มีฐานะยากจนผู้นั้นของเขา ดวงตาของนายท่านผู้เฒ่าโหวก็หรี่ลงอย่างอดไม่ได้

 

 

“เล่ามาให้ละเอียด เจ้าไม่อยู่รับใช้หย่าเอ๋อร์ที่อวิ๋นโจว วิ่งมาถึงเมืองหลวงได้อย่างไร” นายท่านผู้เฒ่าโหวถามเสียงต่ำ

 

 

หญิงชราผู้นั้นเก็บเสียง ดึงแขนเสื้อเช็ดน้ำตา “เรียนนายท่านผู้เฒ่าโหว บ่าว บ่าวหนีออกมาเจ้าค่ะ”

 

 

เมื่อได้ยินคำว่าหนี ดวงตาของนายท่านผู้เฒ่าโหวก็หดเล็กอย่างอดไม่ได้ แม้แต่เสิ่นเวยที่รีบตามมาก็ยังรู้สึกเหลือเชื่อ ดังนั้นในวันมงคลเช่นนี้ เสิ่นเวยจึงได้ฟังเรื่องเล่าความจริงที่น่ารังเกียจทั้งยังโศกเศร้าเหนือสิ่งอื่นใด

 

 

ท่านอาผู้ซึ่งเป็นบุตรสาวอนุภรรยาผู้นี้ของเสิ่นเวยนามว่าเสิ่นหย่า เป็นบุตรสาวเพียงคนเดียวของนายท่านผู้เฒ่าโหว ต้องบอกว่าเหล่าไท่จวินไม่ค่อยชอบบุตรอนุภรรยานัก เช่นนั้นนางจึงเพิกเฉยต่อบุตรสาวอนุภรรยาผู้นี้ เสิ่นหย่าเกิดมาแล้วก็เป็นเหมือนอี๋เหนียงของนาง ภายหลังอี๋เหนียงของนางไม่อยู่นางก็ได้รับการดูแลจากคนใช้จนเติบโต เสิ่นหย่าที่โตมากับมือบ่าวรับใช้จึงมีนิสัยโอนอ่อนผ่อนตาม ไม่สู้คน

 

 

ตอนนั้นนายท่านผู้เฒ่าโหวยุ่งอยู่ข้างนอกมาโดยตลอด มีเวลาถามไถ่สารทุกข์สุขดิบของลูกชายสามคนได้ก็ไม่เลวแล้ว ย่อมไม่มีเวลามาสนใจบุตรสาวคนนี้ กว่าเขาจะพบว่าบุตรสาวผู้นี้ถูกเลี้ยงจนบอบบางเกินไป บุตรสาวเขาก็อายุสิบสามสิบสี่ปีแล้ว คิดจะเปลี่ยนก็เปลี่ยนไม่ได้แล้ว อีกทั้งลูกผู้ชายเช่นเขาก็ไม่เก็บเรื่องนี้มาใส่ใจนัก บุตรสาวน่ะ ไม่ช้าไม่เร็วก็ต้องกลายเป็นคนของตระกูลอื่น ไม่เหมือนลูกชายที่อยู่ดูแลบ้านตลอด นิสัยอ่อนแอหน่อยก็ไม่เป็นไรหรอก อย่างมากเลือกแต่งงานกับตระกูลที่ต่ำกว่าเล็กน้อย อาศัยจวนโจวอู่โหวเป็นที่พึ่ง บุตรสาวจะยังถูกรังแกอะไรได้อีก

 

 

ชั่วพริบตาเสิ่นหย่าก็อายุสิบหกปี มีครั้งหนึ่งที่ออกเรือนไปเป็นแขก ไม่รู้ว่าอย่างไร จู่ๆ ก็ไปรู้จักกับบัณฑิตระดับมณฑลจากตอนกลางของแคว้นที่มาสอบราชการในเมืองหลวงนามว่าเหอจังหมิง เกิดความรู้สึกลึกซึ้ง เปลี่ยนจากนิสัยโอนอ่อนเมื่อในอดีตเป็นยืนกรานโวยวายจะแต่งงานให้ได้

 

 

