ส่วนที่ 6 ข้ารักครอบครัวข้า ตอนที่ 7 เปลี่ยนหัวใจให้หลี่โย่ว

เจาะเวลาสู่ต้าถัง

หยางเฟย อินเฟย เดินทางมาส่งหลี่อั้นและหลี่โย่วไปเข้าเรียนด้วยขบวนอันใหญ่โต เมื่อรถม้ามาถึงตีนเขาอวี้ซัน หยางเฟยก็นึกชอบสถานที่แห่งนี้ขึ้นมา ไม่เพียงแต่อากาศที่ร้อนอบอ้าวจะหายไปหมดแล้ว บ้านพักของชาวนาก็เป็นระเบียบเรียบร้อย บ้านครึ่งด้านที่เป็นเอกลักษณ์ของแดนกวนจงที่ทาเป็นสีขาวเทาเมื่อรวมกับอิฐสีแดงบนหลังคาแล้วมันดูมีความมงคล ถนนกว้างและราบเรียบไม่เกิดการกระแทก นอกจากนี้ยังมีร้านเหล้าและร้านน้ำชาหลายแห่งระหว่างสองข้างทางเพื่อให้พักผ่อนซึ่งเป็นสถานที่ที่สงบเรียบร้อยจริงๆ

 

 

นางไม่ได้ออกจากวังมาสิบปีแล้ว ไม่ว่าเห็นอะไรก็แปลกใหม่ไปหมด ภาพบรรยากาศที่เสื่อมโทรมเมื่อสมัยก่อนได้ทำให้นางรู้สึกฝังใจโดยคิดว่ามันเป็นบาปที่บิดาของนางสร้างขึ้น ตอนนี้ได้เห็นชาวประชาอยู่อย่างเป็นสุขและมีงานทำ แน่นอนว่าในใจย่อมปล่อยวางลงได้มากจึงเปิดม่านรถขึ้นมองดูภายนอกไม่ยอมเลิก

 

 

หลี่เค่อควบรถม้าให้มารดาด้วยตนเอง นั่งอยู่ตรงบริเวณกุมบังเ**ยนม้าและเล่าให้นางฟังว่าตรงนี้คือที่ไหน มีเรื่องราวที่ไม่ค่อยมีคนรู้อะไรบ้าง ทั้งยังชี้ไปยังสถานที่ที่มีควันดำแต่ไกลๆ แล้วบอกว่ามันเป็นเตาเผาปูนซีเมนต์ ตอนนี้ของสิ่งนี้ใช้ได้ดีมาก ทางการเองแม้เผาปูนทั้งวันทั้งคืนก็ยังไม่พอใช้ ภายหน้าตนเองต้องไปประจำที่แดนเสฉวน ไม่ว่าอย่างไรเตาเผาซีเมนต์เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้

 

 

“เค่อเอ๋อร์ นิสัยดื้อรั้นเอาแต่ใจของน้องชายเจ้าจะสามารถขอให้อาจารย์ในสำนักศึกษายั้งมือบ้างได้หรือไม่ เห็นแก่ที่ว่าเขาอายุยังน้อยลงโทษให้เบาหน่อยจะได้หรือไม่ แม่ได้ยินที่เจ้าพูดถึงวิธีการเหล่านั้นดูคล้ายกับกฎทหารเลย”

 

 

เมื่อชื่นชมทัศนียภาพจนพอแล้ว แน่นอนว่าจะต้องกังวลกับลูกชายตัวน้อยที่ชวนให้หนักใจของตัวเอง

 

 

“ท่านแม่ ท่านพูดได้ถูกต้องแล้ว กฎในสำนักศึกษาก็คือกฎทหาร หากไม่ถูกโบยก็จะต้องถูกกักขังให้สำนึกผิดไม่มีตัวเลือกที่สาม เรื่องที่เสี่ยวอั้นจะโดนโบยนั้นเป็นสิ่งที่แน่นอนแล้ว ท่านไม่ต้องกังวลมากเกินไป ลูกผู้ชายหากไม่ลำบากบ้างจะไม่เป็นยอดคน

 

 

