อาณาจักรใต้ดินแห่งภูเขาพยัคฆ์มังกร

จางเซวียนพยักหน้ารับ

ที่ผ่านมา เขาคิดว่าวิหารแห่งขงจื๊อมีเพียงมหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้ร่วงกับมรดกตกทอดของปรมาจารย์ขง แต่เท่าที่เห็นตอนนี้ ดูเหมือนว่าจะไม่ต่างกับอาณาจักรโบร่ำโบราณที่อื่น ยังมีทรัพย์สมบัติล้ำค่าและข้าวของอีกมากมายที่คาดไม่ถึงซึ่งรอคอยบรรดานักรบอยู่ที่นั่น

“ไม่เพียงเท่านั้นนะ วิหารแห่งขงจื๊อยังมีรังสีของภูมิปัญญาและมรดกทางการศึกษาที่ปรมาจารย์ขงทิ้งไว้ด้วย ต่อให้นักรบคนหนึ่งไม่ได้อะไรจากวิหารเลย แต่วรยุทธของเขาก็จะก้าวหน้าขึ้นมากหากฝึกฝนวรยุทธที่นั่น อีกอย่าง ว่ากันว่าการถ่ายทอดลิขิตสวรรค์ของปรมาจารย์ขงก็ยังคงหลงเหลืออยู่ที่วิหาร ขอแค่นักรบผู้นั้นตั้งใจฟังอย่างถี่ถ้วน ก็จะฝ่าด่านคอขวดที่กำลังเผชิญอยู่ได้อย่างง่ายดาย” หลัวลั่วชิงอธิบาย

“การปรากฏของวิหารแห่งขงจื๊อเป็นเรื่องใหญ่สำหรับนักรบทุกคนในโลก นี่คือโอกาสที่ไม่มีใครอยากพลาด ไม่ว่าจะเป็นนักรบที่เป็นมนุษย์หรือเผ่าพันธุ์ปีศาจ หรือแม้แต่อสูร คุณจะต้องเตรียมตัวให้พร้อมหากหวังจะได้อะไรบางอย่างจากวิหารแห่งขงจื๊อ การเดินดุ่มเข้าไปที่นั่นอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรย่อมไม่ก่อให้เกิดผลใดๆขึ้นมา”

ได้ยินคำนั้น จางเซวียนก้มหน้าลงอย่างเคร่งขรึม

เผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นมีผู้เชี่ยวชาญอยู่มากมาย และในโลกนี้ก็มีอสูรที่ทรงพลังอยู่จำนวนมาก ด้วยความเย้ายวนของวิหารแห่งขงจื๊อ ต่อให้สภาปรมาจารย์ก็ไม่อาจยับยั้งพวกเขาเหล่านั้นได้

เดิมพันนั้นยิ่งใหญ่เกินไป การยับยั้งไม่ให้ใครเข้าสู่วิหารแห่งขงจื๊อก็เท่ากับปล้นโอกาสมากมายที่พวกเขาจะได้รับ ในกรณีเลวร้ายที่สุด อาจนำไปสู่สงครามอย่างเต็มรูปแบบ

และหากกองกำลังเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นเริ่มโจมตี มวลมนุษย์จะต้องตกอยู่ในความยากลำบาก

สิ่งที่ดีที่สุดที่พวกเขาทำได้ในตอนนี้ก็คือนำมหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้ร่วงออกมาให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ และควบคุมวิหารแห่งขงจื๊อไว้

สิ่งนี้เป็นหนทางเดียวที่จะแน่ใจได้ว่าสถานการณ์จะไม่บานปลาย

ปรมาจารย์ขงได้หลอมเครื่องรางบริวารไว้ 6 ชิ้น และเครื่องรางลำดับแรกอีกชิ้นหนึ่ง ซึ่งรวมแล้วก็เท่ากับว่ามีเครื่องรางฟ้าประทานในตำนานทั้งหมด 7 ชิ้น เป็นที่รู้กันว่าทั้งสภาปรมาจารย์สำนักงานใหญ่ ตระกูลจาง และตระกูลหลัวต่างก็ครอบครองเครื่องรางบริวารอย่างละชิ้น ส่วนเครื่องรางบริวารอีก 3 ชิ้นที่เหลือนั้น ตำแหน่งที่อยู่ของมันยังคงเป็นความลับ