เหล่าไท่จวินย่อมขี้คร้านจะสนใจ ยอมให้บุตรสาวอนุภรรยาเติบโตขึ้นมาอย่างสงบสุขได้นางก็คิดว่าตนเมตตาที่สุดแล้ว เรื่องจึงถูกผลักไปที่นายท่านผู้เฒ่าโหวอย่างเลี่ยงไม่ได้ นายท่านผู้เฒ่าโหวตรวจสอบ ครอบครัวบัณฑิตระดับมณฑลนามว่าเหอจังหมิงผู้นี้มีพี่สาวหนึ่งคนพี่ชายหนึ่งคน อีกทั้งยังแต่งงานแล้วทั้งสิ้น บิดามารดาในครอบครัวต่างก็เป็นชาวนา ทั้งครอบครัวลำบากลำบนกว่าจะส่งเสียเหอจงหมิงบัณฑิตระดับมณฑลผู้นี้ได้

 

 

นายท่านผู้เฒ่าโหวก็ไม่ยินดีอย่างยิ่ง แม้ว่าเขาเองจะมีฐานะเดิมยากจน ไม่ได้คิดจะให้บุตรสาวแต่งเข้าไปในตระกูลสูงส่ง แต่ตระกูลเหอจังหมิงผู้นี้ก็แย่เกินไปหน่อย ต่อให้จะเป็นเจ้าของที่ดินผืนเล็กก็ยังดี นี่นับได้ว่าไม่มีอะไรทั้งสิ้น บุตรสาวแต่งเข้าไปพลอยจะลำบากไปด้วยมิใช่หรือ

 

 

แต่ไม่ว่าอย่างไรบุตรสาวก็โวยวายจะแต่งงานให้ได้ ท่าทางแข็งกร้าวเป็นพิเศษ นายท่านผู้เฒ่าโหวหมดหนทางทำได้เพียงยินยอม เขาปลอบตัวเอง แม้ว่าเหอจังหมิงผู้นี้จะมีสภาพครอบครัวยากจน ฐานะก็ต้อยต่ำ แต่อย่างไรเสียก็เป็นคนมีความสามารถ มีความรู้ความสามารถแท้จริง ให้สินเดิมบุตรสาวมากหน่อย แล้วค่อยใช้เส้นสายมอบตำแหน่งขุนนางที่ออกไปรับงานข้างนอกให้เขาสักตำแหน่ง บุตรสาวแต่งเข้าไปแล้วน่าจะสามารถใช้ชีวิตอย่างสบายใจได้

 

 

เช่นนี้ เสิ่นหย่าก็นำเงินก้อนใหญ่แต่งออกเรือนไป แต่งกับลูกชายที่มีสภาพครอบครัวยากจนตระกูลหนึ่ง ส่วนเหอจังหมิงก็อาศัยชื่อลูกเขยจวนจงอู่โหวรับตำแหน่งนายอำเภอแห่งหนึ่งได้อย่างง่ายดาย สิบกว่าปีนี้วิ่งไปมาอยู่ข้างนอกมาโดยตลอด

 

 

ต่อมาก็เป็นคำร้องของหญิงชราผู้นั้นแล้ว

 

 

ที่แท้แล้วตอนที่เสิ่นหย่าเพิ่งจะแต่งเข้าตระกูลเหอ ทุกคนในตระกูลเหอต่างก็ดีต่อนางอย่างยิ่ง บิดามารดาตระกูลเหอก็รู้ตัวดีอย่างยิ่ง รู้ว่าลูกชายของตนสามารถสู่ขอคุณหนูจวนโหวมาเป็นภรรยาได้นับเป็นบุลกุศลของบรรพบุรุษ ดูสิ พอลูกสะใภ้ตระกูลสูงศักดิ์ผู้นี้เข้ามา สถานการณ์ในครอบครัวก็เปลี่ยนไปมากอย่างยิ่ง กินแต่ข้าวปลาอาหารอย่างดี สวมใส่แต่ผ้าไหมทอประณีต ไม่ต้องทำงานในนาซ้ำยังมีสาวใช้คอยปรนนิบัติ ลูกชายยังได้รับตำแหน่งขุนนางด้วยความรวดเร็ว

 

 

นี่ล้วนแต่เป็นคุณงามความดีของลูกสะใภ้ คนทั้งหมดตระกูลเหอนอกจากจะเกรงอกเกรงใจเสิ่นหย่าแล้วยังระมัดระวังตัวเล็กน้อย

 

 