ครั้งนี้ท่านมีวันหยุดพักผ่อนครึ่งเดือน เช่นนั้นก็ขอให้ลูกได้พาท่านไปเที่ยวชื่นชมทัศนียภาพ หากท่านสนใจยังสามารถไปฟังการบรรยายของอาจารย์หลี่กัง อาจารย์อวี้ซัน อาจารย์หยวนจางและอาจารย์หลีสือได้ด้วย ทั้งสี่ท่านนี้ล้วนเป็นผู้ที่มีความรู้มากมายสุดหยั่ง บรรยายในชั้นเรียนได้ดีมาก บางครั้งลูกยังไม่อยากจะให้หมดคาบเรียนเลย ถ้าต้องการฟังเรื่องแปลกใหม่ก็สามารถไปฟังการบรรยายของอวิ๋นเยี่ยได้ เรื่องราวน่าเหลือเชื่อต่างๆ นานา เรื่องเล่าแปลกประหลาด จะไม่ทำให้การเดินทางครั้งนี้ของท่านต้องเสียเปล่าแน่

 

 

ลูกได้ขอให้นักพรตซุนช่วยตรวจสุขภาพร่างกายให้ท่านด้วย ไม่ต้องพิธีรีตองละเอียดอะไรมากมายเหมือนขณะอยู่ในวัง การมีผ้าม่านกันอยู่แล้วสามารถวินิจฉัยโรคได้ก็เป็นเรื่องแปลกแล้ว คราวก่อนฮองเฮาก็ทรงให้อาจารย์ซุนจับชีพจรต่อหน้าพระพักตร์เลย คราวนี้ท่านเองก็เช่นกัน คิดว่าในวังจะไม่ตำหนิ

 

 

นอกจากนี้ยังมีโครงกระดูกขนาดใหญ่ในสำนักศึกษาซึ่งมีขนาดประมาณครึ่งหนึ่งของห้อง ฟันหนึ่งซี่ก็ยาวประมาณหนึ่งฟุต เป็นสัตว์ประหลาดยักษ์โบราณที่แท้จริง นอกจากนี้ยังมีประตูประหลาดอีกหนึ่งบานที่เมื่อเข้ามาจากทางซ้าย หากไม่รู้วิธีเข้าไปอย่างถูกต้องก็จะออกมาจากด้านขวา ซึ่งมันเป็นกลไกด้านวิศวะโยธาที่ถูกสร้างขึ้นโดยตระกูลกงซูซึ่งพวกเขาเป็นลูกหลานของหลู่ปัน

 

 

การต้มชาของอาจารย์จ้าว อาหารที่อวิ๋นเยี่ยทำนั้นไม่ควรพลาดเลยสักอย่าง การล่องแพบนแม่น้ำตงหยาง ชมทัศนียภาพเขาเขียวและน้ำใสสะอาด ท่านจะต้องชอบอย่างแน่นอน”

 

 

หลี่เค่อบรรยายแผนการดูแลท่านแม่ของตนเองอย่างน้ำไหลไฟดับ อยากจะให้ความสุขทั้งหมดที่มารดาของเขาไม่เคยประสบพบเจอมาก่อนตลอดชีวิตได้ประสบพบเจอให้หมด ถูกขังอยู่ในวังมาตลอดชีวิตสิ่งที่ไม่เคยพบเจอก็ถือเป็นความทุกข์ทรมานอย่างหนึ่ง

 

 

ในเวลานี้หลี่อั้นได้ลืมคำแนะนำของพี่ชายไปแล้ว ได้นั่งบนรถม้าของหลี่เค่อที่ควบไปบนถนนมองเห็นหลี่โย่วที่คุ้นหน้าก็กระโดดจากรถของมารดาตนเองร้องเรียกหลี่อั้นไว้ ทั้งสองได้ขึ้นรถแล้วไล่คนขับรถม้าลง ตนเองควบม้าอย่างบ้าคลั่งจนคนเดินถนนตกใจและรีบหลบ สองคนนั่งหัวเราะเสียงดังอยู่บนรถม้า

 

 

