บทที่ 753 เดินให้ถูกทาง!

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

หวังเป่าเล่อนิ่วหน้า หันไปมองผู้อาวุโสสูงสุดที่อยู่ด้านหลังด้วยสายตาเย็นเยียบ เขาไม่ได้คาดคิดว่าชายคนนี้จะยอมรับชะตากรรมของตนเองได้รวดเร็ว ถึงขนาดเปลี่ยนมาพยายามยกยอปอปั้นเขาในทันที

มนุษย์ต่างดาวนี่ก็ประจบเป็นด้วยหรือ หวังเป่าเล่อฮึดฮัดอยู่ในใจ ในฐานะผู้ที่จะก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำสหพันธรัฐคนต่อไป ชายหนุ่มพบเห็นพวกชอบประจบประแจงมามากมายในชีวิต เขาจะไม่ยอมกลายเป็นคนประเภทที่ชอบฟังคนอื่นพูดยกยอปอปั้นตนเองเป็นอันขาด ด้วยเหตุนี้ชายหนุ่มจึงพูดออกมาด้วยเสียงเย็นชา “ก่อนหน้านี้เจ้าเกือบโดนข้าฆ่าตายแล้วมิใช่หรือ!”

น้ำเสียงของชายหนุ่มเจือด้วยรังสีสังหาร ทันทีที่ผู้อาวุโสสูงสุดได้ยิน ร่างกายของเขาก็สั่นสะท้าน เขามองหวังเป่าเล่อด้วยความตื่นเต้นปรีดาอันไม่มีที่สิ้นสุด หากเข้ามามองใกล้ๆ จะเห็นน้ำตาที่ปริ่มสองเบ้าตา

“นายท่าน ท่านช่างเปี่ยมไปด้วยศีลธรรมอันดี อารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ทุกวันนี้กลายเป็นสถานที่ที่แสนมืดมนภายใต้การนำของสามสำนักใหญ่ ทุกคนล้วนเห็นแก่ตัวและไม่ยินดียินร้ายต่อความรุนแรงและการสังหาร การที่ข้าได้มาเจอนายท่าน ถือเป็นเรื่องที่โชคดีที่สุดในชีวิตข้าเลยก็ว่าได้!”

“พอได้แล้ว! เต๋อคุนจื่อ อย่าพูดอะไรเช่นนี้อีกเชียวนะ ข้าไม่ชอบฟังคนประจบเอาใจ รู้จักที่ต่ำที่สูงเสียด้วย!” หวังเป่าเล่อมีสีหน้ารำคาญใจ ยิ่งมองเต๋อคุนจื่อก็ยิ่งรู้สึกหงุดหงิด เขารู้สึกว่าตัวเองพลาดไปเล็กน้อยที่ไม่ฆ่าหมอนี่ทิ้งเสีย แต่ก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากทำท่าฮึดฮัดและเดินต่อไปข้างหน้าอย่างเย็นชา

เมื่อได้ยินดังนั้น ผู้อาวุโสสูงสุดก็มีสีหน้าเคร่งขรึมและพูดด้วยท่าทีจริงจังขึ้น

“เต๋อคุนจื่อผู้นี้เชื่อฟังนายท่าน คำพูดของนายท่านเปรียบเสมือนสายลมที่พัดหมอกร้ายให้มลายหายสิ้น ทำให้คนอย่างข้ามองเห็นท้องฟ้าได้แจ่มชัดอีกครั้ง ท่านทำให้ข้ามองเห็นอนาคตอันรุ่งโรจน์ของอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ของเรา มอบความหวังให้กับหัวใจที่แห้งแล้งของข้า ร่างสูงโปร่งน่าเกรงขามของท่านเปรียบเสมือนเสาค้ำที่พยุงอารยธรรมของเราเอาไว้ ช่างเต็มไปด้วยความกล้าหาญองอาจสมกับที่เป็นวีรบุรุษ ทำให้ข้า…”