แต่ถ้าจะให้จางเซวียนคาดเดา เขารู้สึกว่าเผ่าพันธุ์ปีศาจและ 100 สำนักแห่งนักปราชญ์น่าจะมีเครื่องรางบริวารอยู่ในครอบครองเช่นกัน

นอกเหนือไปจากนั้น เหล่านักรบที่มีสภาวะพิเศษก็สามารถเข้าสู่วิหารแห่งขงจื๊อได้ นั่นหมายความว่าจะมีผู้คนจำนวนมากที่สามารถเข้าสู่วิหารแห่งขงจื๊อ ทุกอย่างอาจกลับกลายเป็นเรื่องอันตรายได้หากเขาไม่เตรียมตัวให้พร้อม

นอกจากทั้งหมดที่กล่าวมา เหล่านักรบของ 100 สำนักแห่งนักปราชญ์ก็ได้แสดงให้เห็นแล้วว่าพวกเขามีเครื่องรางที่มีอานุภาพร้ายกาจอยู่มากมาย ถึงจางเซวียนจะยกระดับวรยุทธขึ้นได้มากแล้ว แต่ก็ยังรับมือกับคนเหล่านั้นได้ไม่ง่าย

จางเซวียนไม่คิดว่าตัวเองเป็นนักรบที่อ่อนแออีกต่อไป แต่เขาก็ไม่โอหังจนถึงขนาดจะคิดว่า สามารถเอาชนะผู้เชี่ยวชาญทุกคนในโลกนี้ได้

“พวกเรารีบกลับตระกูลจาง และดูว่าคนที่นั่นเตรียมการไปถึงไหนแล้วจะดีกว่า!”

อันที่จริง จางเซวียนไม่รู้อะไรมากนักเกี่ยวกับวิหารแห่งขงจื๊อและการจะได้มาซึ่งมหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้ร่วง แต่ดูเหมือนตระกูลจางจะมีภูมิปัญญาลับเฉพาะ และได้เตรียมการสำหรับเรื่องนี้ไว้เนิ่นนานแล้ว

เมื่อคิดขึ้นได้ จางเซวียนกับหลัวลั่วชิงก็รีบเดินทางออกจากสภาปรมาจารย์สำนักงานใหญ่เพื่อกลับสู่ตระกูลจาง

เพราะการยกระดับวรยุทธของจางเซวียน เส้นทางแห่งมิติที่เขาสร้างขึ้นผ่านการเปิดรอยแยกแห่งมิตินั้นจึงเฉียบคมกว่าเดิมมาก ใช้เวลาไม่นาน ตระกูลจางอันใหญ่โตโอ่อ่าก็ปรากฏตรงหน้า

ทันทีที่เข้าสู่ตระกูลจาง จางเซวียนก็รู้สึกได้ทันทีว่ามีบางอย่างแปลกไป

ตระกูลจางมีผู้คนมากมายเดินไปมาคลาคล่ำอยู่ตลอดเวลา แต่ตอนนี้ทุกที่ดูเงียบเชียบอย่างไม่น่าเชื่อ แทบไม่มีใครให้เห็น

หลังจากเดินตรวจสอบไปรอบๆอยู่ครู่ใหญ่ ในที่สุดจางเซวียนก็พบผู้อาวุโสคนหนึ่ง เขาตั้งคำถามด้วยความร้อนใจ “เกิดอะไรขึ้น?”