เสิ่นหย่าเดิมก็ไม่ได้มีนิสัยดุร้าย อีกทั้งยังเคารพสามีอย่างถึงที่สุด ซ้ำยังได้ยินสามีพูดอยู่บ่อยครั้งว่าบิดามารดาลำบากอย่างไร พี่สาวพี่ชายพยายามให้เขาได้เข้าเรียนอย่างไร เสิ่นหย่าต่างก็ดีต่อบิดามารดาตระกูลเหอและพี่ชายพี่สาวของเหอจังหมิง นอกจากจะออกเงินเลี้ยงครอบครัวแล้ว เครื่องประดับที่มารดาแซ่เหอและพี่ใหญ่พี่สะใภ้ใหญ่สวมอยู่บนศีรษะต่างก็เป็นนางที่มอบให้ พี่ใหญ่ตระกูลเหอบอกว่าว่างงานไม่มีอะไรทำ นางก็มอบร้านค้าสินเดิมของตนให้เขาดูแล

 

 

แต่ตามการหมุนเลยของเวลา หนึ่งปีสองปีผ่านไป จิตใจคนจะไม่เปลี่ยนได้อย่างไร มนุษย์ล้วนเห็นแก่ตัว พี่ชายใหญ่พี่สาวใหญ่ตระกูลเหอต่างก็มีครอบครัวของตนเอง โดยเฉพาะหลังจากที่เด็กเกิดออกมาตามๆ กัน พวกเขาก็เริ่มมีจิตใจละโมบ มักจะคิดว่าตนส่งเสียน้องชายเรียนหนังสือ คุณงามความดีใหญ่หลวง ตอนนี้น้องชายเป็นขุนนางแล้ว จะไม่ตอบแทนพวกเขาเลยหรือไร

 

 

ด้วยเหตุนี้จึงมองว่าความดีที่ผู้อื่นทำต่อพวกเขาเป็นสิ่งสมควรทำ พี่ใหญ่พี่สะใภ้ใหญ่ตระกูลเหอคิดหาวิธีหาผลประโยชน์จากเสิ่นหย่า วันนี้เสื้อผ้าหลานๆ ของนางเล็กหมดแล้ว พรุ่งนี้วันเกิดหลานสาวนาง มะรืนนี้น้องสาวปิ่นอันนี้ของเจ้าไม่เลวเลยขอข้ายืมใส่สักสองวัน แน่นอนว่ายืมแล้วไม่คืนอีกเลย

 

 

ช่วงแรกเริ่ม เสิ่นหย่าปฏิเสธไม่เป็น เพียงแค่พวกนางเอ่ยถึงความลำบากก็ล้วงเงินให้แล้ว แต่สินเดิมของนางเองก็ไม่ใช่กองเงินกองทอง นับวันก็เหนือบ่ากว่าแรง ต่อมาปฏิเสธไปครั้งสองครั้งก็ถูกพี่ชายพี่สะใภ้หาว่าใจแคบไม่เห็นใจผู้อื่น ไม่เพียงแต่ไปร้องทุกข์กับมารดาแซ่เหอ ซ้ำยังไปโวยวายต่อหน้าสามี

 

 

เหอจังหมิงอีกด้วย

 

 

เหอจังหมิงเป็นคนที่ห่วงศักดิ์ศรี เดิมก็เพราะแต่งงานกับภรรยาตระกูลสูงส่งจึงไม่มีความมั่นใจ ย่อมต้องไม่พอใจเสิ่นหย่าอยู่แล้ว รู้สึกว่านางดูถูกดูแคลนพี่น้องของตน

 

 

มารดาแซ่เหอก็ไม่ใช่มารดาแซ่เหออย่างเมื่อก่อนแล้ว ถูกบุตรสาวกับลูกสะใภ้ยุแยง จึงเกิดความไม่พอใจต่อเสิ่นหย่าแล้วเช่นกัน รู้สึกว่าลูกสะใภ้ตระกูลขุนนางผู้นี้สูงส่งเหนือชั้น ดูถูกคนชนบทเช่นพวกเขา ไม่เคารพแม่สามีเช่นนางอย่างยิ่ง บวกกับเสิ่นหย่าแต่งเข้ามาได้สี่ปีแล้วก็ยังไม่มีลูกแม้แต่คนเดียว อีกทั้งยังไม่อนุญาตให้ลูกชายแต่งอนุภรรยา จึงยิ่งทำให้มารดาแซ่เหอไม่พอใจ

 

 

