ตอนที่ 733 หมายมั่นพลีชีพ โดย ProjectZyphon

กลางดึก

ห้องของหลินสวิน อาปี้นั่งยองอยู่กับพื้น สุราขวดแล้วขวดเล่าถูกนางดื่มจนหมด น้ำตาร่วงหล่นจากใบหน้าอย่างหยุดไม่อยู่

นับจากหลินสวินบอกข่าวการตายของหูทงแก่นาง นางก็เป็นเช่นนี้มาตลอด คล้ายสูญเสียจิตวิญญาณ เห็นได้ว่าหมดหนทางยิ่งนัก

หลินสวินนั่งมองอยู่ด้านข้างอย่างเงียบๆ จิตใจออกจะสับสนอยู่บ้าง

หูทงตายแล้ว

ร่างไร้วิญญาณถูกค้นพบกลางสนามรบ กระจัดกระจายน่าอนาถ ดวงตา จมูก หัวใจ… ทุกส่วนแทบถูกศัตรูชิงเอาไปเป็นทรัพย์หลังศึก ตายอย่างอเนจอนาถหลือเกิน

เมื่อวานยามหลินสวินเจอศพของหูทง ล้วนแทบไม่กล้าเชื่อสายตาตนเอง

ยอดบุคคลระดับกระบวนแปรจุติผู้หนึ่ง ผู้แข็งแกร่งรุ่นอาวุโสที่ควบทะยานบนสมรภูมิกระหายเลือดนานเจ็ดปีคนหนึ่ง กลับตายลงเช่นนี้…

หลินสวินนึกถึงช่วงเวลาที่สังสรรค์ร่ำสุรากับหูทงเมื่อหลายวันก่อน ริมหูราวยินเสียงหัวเราะเบิกบานผ่าเผยของหูทงดังขึ้นอีกครา

ท้ายที่สุดอาปี้ก็เมามายนอนลงบนพื้น ริมฝีปากพร่ำวาจาคลุมเครือไม่ชัดเจนบางอย่าง ถึงแม้นัยน์ตานางจะปิดสนิท แต่ยังคงมีหยาดน้ำตาร่วงริน

หลินสวินอุ้มนางขึ้นวางบนเตียง ตัวเขากลับนั่งเหม่อลอยอยู่อีกฝั่ง

ล้มหายตายจาก คือเรื่องราวอันเจ็บปวดที่สุดบนโลกโดยไม่ต้องสงสัย

และหลายปีนี้ที่อาปี้อยู่ในสมรภูมิกระหายเลือด เคยประสบการพรากจากเช่นวันนี้มากี่ครา

เมื่อข่าวการตายของสหาย เพื่อนร่วมรบ พวกพ้องปรากฏครั้งแล้วครั้งเล่า การโจมตีและความโศกเศร้าเช่นนี้ ใครเล่าจะสามารถแบกรับไหว

หลินสวินนึกถึงครั้งแรกที่เจออาปี้ ในราตรีนั้นนางกำลังคุกเข่าร่ำไห้เสียงเบาอยู่บนพื้นอย่างโดดเดี่ยวเดียวดาย

‘สมรภูมิกระหายเลือด… สิ่งที่โหดร้ายที่สุดบางทีอาจไม่ใช่การสู้รบ แต่เป็นการจู่โจมและความเศร้าโศกที่ความตายนำพามา…’

‘รสชาติของมัน บางทีคงมีเพียงบนสมรภูมิกระหายเลือดจึงสามารถเข้าใจอย่างลึกซึ้ง’

ความคิดหลินสวินฟุ้งซ่าน นานพอควรจึงสูดหายใจลึก นัยน์ตาดำขลับฉายแววเด็ดเดี่ยววูบหนึ่ง ‘สักวันหนึ่ง ทั้งหมดนี้จะต้องเปลี่ยนแปลงไป…’

‘สุดท้ายศัตรูต้องถูกกำจัดจนสูญสิ้น ดอกจื่อเย่าจะไม่พ่ายชั่วกาลนาน!’