“นักรบระดับเซียนและระดับที่เหนือกว่านั้นเกือบทุกคนของตระกูลจางมุ่งหน้าไปที่อาณาจักรใต้ดินเพื่อต่อต้านการรุกรานของเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่น เซียนดาบชิงเหมิงก็เดินทางไปที่นั่นเช่นกัน” เมื่อเห็นจางเซวียน ผู้อาวุโสรีบโค้งคำนับให้ก่อนจะรายงานสถานการณ์ที่เกิดขึ้น

“พวกเขามุ่งหน้าไปยังอาณาจักรใต้ดินหรือ?” จางเซวียนตาโต

เขากำลังมึนงงกับการปรากฏขึ้นของวิหารแห่งขงจื๊อจนลืมเรื่องคำสั่งที่ตัวเขาได้ส่งมาก่อนหน้านี้ ตอนที่จางเซวียนอยู่ที่สภาปรมาจารย์สำนักงานใหญ่ เขาได้สั่งการทั้ง 3 ตระกูลชั้นนำให้รวบรวมกำลังพลเพื่อเข้าร่วมกับสภาปรมาจารย์ในการต่อต้านกองกำลังเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่น

“พวกเขามุ่งหน้าไปยังอาณาจักรใต้ดินที่ไหน? พาผมไปที่นั่นที” จางเซวียนสั่งการ

เมื่อการเปิดวิหารแห่งขงจื๊อใกล้เข้ามา ภัยคุกคามจากเผ่าพันธุ์ปีศาจก็ดูจะหนักหน่วงขึ้น เพราะถึงอย่างไร พวกมันก็ไม่อยากพลาดโอกาสที่อาจมีเพียงครั้งเดียวในชีวิต

เรื่องนี้ถือเป็นความลำบากใจไม่น้อย วิหารแห่งขงจื๊อก็สำคัญ แต่ต่อให้พวกเขาได้มหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้ร่วงมา ก็ย่อมไร้ความหมายหากต้องสูญเสียทวีปแห่งปรมาจารย์ไป

มหาคัมภีร์จะช่วยยกระดับประสิทธิภาพการต่อสู้ของนักรบได้อีกมาก แต่หากต้องเข้าร่วมสงครามที่ยิ่งใหญ่ระดับนี้ ก็จะต้องใช้กองกำลังทหารมากมายนับไม่ถ้วน คงเป็นหายนะแน่หากกองกำลังเผ่าพันธุ์ปีศาจสามารถฝ่าวงล้อมของแนวป้องกันเข้ามาได้ในเวลานี้

ไม่แปลกใจแล้วว่าทำไมสภาปรมาจารย์สำนักงานใหญ่จึงตื่นตระหนกและรีบร้อนถึงขั้นมอบตำแหน่งปรมาจารย์ระดับ 9 ดาวให้กับเขาโดยผ่านการทดสอบเพียงเล็กน้อย

เพราะหากใช้กระบวนการแบบทั่วไป การพิสูจน์ว่าปรัชญาและการถ่ายทอดความรู้ของเขาใช้การได้นั้นก็จะต้องใช้เวลาหลายปีเป็นอย่างน้อย

“ถึงจะมีความไม่สงบเกิดขึ้นไปทั่วอาณาจักรใต้ดินทั้ง 108 แห่ง แต่กองลาดตระเวนของเราพบว่า อาณาจักรใต้ดินส่วนใหญ่เผชิญหน้ากับการโจมตีเพียงเล็กน้อยเท่านั้น สภาปรมาจารย์ในพื้นที่น่าจะรับมือไหว แต่ภัยคุกคามที่แท้จริงอยู่ที่อาณาจักรใต้ดิน 6 แห่ง คืออาณาจักรใต้ดินของสภาปรมาจารย์สำนักงานใหญ่ อาณาจักรใต้ดินประตูมังกร อาณาจักรใต้ดินทะเลน้ำแข็ง อาณาจักรใต้ดินทะเลเมฆา อาณาจักรใต้ดินแห่งภูเขาพยัคฆ์มังกรของตระกูลจาง และอาณาจักรใต้ดินแห่งกลุ่มดาวของตระกูลหลัว!”