เมื่อได้ฟังครึ่งแรกของคำสรรเสริญที่เต๋อคุนจื่อพูดออกมา ความหงุดหงิดรำคาญในใจของหวังเป่าเล่อก็ระเบิดในทันทีเหมือนดอกไม้ไฟ เขาหันหน้ากลับมามอง อ้าปากจะปรามเต๋อคุนจื่อด้วยสีหน้าเข้มงวด ชายหนุ่มรู้สึกว่าในฐานะผู้นำที่ยิ่งใหญ่และน่ายำเกรง เขาไม่ควรมีคนประจบสอพลออย่างเต๋อคุณจื่ออยู่ข้างกาย เขาจะปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไปไม่ได้เด็ดขาด เนื่องจากมันจะเป็นผลร้ายต่อชื่อเสียงของเขา แต่ก่อนที่จะทันได้อ้าปากก่นด่า หวังเป่าเล่อก็ได้ยินท่อนที่สองของคำสรรเสริญเสียก่อน…

ประโยคที่ยกยอรูปร่างสูงโปร่งตั้งตรงของเขาทำให้หวังเป่าเล่อกระแอมกระไอออกมา เต๋อคุนจื่อสังเกตเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปได้ทันที ดวงตาของเขาสว่างวาบ ก่อนเริ่มพูดต่ออย่างรวดเร็ว

“นายท่าน ความจริงแล้วสิ่งที่ข้าพูดก่อนหน้านี้ไม่ได้สลักสำคัญอันใดเลย สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ บัดนี้ข้าได้ติดตามวีรบุรุษรูปงามที่ทั้งองอาจและกล้าหาญ เป็นเกียรติยศอันสูงสุดในชีวิตข้าที่ได้ติดตามชายที่หล่อเหลาที่สุดในอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ทั้งหมด”

หวังเป่าเล่อมองหน้าเต๋อคุนจื่ออยู่นานด้วยสายตาลึกล้ำ สีหน้าของชายหนุ่มอ่อนลงเล็กน้อย เขาลอบถอนใจอยู่คนเดียวในอก

ข้าจะโทษหมอนี่ก็ไม่ได้ เป็นความผิดของข้าเองที่มีรูปโฉมงดงามที่สุดในสหพันธรัฐ หล่อเหลาที่สุดในอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์…จะทำอย่างไรได้เล่า ในเมื่อข้าเป็นฝ่ายเข้าใจผิดเอง หมอนี่ไม่ได้พยายามประจบเอาใจข้า เพียงแต่พูดความจริงเท่านั้น หวังเป่าเล่อถอนหายใจ เขารู้สึกว่าต่อให้เป็นผู้นำสหพันธรัฐ ก็คงไม่โหดร้ายขนาดห้ามปรามประชาชนไม่ให้สรรเสริญคุณงามความดีของเขาจากก้นบึ้งของหัวใจ การจะบังคับจิตใจประชาชนให้พูดเท็จว่าเขาไม่หล่อเหลานั้นเป็นเรื่องที่ไม่ดีอย่างยิ่ง

ขณะเดินทางกลับไปยังเรือบินรบแห่งสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์นั้น เต๋อคุนจื่อที่ได้รับอนุญาตจากหวังเป่าเล่อเป็นที่เรียบร้อย จึงใช้กระบวนเวทเก่าเก็บของตนเองได้อย่างเต็มกำลัง ตลอดทางกลับ เขาสรรเสริญรูปลักษณ์ความงามของหวังเป่าเล่อโดยไม่ซ้ำกันแม้แต่คำเดียว หวังเป่าเล่อที่ฟังอยู่ก็ใจอ่อนลงอีกครั้ง และยิ้มพร้อมพยักหน้าอย่างลังเลเล็กน้อย

เหตุการณ์นี้ดำเนินไปจนกระทั่งทั้งสองเห็นเรือบินรบของสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์ที่จอดรอการกลับมาของหวังเป่าเล่ออยู่ ร่างจริงของเต๋อคุนจื่อเดินออกมาต้อนรับเขา ผู้อาวุโสสูงสุดแห่งสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์ไม่ได้ดูขัดเขินแม้แต่น้อย ขณะรับช่วงการประจบหวังเป่าเล่อต่อจากร่างอวตารของตนเอง