เสิ่นหย่าถูกมารดาแซ่เหอเสียดสีประณาม กระทั่งสามีก็ยังตำหนินาง มิหนำซ้ำนางยังเป็นคนที่มีนิสัยโอนอ่อน ทำได้เพียงก้มหน้าร้องไห้เงียบๆ ไม่เคยตะโกนคัดค้านแม้แต่ประโยคเดียว

 

 

ตระกูลเหอเริ่มจะจับนิสัยของนางได้ ก็ยิ่งทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น ร้านค้าที่พี่ใหญ่ตระกูลเหอดูแลก็ได้กำไรแย่ลงทุกปีๆ พี่สะใหญ่พี่ใหญ่ตระกูลเหอก็คิดหาวิธีฉกชิงเครื่องประดับศีรษะของนาง มารดาแซ่เหอ

 

 

กระทั่งฉวยโอกาสตอนที่นางท้องยึดสินเดิมของนางไป อ้างว่าจะได้ให้นางเลี้ยงครรภ์อย่างสบายใจ เมื่อนางคลอดแล้วจะคืนให้ทันที

 

 

แต่ชั่วพริบตานางคลอดบุตรสาวหนึ่งคนก็ไม่มีแม้แต่จะเอ่ยถึง ไม่เพียงแต่ไม่เอ่ยถึง ซ้ำยังใช้สินเดิมของนางแต่งอนุภรรยาให้ลูกชาย นางอ้างเช่นนี้ ‘อย่างไรเสียหมิงเอ๋อร์ก็เป็นนายอำเภอ อายุยี่สิบกว่าปีแล้ว ไม่มีทายาทแม้แต่คนเดียว จะได้อย่างไรกัน ในเมื่อเจ้าให้กำเนิดไม่ได้ เช่นนั้นก็ให้คนอื่นให้กำเนิดแทน อย่างไรเสียก็เรียกเจ้าว่าแม่เหมือนกัน’

 

 

หัวใจของเสิ่นหย่าราวกับตกลงในโพรงน้ำแข็ง ทั้งจิตทั้งใจนางหวังว่าสามีจะปฏิเสธได้ แต่เหอจัง

 

 

หมิงกลับรับไว้อย่างยินดี เขาเองก็ไม่พอใจภรรยาอยู่เช่นเดียวกัน

 

 

ตอนแรกที่สามารถแต่งคุณหนูจวนโหวได้เขาเกรงกลัวอย่างยิ่ง เผชิญหน้ากับสายตาอิจฉาของผองเพื่อนวัยเดียวกันเขาก็เคยภูมิอกภูมิใจ ภูมิใจที่คนอื่นยังดิ้นรนรอตำแหน่งว่างอยู่ในเมืองหลวง แต่ตอนที่เขาถือเอกสารราชการไปยื่นตำแหน่งกลับได้ตำแหน่งที่สูงที่สุด

 

 

ทว่าตามกาลเวลาที่หมุนไป เพื่อนวัยเดียวกันที่เทียบเขาไม่ได้เหล่านั้นต่างก็ทยอยกันเลื่อนตำแหน่ง บ้างก็เลื่อนตำแหน่งถึงเมืองหลวง มีเพียงเขาที่ยังคงเป็นนายอำเภอเล็กๆ อยู่ เขาคิดว่าจวนจงอู่โหวกดเขา หากว่าอาศัยความสามารถของเขาเองก็คงจะเลื่อนขั้นได้นานแล้ว ด้วยเหตุนี้จึงไม่พอใจภรรยายิ่งขึ้น

 

 

ความไม่พอใจนี้เพิ่มขึ้นทุกวันๆ ด้วยการให้กำเนิดของอนุภรรยา หัวใจเขาก็ยิ่งลำเอียง อนุภรรยาผู้นั้นกระทั่งปีนขึ้นหัวเสิ่นหย่าอย่างง่ายดาย อ้อ เหอจังหมิงในตอนนี้มีอนุภรรยาสามคนและสาวใช้ที่เลื่อนขั้นเป็นอนุภรรยาอีกสองคน

 

 