หลินสวินพลันตระหนักได้ บางทีที่จ้าวไท่ไหลส่งตนมายังสมรภูมิกระหายเลือด ก็เพื่อให้ตนประสบทุกอย่างนี้ด้วยตัวเอง

วันเวลาต่อมา บรรยากาศในสมรภูมิกระหายเลือดเปลี่ยนเป็นตึงเครียด กองทัพใหญ่ของเผ่าพ่อมดเถื่อนออกเคลื่อนพลไม่หยุดหย่อน แผดคำรามกึกก้องสมรภูมิ กลายเป็นกระฉับกระเฉงและกระหายสงครามยิ่งกว่าก่อน

ทางด้านจักรวรรดิกลับกระชับแนวป้องกัน เปลี่ยนรุกเป็นรับ

ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ สถานการณ์ก็ยังไม่อาจมองในแง่ดี

ผู้ฝึกปราณแห่งจักรวรรดิต่างรู้ชัด เสบียงวัตถุดิบที่เหลืออยู่ของพวกเขามีไม่มาก ฝืนยืนหยัดได้แค่ถึงการเปิดช่องทางสู่จักรวรรดิครั้งต่อไป

ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ไม่สามารถเปิดศึกใหญ่กับศัตรูได้เด็ดขาด ไม่อย่างนั้นทันทีที่ขาดแคลนเสบียงวัตถุ ไม่ต้องรอศัตรูบุกสังหาร ค่ายทัพจักรวรรดิคงตกอยู่ท่ามกลางความวุ่นวายภายใน และล่มสลายลงเอง

และเผ่าพ่อมดเถื่อนเล็งเห็นโอกาสนี้อย่างแม่นยำ เริ่มบุกจู่โจมไม่หยุด เคลื่อนทัพใหญ่อย่างกำเริบเสิบสาน หมายโจมตีค่ายจักรวรรดิอย่างหนักหน่วงหาใดเปรียบ

สถานการณ์รุนแรงยิ่ง!

แม้แต่หลินสวินยังตระหนักถึงจุดนี้อย่างสุดซึ้ง

เมื่อใดที่ค่ายหมายเลขเจ็ดส่งผู้ฝึกปราณแห่งจักรวรรดิออกไปกรำศึก จำนวนการบาดเจ็บล้มตายเห็นชัดว่าเพิ่มสูงลิ่ว เงาแห่งความตายราวหมอกควัน ปกคลุมจิตใจผู้ฝึกปราณแห่งจักรวรรดิทุกคน

บรรยากาศภายในค่ายนับวันจะเปลี่ยนเป็นอึมครึมและกดดันขึ้นเรื่อยๆ ไม่มีความครึกครื้นดังเก่าก่อน ทุกหนแห่งเต็มไปด้วยความหนาบเหน็บและตึงเครียด

วันนี้

ณ สมรภูมิกระหายเลือด เทือกเขาหิมะเงิน

“ฆ่า!”

กองทัพพ่อมดเถื่อนขนาดมากกว่าพันคนขบวนหนึ่งเพิ่งข้ามผ่านเทือกเขาหิมะเงิน เงาร่างปราดเปรียวหนึ่งพลันทะยานออกมา กระชับกระบี่คมเล่มหนึ่งมุ่งสังหารโดยตรง

กองทัพพ่อมดเถื่อนตื่นตระหนกในหะแรก แต่ไม่ทันไรก็หัวเราะยกใหญ่

พวกเขาแต่ละคนเผยสีหน้าเหี้ยมเกรียมปรามาส ผู้ฝึกปราณหญิงคนหนึ่งของจักรวรรดิถึงกับทะเล่อทะล่ากระโดดออกมา นี่มันซุ่มโจมตีที่ไหนกัน เห็นชัดว่ารนหาที่ตาย!

สถานการณ์นี้เห็นได้ว่าไร้สาระสิ้นดี คนผู้หนึ่งเผชิญหน้ากองทัพพ่อมดเถื่อนมือฉมังนับพัน ช่างไร้ค่าและสุดจะทานทนเหลือเกิน

แต่นางคล้ายไม่หวาดหวั่น มุ่งหน้าประจัญบาน เงาร่างปราดเปรียวราวสายลมดุดัน พุ่งไปเบื้องหน้าอย่างอาจหาญ!