หวังเป่าเล่อขัดการพูดประกาศความจริงของเต๋อคุนจื่อ และใช้ข้ออ้างเพื่อค้นวิญญาณร่างจริงของเต๋อคุนจื่อต่อ คำสาปแห่งความตายที่ยังประทับอยู่บนวิญญาณของเขาทำให้เต๋อคุนจื่อไม่กล้าขัด ดังนั้นหวังเป่าเล่อจึงตรวจค้นดวงวิญญาณของเต๋อคุนจื่ออย่างละเอียดถี่ถ้วน และเข้าใจเรื่องราวของอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์มากขึ้น

โดยเฉพาะเรื่องความขัดแย้งระหว่างราชวงศ์และสำนักใหญ่ทั้งสาม แต่ก็มีอยู่เรื่องหนึ่งเช่นกันที่ทำให้หวังเป่าเล่อถึงกับปวดหัวตึบ

นั่นคือการพยายามทำตัวเข้ากับราชวงศ์ให้ได้และหาทางฝึกวิชาดวงเนตรปีศาจต่อไปนั่นเอง นี่คือเรื่องใหญ่สำหรับหวังเป่าเล่อ อย่างไรเสีย หากเขายังต้องการพัฒนาขั้นปราณของตนเองอย่างรวดเร็วต่อเนื่อง เขาก็ต้องหาภาคต่อของวิชาดวงเนตรปีศาจให้ได้ หวังเป่าเล่อจะเดินหน้าฝึกปราณต่อไปโดยที่ไม่ใช้วิชาภาคต่อก็ย่อมได้ แต่การใช้วิชาของขั้นจุติวิญญาณเพิ่มพลังปราณให้กับขั้นเชื่อมวิญญาณนั้นยากเย็นแสนเข็ญไม่ต่างจากการใช้ลูกม้าแรกเกิดลากรถม้าขนาดใหญ่

กระนั้นสมาชิกราชวงศ์ของอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ บัดนี้ถูกจองจำอยู่ในที่พักของตนเองภายใต้คำสั่งเฝ้าระวังของสำนักใหญ่ทั้งสาม และถูกตัดการสื่อสารจากโลกภายนอกโดยสิ้นเชิง แม้จะยังพอมีวิธีติดต่อกับคนภายนอกอยู่บ้าง แต่ก็ต้องกระทำภายใต้การเฝ้าสังเกตการณ์ของสำนักทั้งสามอยู่ดี

ความเป็นไปได้ที่จะติดต่อสมาชิกราชวงศ์เพื่อขอภาคต่อของวิชาดวงเนตรปีศาจโดยไม่ให้สมาชิกของสำนักใหญ่ทั้งสามจับได้นั้นเป็นไปได้น้อยมาก ต่อให้เขาใช้กระบวนเวทสารัตถะในการจำแลงกาย ก็ไม่ได้ทำให้เรื่องนี้ง่ายขึ้นแต่อย่างใด ความเป็นไปได้เดียวที่มีคือการสังหารผู้ฝึกตนระดับจิตวิญญาณอมตะและใช้ร่างนั้นแทนเสีย

แต่ผู้ฝึกตนระดับจิตวิญญาณอมตะก็ใช่ว่าจะสังหารได้ง่ายๆ แม้หวังเป่าเล่อจะสามารถสยบผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นสมบูรณ์ได้ในตอนนี้ เขาก็ยังไม่มั่นใจพอที่จะต่อกรกับผู้ฝึกตนระดับจิตวิญญาณอมตะอยู่ดี ต่อให้เป็นเพียงขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นต้น ก็ถือว่าแข็งแกร่งมากแล้ว

หากโยนทางเลือกนี้ทิ้งไป อีกทางที่เหลืออยู่คือการก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งในผู้นำกองทหารสูงสุด โดยจะมีการคัดเลือกทุกสามสิบปีผ่านการแข่งขันที่ฝ่ายปกครองอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์จัดขึ้น ผู้นำกองทหารเหล่านี้จะได้รับการยอมรับจากราชวงศ์ และได้รับกระบวนเวทเป็นรางวัลแห่งความสำเร็จ