ตั้งแต่ต้นจนบัดนี้เสิ่นหย่าผู้น่าสงสารยังไม่ทันได้คลายสุขในการคลอดบุตรสาวก็ตกลงไปในเหวลึกแล้ว ช่วงหลังคลอดสามีก็แต่งอนุภรรยาอย่างทนรอไม่ได้ นางเองก็ห้ามไม่ได้ ยิ่งไม่ได้เห็นหน้าสามี วันทั้งวันก็ร่ำไห้น้ำตานองหน้า แม่สามีก็ยังทรมานนาง ช่วงหลังคลอดกินไม่ได้แม้แต่ไก่ อ้างว่า ‘คลอดเด็กผู้หญิงแล้วยังคิดจะกินดีอีกหรือ สตรีชนบทเช่นพวกเรามีใครบ้างที่ไม่ได้คลอดวันนี้ พรุ่งนี้ก็ทำงานในนาเหมือนเดิม ไหนเลยจะกินหรูอยู่สบายเช่นนี้’

 

 

หญิงชราสาวใช้ข้างกายเสิ่นหย่าต่างก็แค้นเคืองกับความอยุติธรรม แต่นายอ่อนแอลุกยืนไม่ขึ้นบ่าวรับใช้ร้อนใจไปก็เท่านั้น สาวใช้ที่ออกเรือนมาพร้อมกันก็เสนอความคิดเห็นไปไม่น้อย ให้นางเขียนจดหมายเข้าเมืองหลวง แต่เสิ่นหย่ากลับยืนกรานไม่ยอม นางเองก็มีความคิดเป็นของตนเอง นางเป็นบุตรสาวอนุภรรยา แม่ใหญ่นางก็เพียงแค่ทำดีต่อหน้านาง พี่ชายมารดาเดียวกันก็หวังพึ่งไม่ได้ พี่ชายคนอื่นนางก็ไม่ค่อยสนิทนัก ท่านพ่อก็อยู่ไกลถึงซีเจียง ใครจะออกหน้าแทนนางได้

 

 

มิหนำซ้ำตอนนั้นนางยังร้องคร่ำครวญขอแต่งงาน ตอนนี้ชีวิตกลายเป็นเช่นนี้ นางเองก็ไม่มีหน้าจะไปขอความช่วยเหลือ

 

 

เป็นเช่นนี้ เสิ่นหย่าเลี้ยงดูบุตรสาวด้วยความลำบากตรากตรำ บ่าวรับใช้เดิมที่นำไปด้วยก็ถูกขายไปหลายต่อหลายคนแล้ว เหลือเพียงสาวใช้หนึ่งคน แม่นมหนึ่งคนและสาวใช้แรงงานอีกหนึ่งคน

 

 

เรือนหลังของเหอจังหมิงถูกอนุภรรยาที่คลอดบุตรชายคนโตผู้นั้นควบคุม เรือนใหญ่ของเสิ่นหย่าเหลือเพียงแต่ชื่อมานานแล้ว นางกระทั่งต้องผันตัวเป็นหญิงเย็บผ้าแลกเงินดำรงชีพ ร้านค้าจำนวนมากในเมืองอวิ๋นโจวต่างก็รู้จักเพียงเถียนอี๋เหนียงแต่กลับไม่รู้จักเสิ่นหย่าฮูหยินเรือนใหญ่ผู้นี้

 

 

เสิ่นหย่าถูกขังไว้ในเรือนหลัง ไม่รู้ข่าวข้างนอก ย่อมไม่รู้ว่าพ่อนางคว้าชัยกลับมาจากซีเจียงแล้ว อีกทั้งยังได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นราชครูของรัชทายาท

 

 

ทว่าเหอจังหมิงกลับรู้แล้ว อีกทั้งยังเคยตื่นตระหนก แต่เขาเห็นภรรยายังหดหัวอยู่ในเรือนเงียบๆ เหมือนเช่นเมื่อก่อน ความกล้าหาญจึงเพิ่มขึ้นอีกครั้ง ในขณะเดียวกันก็ไม่พอใจ เหอะ ใครๆ ก็บอกว่าบ้านภรรยาเขามีอำนาจ มีอำนาจบ้าอะไร ผ่านไปจะยี่สิบปีแล้ว เขาเปลี่ยนที่มาหลายที่แล้วก็ยังเป็นเพียงนายอำเภอ เขาจะต้องได้รับผลกระทบจากจวนจงอู่โหวเป็นแน่ ถูกศัตรูการเมืองของจวนจงอู่โหวแก้แค้น มิเช่นนั้นด้วยความรู้และความสามารถของเขา คงจะเข้าเมืองหลวงได้นานแล้ว