ผมสีข้าวฟ่างทั้งศีรษะนางกำลังพลิ้วไหวกลางสายลม กระบี่คมในมือแฝงไอสังหารคมกริบ ดั่งผู้กล้าโดดเดี่ยวยินยอมพลีชีพ แม้มีคนนับหมื่นเข้าขัดขวาง

คนผู้นี้ที่แท้เป็นอาปี้!

ฉัวะ! ฉัวะ!

ทันทีที่ประจัญบานก็มีผู้แข็งแกร่งพ่อมดเถื่อนสองคนถูกฟันสังหารในบัดดล โลหิตแดงสดสาดกระเซ็น กระทั่งก่อนตายพวกเขายังมึนงงคล้ายไม่กล้าเชื่อ ว่าหญิงสาวนางหนึ่งเช่นนี้ดันกล้าสู้ตายไม่คิดชีวิตกับทัพของพวกเขาจริงๆ

ศัตรูลนลานอยู่บ้าง จากนั้นต่างบันดาลโทสะแผดเสียงตะโกนลั่น ล้อมอาปี้ดั่งกระแสน้ำ หมายกำจัดให้สิ้นซาก

อาปี้สีหน้าไม่หวาดกลัว ใบหน้างดงามนิ่งสงบแทบจะไร้ความรู้สึก มีเพียงในนัยน์ตากระจ่างที่ไฟแค้นโหมกระหน่ำดั่งเพลิงอัคคี

ฆ่า!

นางขบเขี้ยวเคี้ยวฟันบุกโจมตีอย่างไร้เกรงกลัว คล้ายลืมสิ้นความเป็นตาย โยนทุกอย่างทิ้งไว้เบื้องหลัง คิดแค่สังหารศัตรูให้มากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้

เมื่อคนคนหนึ่งไม่สนใจความเป็นตายอีก หากไม่ถูกบีบบังคับถึงขีดสุดก็ต้องเป็นถอยจนไม่อาจถอยแล้ว

แต่อาปี้กลับต่างออกไป นางคิดแค่ฆ่าศัตรู!

เพื่อนร่วมรบ สหาย พวกพ้องในวันวานต่างทยอยตายจากไป นี่ทำให้นางแทบพังทลาย ในใจถูกความโศกเศร้าและคับแค้นไร้สิ้นสุดเข้าครอบงำ

หากมีชีวิตอยู่ต่อเช่นนี้ มิสู้สังหารศัตรูจนตัวตาย!

ฆ่า!

โลหิตแดงสดสาดกระจาย เสียงคำรามดุดันของศัตรูดังต่อเนื่องเป็นระลอก เบื้องหน้าเต็มไปด้วยสีแดงก่ำ

ในใจอาปี้ปราศจากความกังวล ต่อให้บนร่างปรากฏรอยแผลชวนตระหนกมากมาย เลือดสดๆ หยาดย้อมจนกลายเป็นมนุษย์โลหิต แต่นางกลับรู้สึกสะใจยิ่ง!

ราวกับว่าแค่สังหารศัตรูเพิ่มคนหนึ่ง ก็สามารถทำให้ความโศกเศร้าและความอาฆาตในใจนางได้รับการระบายคราหนึ่ง ทำให้บรรดาสหายร่วมรบที่ตายจากเหล่านั้นตายตาหลับกว่าเดิมสักหน่อย!

ทว่าอย่างไรนางก็ตัวคนเดียว แม้กรำศึกไม่หวั่นเกรงความเป็นตาย แต่เมื่อเผชิญหน้ากับทัพพ่อมดเถื่อนนับพันคน ท้ายที่สุดก็เห็นชัดว่าด้อยค่าเต็มประดา

เพียงแค่ชั่วขณะเดียว นางได้รับบาดเจ็บสาหัสถูกปิดล้อมอยู่ตรงนั้น ดั่งสัตว์ร้ายติดกับ พร้อมถูกพรากชีวิตได้ทุกเมื่อ

อาปี้กลับไม่รู้สึกไหวหวั่นแม้แต่น้อย ยังคงโรมรันดุเดือด สู้สุดกำลังราวคนบ้า

ท่าทางเด็ดเดี่ยวและคลั่งระห่ำนั่น ถึงขั้นทำให้ผู้แข็งแกร่งพ่อมดเถื่อนเหล่านั้นประหลาดใจและหวั่นไหว จากนั้นก็บันดาลโทสะ

ผู้หญิงคนเดียว ถึงกับกล้าดูแคลนพวกเขาเช่นนี้!