หลี่กัง อวิ๋นเยี่ย สวี่จิ้งจงและหลิวเซี่ยนรอต้อนรับอยู่ที่ปลายถนนแล้ว เมื่อพวกเขาเห็นรถมาจากระยะไกลก็ยืนขึ้นแล้วออกมาต้อนรับ กลับเห็นรถม้าคันหนึ่งถูกควบห้อตะบึงมุ่งหน้าเข้ามา เตะกระจาดใส่ใบหม่อนล้มคว่ำไปจำนวนนับไม่ถ้วน นี่เป็นของที่ชาวบ้านนำมาตากแดดให้น้ำค้างแห้งซึ่งวางไว้ริมถนนจากนั้นจะนำกลับไปเป็นอาหารหนอนไหม แต่คราวนี้ถูกทำลายไปหมดแล้ว ตัวหนอนไหมไม่สามารถกินใบหม่อนที่เปรอะดินได้ไม่เช่นนั้นพวกมันจะติดเชื้อโรค

 

 

ในสำนักศึกษาเต็มไปด้วยคุณชายชนชั้นสูงทั้งสิ้นข้าเห็นมามากแล้ว อวิ๋นเยี่ยพยุงหลี่กังไปยืนด้านข้าง สวี่จิ้งจงก็ถอยหลังหลบตามสัญชาตญาณ หลิวเซี่ยนเกร็งข้อมือแล้วก้าวขึ้นไปข้างหน้าและคว้าสายบังเ**ยนไว้ ม้าตัวนั้นยกสองเท้าหน้าขึ้นกลางอากาศในทันใดและไม่สามารถเดินไปข้างหน้าได้อีก

 

 

หลี่โย่วและหลี่อั้นกลิ้งตกลงจากรถเมื่อลุกขึ้นก็เตรียมที่จะอ้าปากด่าทอ ทันใดนั้นหลี่อั้นก็พบว่าอวิ๋นเยี่ยยืนอยู่ตรงนั้น ใบหน้าเต็มไปด้วยการให้กำลังใจดูเหมือนว่าต้องการให้เขาด่า เด็กที่ดื้อรั้นส่วนมากจะฉลาดจึงรีบปิดปาก เขารู้ถึงฤทธิ์เดชของอวิ๋นเยี่ย ก่อนหน้านี้ขณะอยู่ในวังก็ถูกจับไปกลั่นแกล้งอยู่ไม่น้อย

 

 

หลี่โย่วยังไม่รู้จักแยกแยะสถานการณ์ ทันทีที่ประโยคที่ว่าสุนัขรับใช้หลุดออกมาจากปาก หลี่อั้นก็รีบปิดปากเขาแต่เขาก็ยังคงส่งเสียงก่นด่าสาปแช่งอู้อี้ๆ อยู่ในปากไม่เลิกรา

 

 

ทั้งสี่คนที่ยืนอยู่ที่นั่นต่างก็รู้ว่าพวกเขาเป็นใคร หลี่กังเริ่มขมวดคิ้วจึงหันกลับไปพูดกับหลิวเซี่ยน “หลี่อั้นควบม้าเหยียบใบหม่อนของเกษตรกรจนเสียหาย โบยยี่สิบครั้ง หลี่โย่วร่วมมือด้วยโบยยี่สิบครั้งเช่นกัน อีกทั้งยังด่าทออาจารย์อีกโบยสิบครั้ง”

 

 

หลายปีมานี้หลิวเซี่ยนลงโทษลูกท่านหลานเธอมามากจนชินชามานานแล้ว เด็กสองคนนี้ไม่อยู่ในสายตาเขา เพียงแค่กวักมือก็มีชายร่างใหญ่หลายคนปรากฏขึ้นข้างหลังเขา องค์ชายทั้งสองถูกพาตัวไปราวกับลูกไก่ถูกจับไว้

 

 

อวิ๋นเยี่ยขอโทษต่อเกษตรกรและขอให้พวกเขาไปสำนักศึกษาเพื่อรับค่าชดเชย เหล่าเกษตรกรก็เริ่มคุ้นเคยกับกฎข้อนี้ของสำนักศึกษาก้มหน้าก้มตาเก็บใบหม่อนที่ไม่เลอะขึ้นมาโดยที่ไม่ได้ถือสาอะไร

 

 

รถมาถึงแล้ว หลี่เค่อยืดคอมองหาน้องชายไม่พบ เห็นเพียงรถม้าของเขาจอดอยู่ข้างถนนก็รู้ว่ามันไม่ดีแล้ว เมื่อเขาเห็นเกษตรกรที่อยู่ไกลออกไปกำลังเก็บตะกร้าใบหม่อนที่ล้มระเนระนาดเขาก็รู้ว่าโอกาสสูงมากที่น้องชายของเขาถูกส่งไปยังสถานลงโทษของสำนักศึกษาแล้ว