เนื่องจากอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ปกครองโดยสำนักใหญ่ทั้งสาม ผู้นำกองทหารก็ต้องมาจากสามสำนักนี้ด้วยเช่นกัน นี่ถือเป็นการคานอำนาจกันระหว่างราชวงศ์และสำนักทั้งสาม แต่หวังเป่าเล่อเองก็เห็นเจตนาแฝงของราชวงศ์ที่คนอื่นไม่อาจล่วงรู้ด้วยเช่นกัน

หวังเป่าเล่อไม่ได้เข้าใจการเมืองทั้งหมดภายในอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ การสำรวจวิญญาณของผู้อาวุโสสูงสุดทำให้เขารู้เพียงเรื่องผิวเผินเท่านั้น แต่รายละเอียดเหล่านั้นก็ไม่ได้ทำให้การตัดสินใจของเขาแตกต่างไปแต่อย่างใด เขามั่นใจว่าหากทำสำเร็จ ก็มีโอกาสอย่างมากที่เขาจะได้กระบวนเวทที่ต้องการมาไว้ในครอบครอง แต่ต่อให้ทำพลาด เขาก็จะยังสามารถใช้โอกาสนี้ให้เป็นประโยชน์ เพื่อหาทางต่อยอดให้ได้สิ่งที่ตนเองต้องการอยู่ดี

กระนั้นการจะก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำกองทหารสูงสุดก็ยังเป็นเรื่องยากอยู่ดี หวังเป่าเล่อได้แต่ถอนหายใจ ความทรงจำของเต๋อคุนจื่อและความเข้าใจของเขาเกี่ยวกับอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ ทำให้หวังเป่าเล่อรู้ว่าผู้นำกองทหารสูงสุดจากสำนักใหญ่ทั้งสาม ล้วนมีพลังปราณอยู่ที่ขั้นจิตวิญญาณอมตะทั้งสิ้น

ส่วนผู้นำกองทหารพิเศษนั้น แม้จะไม่ได้มีลำดับชั้นสูงเท่า แต่ก็ยังต้องมีปราณอยู่ในระดับเดียวกัน

ทั้งสามสำนักล้วนมีผู้ฝึกตนระดับจิตวิญญาณอมตะอยู่ราวหกถึงเจ็ดคน…ข้าต้องหาทางเพิ่มพลังปราณของตนเองให้ได้! นอกจากนี้แล้ว หวังเป่าเล่อยังตัดสินใจที่จะแทรกซึมเข้าสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์อย่างเต็มที่ เขาจะใช้สำนักย่อยนี้ในการเข้าไปอยู่ในสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ให้จงได้ จากนั้นเขาก็จะเข้าชิงตำแหน่งผู้นำกองทหารสูงสุดและเฝ้ารอโอกาสที่จะได้กระบวนเวทมาครอบครอง

การเพิ่มพูนพลังปราณนั้นใช้เวลาไม่น้อย แต่หากข้าต้องการเพิ่มพลังการต่อสู้ของตนให้เร็วขึ้นก็ยังมีวิธีลัดอยู่ ซึ่งก็คือ…การใช้เรือบินรบเวทของอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์นั่นเอง! หวังเป่าเล่อหรี่ตา หลังจากที่ตรวจค้นดวงวิญญาณของเต๋อคุนจื่อหมดทุกซอกทุกมุม เขาก็รู้ว่าเหนือเรือบินรบทั่วไปในอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ ยังมีเรือบินรบที่แข็งแกร่งกว่า อันมีนามว่าเรือบินรบเวท!