“ตอนนี้มีปรมาจารย์ระดับ 9 ดาวมากมายตรึงกำลังอยู่ที่อาณาจักรใต้ดินของสภาปรมาจารย์สำนักงานใหญ่แล้ว พวกเขาจึงไม่ต้องการความช่วยเหลือ”

“สำหรับอาณาจักรใต้ดินประตูมังกรและอาณาจักรใต้ดินทะเลเมฆา เจิ้งหยาง, ทายาทยอดขุนพล ได้รวบรวมกองกำลังยอดขุนพลจำนวนนับไม่ถ้วนเข้าตรึงกำลังที่สถานที่ทั้งสองแห่ง”

“ส่วนอาณาจักรใต้ดินทะเลน้ำแข็ง ทางศาลาว่าการที่ราบธารน้ำแข็ง ตระกูลหยวน ปูชนียสถานนักปราชญ์ และสมาคมผู้พลิกฟื้นจิตวิญญาณได้ผนึกกำลังกันเพื่อรับมือกับบริเวณนั้น”

“ส่วนตระกูลนักปราชญ์อื่นๆ เหล่าสมาคมวิชาชีพต่างๆ และกลุ่มอำนาจที่เหลือต่างก็เดินหน้าเข้าสู่ อาณาจักรใต้ดินที่อื่นๆเพื่อเสริมกำลังในบริเวณที่ต้องการ”

“สุดท้าย ตระกูลเจียงได้ผนึกกำลังกันกับตระกูลจางและตระกูลหลัวเพื่อตรึงกำลังบริเวณอาณาจักรใต้ดินแห่งภูเขาพยัคฆ์มังกรและอาณาจักรใต้ดินแห่งกลุ่มดาว”

“เผ่าพันธุ์ปีศาจยกพลเข้าสู่อาณาจักรใต้ดินแห่งภูเขาพยัคฆ์มังกรและอาณาจักรใต้ดินแห่งกลุ่มดาว ทำให้ฉนวนที่นักปราชญ์โบราณชิวอู๋สร้างไว้ไม่อาจป้องกันพวกมันได้ ด้วยเหตุนี้ เหล่าปรมาจารย์ระดับ 6 ดาวขึ้นไปของตระกูลจางจึงผนึกกำลังกันเดินทางไปยังอาณาจักรใต้ดินเพื่อตรึงกำลังที่นั่น” ผู้อาวุโสอธิบาย

“ผมได้รับคำสั่งให้ดูแลตระกูลขณะที่คนอื่นๆออกเดินทางไป หากสถานการณ์เลวร้ายกว่าเดิม ผมก็มีหน้าที่ต้องอพยพเหล่าสมาชิกของตระกูลจางออกไปเพื่อรักษาสายเลือดตระกูลจางเอาไว้”

“อาณาจักรใต้ดินแห่งภูเขาพยัคฆ์มังกร? แปลว่ามีอาณาจักรใต้ดินอยู่ใต้พื้นดินที่เราเหยียบอยู่นี่หรือ?” จางเซวียนเลิกคิ้ว

เขารู้ว่ามีสภาปรมาจารย์ในท้องถิ่นบางสาขาที่มีความรับผิดชอบในการดูแลอาณาจักรใต้ดินทั่วทั้งทวีป อย่างเช่นสถาบันปรมาจารย์หงหย่วน…เขาน่าจะรู้ว่าตระกูลจางก็ต้องมีเหมือนกัน!

ภูเขาพยัคฆ์มังกรนั้นอยู่ติดกับตระกูลจาง และในเมื่ออาณาจักรใต้ดินได้ชื่อตามภูเขา ก็แปลว่ามันจะต้องอยู่ในบริเวณใกล้เคียง

“ใช่แล้ว ทางเข้าอยู่ใต้ตระกูลจางนี่เอง หากคุณอยากไป ผมพาคุณไปได้เดี๋ยวนี้เลย” ผู้อาวุโสตอบ

“พาผมไปที ผมอยากเห็น” จางเซวียนสั่งการ

ในเมื่อตอนนี้วิหารแห่งขงจื๊อยังไม่เปิด หรือต่อให้มันเปิด ก็คงไม่สำคัญเท่ากับการผลักดันการบุกรุกของเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่น

“ท่านหัวหน้า กรุณาตามผมมา!”