 

 

ยกมือก่ายหน้าผากและเล่าเรื่องให้มารดาฟังและก็ถือโอกาสเล่าเรื่องราวที่ผ่านมาทั้งหมดให้อินเฟยฟังด้วย มารดาทั้งสองที่ร้อนรนจึงรีบลงจากรถ คารวะหลี่กังเคย หลี่กังเคยเป็นไท่ฟู่มาก่อน อยู่สถานะที่ต้องให้การเคารพ นอกจากต้องคำนับฮ่องเต้และฮองเฮาแล้ว พระสนมคนอื่นๆ ไม่เคยอยู่ในสายตา ประสาอะไรกับหยางเฟยที่เมื่อก่อนก็เคยอบรมสั่งสอนตั้งแต่สมัยที่อยู่ในราชวงศ์สุย อินเฟยเองก็เช่นเดียวกัน ในสมัยนั้นตนเองและบิดาของอินเฟยก็เป็นเพื่อนร่วมงานกัน เพียงแต่ต่อมาตระกูลอินขุดหลุมฝังศพของตระกูลหลี่ซึ่งหลี่กังคิดว่าทำกันเกินไป จึงไม่ไปมาหาสู่กับตระกูลอินอีก แต่อินเฟยกลับเห็นหลี่กังเป็นเหมือนญาติผู้ใหญ่ที่ควรเคารพมาโดยตลอด

 

 

“พวกเจ้าสองคนในตอนนั้นต่างก็เป็นเด็กดีใฝ่หาความก้าวหน้าทั้งคู่ เหตุใดกลับปล่อยปละละเลยต่อลูกๆ ไม่สั่งสอนให้ดี เพราะเหตุใดกัน” เหลาหลี่จะอาละวาดแล้ว ตอนนี้นักเรียนแต่ละคนที่ส่งมานั้นเลวร้ายขึ้นเรื่อยๆ แต่ละคนสอนยากขึ้นเรื่อยๆ ย่อมต้องโกรธเป็นธรรมดา

 

 

พระสนมทั้งสองไม่ว่าจะด้วยฐานะหรืออายุก็ล้วนแต่ไม่กล้าเถียงหลี่กัง ได้แต่ต้องก้มศีรษะรับคำสอน

 

 

“ช่างเถอะ เมื่อถูกส่งมายังสำนักศึกษาแล้ว ข้าจะเป็นคนอบรมสั่งสอนเอง พวกเจ้าห้ามคัดค้านใดๆ ยังโชคดีที่อายุยังน้อยและยังไม่เป็นอุปสรรคสักเท่าไร กว่าที่พวกเจ้าจะได้มีโอกาสออกจากวังสักครั้งก็ไปพักผ่อนให้สบายใจกับสู่อ๋องเถอะ”

 

 

เมื่อพูดจบก็นั่งรถม้าของหลี่เค่อและให้อวิ๋นเยี่ยเป็นผู้ขับขึ้นเขาไป ฉากนี้ได้ทำให้สวี่จิ้งจงถึงกับอึ้งกิมกี่ไป นี่เป็นท่าทีการวางตัวของปรมาจารย์แห่งยุคใช่หรือไม่ เมื่อไหร่ตัวเองถึงจะทำได้ถึงจุดนี้บ้าง

 

 

เขาไม่ได้มีคุณสมบัติที่จะแข็งกร้าวได้ จึงต้องโค้งคำนับเชิญพระสนมทั้งสองขึ้นรถเพื่อที่จะได้เดินทางต่อไป

 

 

อินเฟยขึ้นรถม้าของหยางเฟย ยกมือป้องปากหัวเราะจนตัวงอ หยางเฟยที่กำลังสับสนว้าวุ่นรู้สึกประหลาดใจจึงถามถึงสาเหตุ

 

 