ปกติแล้วจะมีเพียงผู้นำกองทหารสูงสุดเท่านั้นที่มีเรือบินรบเวทอยู่ในครอบครอง และต้องใช้ผู้ฝึกตนระดับจิตวิญญาณอมตะในการควบคุมเรือบินรบเหล่านี้ เรือบินรบเวทเปรียบเสมือนอาวุธเทพที่มีระดับความแข็งแกร่งแตกต่างกันไป

หวังเป่าเล่อไม่แน่ใจว่าเรือบินรบเวทเหล่านี้ถูกหลอมและแยกชิ้นส่วนอย่างไร แต่เขาก็เข้าใจว่าหากหลอมเรือบินรบของตนเองต่อไปเรื่อยๆ มันย่อมสามารถเปลี่ยนเป็นเรือบินรบเวทได้ ด้วยเหตุนี้ความต้องการหาวัตถุดิบการหลอมของชายหนุ่มจึงเพิ่มขึ้นอย่างมาก และความคิดนี้ก็เริ่มทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ในจิตใจเขา

ดังนั้นในช่วงเวลาหลายวันต่อมา หวังเป่าเล่อจึงแสดงขั้นปราณของตนให้อยู่ที่ขั้นจุติวิญญาณชั้นกลางค่อนมาทางปลาย และได้รับการแต่งตั้งจากเต๋อคุนจื่อให้ดำรงตำแหน่งรองผู้นำกองทหารแห่งสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์ โดยตำแหน่งผู้นำกองทหารเป็นของเต๋อคุนจื่อ

แม้คนอื่นจะไม่เห็นด้วยกับการตัดสินใจนี้ แต่ก็ไม่มีใครกล้าพูดอะไรเนื่องจากเป็นคำสั่งของเต๋อคุนจื่อ นอกจากนี้หวังเป่าเล่อยังสั่งให้เต๋อคุนจื่อเดินตามหมากของเขา ขณะที่ทั้งสำนักกำลังปล้นสะดมในอวกาศอยู่นั้น พวกเขาก็เจอเรือบินรบลำหนึ่งท่ามกลางซากปรักหักพัง

เรือบินรบที่เจอนั้น แท้จริงแล้วเป็นเรือบินรบที่หวังเป่าเล่อหลอมขึ้นมาด้วยตนเอง เขาใช้เล่ห์กลในการวางมันเอาไว้ให้ทุกคนมาเจอ เรือบินรบลำนี้ทำให้ความสามารถในการต่อสู้ของสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์เพิ่มขึ้นเล็กน้อย และทำให้เสียงต่อต้านของผู้อาวุโสคนอื่นลดน้อยลงเช่นกัน

หวังเป่าเล่อเดินหน้าเก็บวัตถุดิบอย่างต่อเนื่องพร้อมกองทหารของสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์ เวลาเดินหน้าผ่านไปอย่างเชื่องช้า จนเวียนมาบรรจบครบหนึ่งปี

ในหนึ่งปีนี้ พลังปราณของหวังเป่าเล่อค่อยๆ เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนมาหยุดอยู่ที่ขั้นจุติวิญญาณชั้นสมบูรณ์ ทรัพยากรจำนวนมากที่เขาเก็บมาได้นั้นถูกใช้ไปกับการหลอมเรือบินรบให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น ส่วนพลังปราณที่แท้จริงของเขาก็เสถียรในที่สุด ชายหนุ่มกลายเป็นผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณโดยสมบูรณ์ พลังการต่อสู้ที่แท้จริงของเขาก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน

ชายหนุ่มคร่าชีวิตไปมากมายระหว่างการต่อสู้แย่งชิงทรัพยากรนี้ จนเขาเริ่มขี้เกียจเก็บซ่อนพลังปราณที่แท้จริงของตนเอง เขาจัดฉากการต่อสู้ด้วยความช่วยเหลือของเต๋อคุนจื่อ เพื่อให้ตนเองชนะและบรรลุขั้นปราณไปเป็นขั้นเชื่อมวิญญาณต่อหน้าทุกคน!

เมื่อพลังปราณของเขาพัฒนาไปเป็นขั้นเชื่อมวิญญาณท่ามกลางความริษยาของบรรดาศิษย์แห่งสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์คนอื่นๆ ชายหนุ่มก็สั่งเต๋อคุนจื่อให้เลิกท่องอวกาศที่ดำเนินมานานถึงหนึ่งปี และเตรียมตัวกลับ…อารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ในที่สุด!

 ……………………….