ฆ่า!

พวกเขาถูกยั่วโทสะอย่างที่สุด ใช้กำลังทั้งหมดโจมตี

“ฮ่าๆๆ ไอ้พวกสวะ วันนี้ถึงข้าต้องตาย ก็จะดึงพวกเจ้าไปปรโลกด้วย!”

อาปี้หัวเราะลั่น น้ำตาล้วนเอ่อออกมา เลือดสดๆ บนกายไหลริน แม้แต่เส้นผมสีข้าวฟ่างงดงามยังย้อมเป็นสีโลหิต

นางไม่ได้บ้า รู้ว่าความตายอยู่ไม่ไกลแล้ว

แต่แล้วอย่างไรเล่า

ใช่สิ ตายก็ตาย ไยต้องหวาดกลัว

ฉัวะ!

ทวนกระดูกเจิดจ้าโฉบเข้าหา พลานุภาพดุดันผ่าแหวกห้วงอากาศ อาศัยอานุภาพชวนประหวั่นไม่อาจต้านทานพุ่งสังหารมาทางอาปี้

อาปี้รู้ว่าสกัดกั้นไม่ไหว แต่นางกลับไม่ถอยแม้เพียงก้าว ถลันพุ่งทะยานออกไป ไม่สนว่าอาจถูกจู่โจมทะลวงอก กระบี่พุ่งแหวกไปยังเจ้าของทวนกระดูก

ใช้ชีวิตแลกชีวิต!

อาปี้คล้ายรอเวลานี้มานานแล้ว เด็ดขาดถึงขั้นไม่ลังเลแม้กระผีก!

ทว่าทวนกระดูกเจิดจ้านั่นยังไม่ทันพุ่งเข้ามาถึงก็แตกหักกลางทาง ส่วนศีรษะเจ้าของทวนกลับปลิวลอยกลางอากาศ

เร็วเกินไปแล้ว!

เร็วจนอาปี้ยังไม่ทันตอบสนอง ศัตรูก็ถูกสำเร็จโทษ

นี่…

อาปี้ตะลึงงัน

ฟุ่บๆๆ… เสียงทึบหนึ่งดังต่อเนื่องเป็นระลอกในบริเวณใกล้เคียง ก็เห็นศัตรูที่ตีโอบอยู่รอบๆ ถูกสังหารคาที่แทบจะในเวลาเดียวกัน!

เลือดสดๆ ซ่านเซ็น ย้อมห้วงนภาเป็นสีชาด ชั่วพริบตารอบๆ อาปี้ในระยะสิบจั้งกลายเป็นพื้นที่ว่างเปล่า บนผืนดินมีซากศพนองเกลื่อน

วู้ม!

และเวลานี้อาปี้ถึงได้มองเห็น ดาบหักขาวกระจ่างดุจหิมะที่แทบจะโปร่งแสง ดูประหนึ่งเป็นลำแสงสายหนึ่ง ลอยคว้างอยู่เบื้องหน้า ประกายเงินใสเย็นศักดิ์สิทธิ์อบอวล

“ไป!”

เสียงหนึ่งดังขึ้นริมหู อาปี้ไม่ทันมีปฏิกิริยาตอบสนอง แขนก็ถูกคนฉุดลากหลบหนีไปไกลสุดหล้า

“ทำไมเป็นเจ้าอีกแล้ว!”

ในที่สุดอาปี้จึงเห็นใบหน้าที่คุ้นเคยอย่างชัดเจน แต่นางกลับไม่รู้สึกซาบซึ้งใดๆ กลับเป็นว่าหัวเสียอยู่บ้าง ตะโกนว่า “ทำไมต้องช่วยข้า ข้าอยากตายเจ้าก็ต้องเข้ามายุ่งด้วยหรือ”

“อยากตายก็ไม่อาจตายในเงื้อมมือศัตรู!”