“พี่สาว ไม่ได้อาจารย์มาเป็นเวลาหลายปีแล้ว คิดไม่ถึงว่าเขายังคงมีนิสัยเหมือนเดิม แต่สุขภาพยังแข็งแรงดี” อินเฟยยังยิ้มแล้วพูดว่า “ตอนนี้ข้าไม่เป็นกังวลเรื่องโย่วเอ๋อร์อีกต่อไปแล้ว มีอาจารย์คอยดูแล คิดหรือว่าเขาจะหนีรอดไปได้”

 

 

“เจ้านี่นะ ข้าได้ยินเค่อเอ๋อร์บอกว่าสำนักศึกษานั้นใช้กฎทหาร หากลงโทษพวกเขาจนเป็นอะไรไป ถึงตอนนั้นเจ้าอยากร้องไห้ก็ไม่ทันแล้ว”

 

 

“พี่สาว ท่านไม่เคยถูกอาจารย์ตีหรือ แต่น้องนั้นเคยโดนไม่น้อย ตอนนี้นึกขึ้นมาแล้วมือยังรู้สึกปวดอยู่เลย สำหรับโย่วเอ๋อร์นั้น อาจารย์ท่านมีขอบเขตของท่านเอง หลายวันนี้ข้าตั้งใจจะไปฟังการบรรยายของอาจารย์เสียหน่อย ท่านว่าถ้าข้าทำการบ้านไม่ได้ อาจารย์จะตีมือข้าหรือไม่”

 

 

คำพูดนี้พูดจนในใจของหยางเฟยเจ็บแปลบ อินเฟยนั้นเหมือนกับตัวนาง ช่วงเวลาที่มีความสุขที่สุดก็คือขณะที่ได้เรียนหนังสือกับอาจารย์ ช่วงชีวิตต่อจากนั้นก็ต้องอยู่อย่างอกสั่นขวัญแขวนอยู่ตลอดเวลา นางเองก็เริ่มนึกย้อนกลับไปถึงสมัยวัยเยาว์ที่ไม่ต้องทุกข์ร้อนอะไรของนางเองเช่นกัน ช่วงชีวิตในตอนนั้นช่างงดงามมาก!

 

 

บนเขาอวี้ซันมีสตรีผู้สูงศักดิ์หลายคนอาศัยอยู่ เมื่อได้ยินว่าพระสนมเสด็จมาที่เขาอวี้ซัน พวกเขาต่างก็มารอรับเสด็จที่ทางเข้าของบ้านพัก หลังทักทายกันเสร็จแล้ว หลี่เค่อก็ส่งอินเฟยไปที่บ้านพักของราชนิกุลเพื่อพักผ่อน จากนั้นจึงพามารดามาที่บ้านพักของตนเอง

 

 

นอกจากนางกำนัลคนสนิทของมารดาแล้ว นางกำนัลและขันทีคนอื่นๆ ได้ถูกจัดให้ไปพักในเรือนอีกหลังที่อยู่ถัดออกไป เมื่อเปิดประตูลานบ้านของเรือนเล็ก ในบริเวณลานบ้านนั้นเต็มไปด้วยดอกไม้ป่าหลากหลายชนิดที่บานสะพรั่ง ไม่มีบรรยากาศของพระราชวังแต่มีความงามอีกแบบหนึ่ง

 

 

ในเรือนเล็กได้ปูพรมหนาไว้ทั่วทุกที่ จนสามารถคลุมข้อเท้าได้เลย ด้านหน้าหน้าต่างที่หันหน้าไปทางภูเขาเขียวมีแคร่ปูผ้าวางอยู่ตัวหนึ่ง ในยามว่าไม่มีอะไรทำก็ถือหนังสือทั่วไปขึ้นอ่านพลางมองไปยังภูเขาที่เขียวขจีที่อยู่ห่างไกล แอบงีบหลับสักครู่ ช่างเป็นชีวิตที่งดงามจริงๆ

 

 

เรือนเล็กงดงามราวกับกล่องผ้าที่ละเอียดประณีตที่สามารถมัดใจหยางเฟยไว้ได้ในทันที เทือกเขาเขียวทอดตัวยาว เรือนเล็กก็เป็นเหมือนเม็ดไฝที่ปลายคิ้ว ซึ่งก็ไม่ได้ทำลายความงามของสาวงามนางนี้ แต่กลับทำให้ดูมีชีวิตชีวามากขึ้น นี่คือความฝันของหญิงสาวตัวน้อยๆ

 

 