ผู้อาวุโสนำทางไปโดยไม่ลังเล ไม่ช้าก็มาถึงที่หมาย

“นี่คือ…สุสานตระกูลจาง?” จางเซวียนชะงัก

“ใช่แล้ว อาณาจักรใต้ดินอยู่ใต้สุสานของพวกเรา” ผู้อาวุโสตอบ

“ใช้จิตวิญญาณวีรบุรุษของเหล่าบรรพบุรุษตระกูลจางควบคุมอาณาจักรใต้ดินไว้…” จางเซวียนพึมพำ

เรื่องนี้เหมือนกับที่สถาบันปรมาจารย์หงหย่วน โดยอาจารย์ใหญ่แต่ละคนของสถาบันปรมาจารย์หงหย่วนจะทิ้งเจตจำนงเสี้ยวหนึ่งไว้ที่บริเวณทางเข้าอาณาจักรใต้ดินเพื่อเพิ่มพละกำลังให้กับฉนวน ทำให้กองกำลังเผ่าพันธุ์ปีศาจไม่สามารถเข้าสู่ทวีปแห่งปรมาจารย์ได้

“มีแต่จิตวิญญาณวีรบุรุษของเหล่าบรรพบุรุษเท่านั้นที่สามารถควบคุมอำนาจของเผ่าพันธุ์ปีศาจ และป้องกันไม่ให้พวกมันเข้ารุกรานทวีปแห่งปรมาจารย์ได้…ท่านหัวหน้า อาณาจักรใต้ดินอยู่ตรงหน้านี่เอง ผมยังมีเรื่องอื่นที่ต้องไปจัดการ เพราะฉะนั้นต้องขอตัวก่อน” ผู้อาวุโสกล่าวอำลาก่อนจะออกจากบริเวณนั้นไป

ถ้าเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นสามารถทำลายแนวป้องกันของตระกูลจางและตระกูลเจียงได้ จุดหมายแรกของพวกมันในทวีปแห่งปรมาจารย์ก็จะต้องเป็นตระกูลจาง ดังนั้นพวกเขาจึงต้องเตรียมพร้อมที่จะโยกย้ายเหล่าสมาชิกของตระกูลจางออกไปได้ทุกขณะ

เพราะไม่อย่างนั้น แม้แต่สมาชิกรุ่นเยาว์ก็จะต้องเสียชีวิตในสงครามครั้งนี้ ซึ่งนั่นจะทำให้มวลมนุษย์ไม่มีกองกำลังสำหรับรับมือกับเผ่าพันธุ์ปีศาจอีกต่อไป

“ได้” จางเซวียนพยักหน้าก่อนจะเดินเข้าสู่สุสานตระกูลจางพร้อมกับหลัวลั่วชิง

มีป้ายชื่ออยู่มากมายนับไม่ถ้วน เมื่อดูใกล้ๆ ก็จะเห็นรายชื่อจารึกไว้บนแผ่นหินนั้น พวกเขาคือผู้เชี่ยวชาญที่แข็งแกร่งที่สุดในแต่ละยุคสมัยของตระกูลจาง แต่ก็น่าเสียดายที่ไม่อาจหนีพ้นกฎเกณฑ์ของกาลเวลาได้ สิ่งที่พวกเขาทิ้งไว้ก็มีเพียงฝุ่นผงธุลี

ต่อให้ใครสักคนจะปราดเปรื่องแค่ไหนในยุคสมัยของเขา แต่เมื่อเวลาผ่านไปอีกหลายหมื่นปี ก็จะเหลือไว้แต่เพียงชื่อที่ถูกจารึกไว้บนแผ่นหินเท่านั้น

ด้วยกาลเวลาที่ผ่านไป แม้แต่ประวัติศาสตร์ก็จะหลงลืมว่าพวกเขาเคยเป็นใครและเคยทำอะไรไว้บ้าง ทั้งหมดที่เหลืออยู่ก็มีแต่จิตวิญญาณวีรบุรุษเท่านั้น