ผู้มาคือหลินสวิน สีหน้าเขาสงบนิ่ง น้ำเสียงราบเรียบยิ่ง แต่กลับเจือแววไม่ยอมให้สงสัย

อาปี้ดิ้นรน แต่มีหรือจะสลัดแขนของหลินสวินออกไปได้

“ตาม!”

ด้านหลัง ผู้แข็งแกร่งพ่อมดเถื่อนตะคอกลั่น ถูกยั่วโทสะถึงขีดสุด เป็นแค่ชายหญิงสุนัขคู่หนึ่ง ถึงกับกล้ามองพวกเขาประหนึ่งไร้ตัวตน หากให้พวกมันหนีไป นั่นคงอัปยศอดสูอย่างยิ่ง

“ฆ่า!”

พวกเขาท่าทีเหิมหาญน่ากลัว พุ่งโจมตีอย่างบ้าคลั่งดุจกระแสน้ำ

แต่สำหรับหลินสวิน กองทัพพ่อมดเถื่อนผู้แข็งแกร่งขบวนนี้แม้จำนวนคนมากมาย แต่แทบทั้งหมดเป็นระดับจอมพลัง แม้แต่หัวหน้าพวกมันก็เป็นแค่ผู้แข็งแกร่งระดับมหาเวทคนหนึ่งเท่านั้น

ขุมพลังเช่นนี้ ในสายตาหลินสวินตอนนี้ ไม่คู่ควรให้เหลือแลสักนิด

ฟุ่บๆๆ!

ก็เห็นดาบหักโฉบผ่านอากาศ ทะยานไปมา โบกพรมประกายละอองดุจภาพฝัน คำรามหวือแหวกห้วงอากาศ ในขณะเดียวกันกลับเห็นผู้แข็งแกร่งพ่อมดเถื่อนคนแล้วคนเล่าถูกสังหารลงตรงนั้น

คมเกินไปแล้ว!

ดาบหักถูกหลินสวินใช้จิตรับรู้ควบคุม เผยอานุภาพแห่ง ‘ศาสตราจิต’ ออกมาอย่างถึงแก่น

เพียงแค่ไม่กี่ลมหายใจ ก็มีผู้แข็งแกร่งพ่อมดเถื่อนหลายสิบคนถูกฟันสังหารราวทำจากกระดาษ เสมือนพายุหอบเศษเมฆา หักสะบั้นหญ้าแห้งไม้ผุ!

ณ ที่นั้นมีเสียงร้องทุรนทุราย รวมถึงเสียงตะโกนอย่างตระหนกโกรธเกรี้ยวดังขึ้นเป็นระลอก เหล่าผู้แข็งแกร่งพ่อมดเถื่อนต่างถูกสยบ ตะลึงงันไม่กล้าเชื่ออยู่บ้าง

พวกเขาไม่อาจจินตนาการโดยสิ้นเชิง เด็กหนุ่มคนหนึ่งทำไมน่ากลัวเช่นนี้ เสมือนเทพมารหนุ่มนาม ‘หลินสือเอ้อร์’ ที่เล่าลือกันคนนั้น

แต่ที่ต่างกันเพียงหนึ่งเดียวคือ สิ่งที่หลินสือเอ้อร์ถนัดคือวิชาธนู แต่ที่เด็กหนุ่มเบื้องหน้าใช้กลับเป็นดาบหักปริศนาที่เรียกได้ว่าน่าหวาดกลัวเล่มหนึ่ง

“ไม่ถูก! เจ้าหมอนั่น… เจ้าหมอนั่นเหมือนจะเป็นหลินสือเอ้อร์ที่เล่าลือกันคนนั้น!”

ทันใดนั้นหัวหน้ากองทัพพ่อมดเถื่อนขบวนนี้คล้ายตระหนักถึงอะไรบางอย่าง สีหน้าพลันแปรเปลี่ยน ตะโกนร้องเสียงหลง

ทันทีที่วาจานี้ดังขึ้น ทัพพ่อมดเถื่อนขบวนนั้นยิ่งลนลานกว่าเดิม ทั้งประหลาดใจและอลหม่าน หลินสือเอ้อร์! ทำไมถึงเป็นเขา

ส่วนเวลานี้ หลินสวินพาตัวอาปี้ทะยานห่างออกไปไกลนานแล้ว

………………