จึงไม่รบกวนมารดาของตนอีก เพียงแค่บอกนางกำนัลว่าเครื่องดื่มอยู่ที่ไหน น้ำหอมอยู่ที่ไหน เครื่องนอนอยู่ที่ไหน อุปกรณ์ขัดตัวใช้อย่างไร นางกำนัลมองไปที่ชักโครกที่เป็นกระเบื้องเคลือบแล้วก็ไม่รู้จะทำอย่างไรดี หลี่เค่อจึงนั่งลงไปแล้วสาธิตให้นางดู สุดท้ายเมื่อดึงเชือกสีฟ้าที่แล้วน้ำก็ไหลออกมาในทันใด นางกำนัลมองดูแล้วยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ อยากจะลองในตอนนี้เลย

 

 

“บอกท่านแม่ด้วยว่าข้าจะกลับมาอีกครั้งในช่วงอาหารเย็น จะให้นางได้ลิ้มรสอาหารของสำนักศึกษาดูว่าเป็นอย่างไร” หลังจากพูดจบก็หันไปมองดูมารดาที่นั่งอยู่บนแคร่เตี้ยเหม่อลอยมองดูภูเขาที่ไกลออกไป พลางยิ้มแล้วปิดประตูเดินจากไป

 

 

หลี่ไท่ขณะที่ท่านแม่ของเจ้ามาเจ้าจับข้ามาหาบน้ำ แม่ของข้ามาแล้วเจ้าก็อย่าหวังจะหนีรอดได้ แม่ข้าก็ต้องใช้น้ำที่สะอาดที่สุดเช่นกัน มีเพียงน้ำที่นั่นเท่านั้นที่เหมาะกับใบหน้าอันงดงามของแม่ข้า หลี่ไท่เจ้ารอก่อนเถอะ พี่ชายมาหาเจ้าแล้ว คืนนี้ต้องหาบน้ำและใช้ถังใบใหญ่ด้วย!

 

 

ด้วยจิตใจที่แน่วแน่ หลี่เค่อไปหาหลี่ไท่อย่างมีความสุข สำหรับน้องชายเขาหลี่อั้น ไม่ได้อยู่ในความคิดของเขามาตั้งแต่แรกแล้ว ผู้คนมากมายในสำนักศึกษาที่ถูกลงโทษ แต่ไม่มีใครถูกลงโทษจนนิสัยเสียเลย

 

 

เขาไม่รู้ว่าหลี่อั้นกำลังทนทรมานรับโทษแบบใด หลี่โย่วตกใจจนสลบไปแล้ว หัวใจดวงน้อยๆ ได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรงตั้งแต่แรกเห็น คนที่มีร่างกายเปื่อยเน่าที่นอนกลิ้งไปมาอยู่ตรงหน้าคว้าเท้าหลี่โย่วไว้และขอร้องเขาตั้งใจพัฒนาตัวเอง ไม่เช่นนั้นก็จะมีจุดจบเช่นเดียวกับเขา ยังไม่ทันได้พูดอะไรอีกดวงตาของหลี่โย่วก็กลอกขึ้นด้านบนแล้วสลบไป

 

 

ทันใดนั้นก็มีคนสวมผ้าป่านสีขาวสองคนหามหลี่โย่วขึ้นมาวางบนโต๊ะที่มีรอยเลือดเป็นจุดๆ ทั้งยังถอดเสื้อผ้าของเขาออกหมดแล้วผูกมือและเท้าไว้กับโต๊ะ

 

 

อวิ๋นเยี่ยสวมชุดสีขาวและสวมหน้ากากปิดปากเดินเข้ามา ในมือยังถือมีดที่คมมากเอาไว้ด้วย ที่หน้าอกของหลี่โย่วถูกใช้พู่กันวาดวงกลมไว้หนึ่งวง ราวกับกำลังเตรียมจะควักหัวใจ

 

 

หลี่อั้นกัดฟันถามว่า “เจ้าจะทำอะไร”

 

 

“โอ้ เสี่ยวอั้น ไม่มีอะไร ข้าแค่ต้องการเปลี่ยนหัวใจให้เสี่ยวโย่ว” ภายใต้แสงสลัวๆ ที่ตะเกียง แววตาของอวิ๋นเยี่ยราวกับกำลังเปล่งแสงสีแดง