ฉายเดี่ยว

“เอ่อ…” เซียนดาบชิงเงียบไป

เขารู้สึกว่าข้อสันนิษฐานของลูกชายก็ฟังขึ้น

หากเผ่าพันธุ์ปีศาจอยากเล่นงานมวลมนุษย์จริงๆ ก็ไม่มีเหตุผลที่พวกมันจะต้องกระจายกองกำลังไปทั่วอาณาจักรใต้ดินทั้ง 108 แห่ง เพราะถึงการกระจายกองกำลังจะทำให้เผ่าพันธุ์มนุษย์รับมือกับการโจมตีของมันได้ยากขึ้น แต่ก็ทำให้การโจมตีนั้นปราศจากความเด็ดขาด

หากพวกมันทุ่มกองกำลังเข้าใส่อาณาจักรใต้ดินเพียง 2-3 แห่ง ก็ย่อมจะมีประสิทธิภาพกว่ากันมาก การบุกเข้าโจมตีอาณาจักรใต้ดินที่มีกองกำลังอารักขาไม่แน่นหนานักอย่างปุบปับจะช่วยเพิ่มโอกาสที่พวกมันจะประสบความสำเร็จให้มีมากขึ้น

“ต่อให้กองกำลังเผ่าพันธุ์ปีศาจรั้งพวกเราไว้ที่อาณาจักรใต้ดินแต่พวกมันก็ไม่มีทางยึดครองวิหารแห่งขงจื๊อได้ด้วยจำนวนผู้เชี่ยวชาญที่มีเพียงหยิบมือหรอก ถ้าสิ่งที่เจ้าพูดเป็นความจริง นั่นก็หมายความว่าเผ่าพันธุ์ปีศาจได้ระดมผู้เชี่ยวชาญเกือบทั้งหมดของพวกมันเข้าสู่ทวีปแห่งปรมาจารย์แล้ว” เซียนดาบชิงพูดอย่างเคร่งเครียด

ระยะเวลาหลายหมื่นปีได้สั่งสมผู้เชี่ยวชาญมากมายนับไม่ถ้วนให้ก่อเกิดในสภาปรมาจารย์ เมื่อมีมหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้ร่วงเป็นเดิมพัน ก็ไม่มีทางที่สภาปรมาจารย์จะยอมถอย และแน่นอนว่าเหล่าผู้อาวุโสสูงสุดและบรรพบุรุษเก่าแก่ของสภาปรมาจารย์จะต้องออกจากการปลีกวิเวกมาเพื่อการต่อสู้ครั้งนี้

ดูจะเป็นเรื่องธรรมดาที่พวกเขาหายหน้าหายตาไปจากหน้าประวัติศาสตร์ แต่ก็ไม่มีทางระบุได้ว่าคนเหล่านั้นตายไปแล้วจริงๆหรือไม่

บางคนก็เสียชีวิตไปแล้วจริงๆ แต่ก็มีบางส่วนที่เลือกจะเข้าสู่ภาวะจำศีลเหมือนกับนักปราชญ์โบราณ พวกเขารอเวลาและโอกาสที่จะได้ฝ่าด่านวรยุทธ

ตอนนี้ ดูเผินๆก็เหมือนว่าปรมาจารย์หยางจะเป็นผู้เชี่ยวชาญที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดานักรบที่มีวรยุทธต่ำกว่าขั้นนักปราชญ์โบราณ แต่ก็ไม่ควรลืมว่าเขามีอายุราว 800 ปีเท่านั้น ด้วยความกว้างใหญ่ของทวีปแห่งปรมาจารย์ จะต้องมีปรมาจารย์รุ่นพี่อีกหลายคนที่เคยเป็นผู้นำในยุคสมัยก่อนหน้าเขา โดยเฉพาะเมื่ออายุขัยของนักรบขั้นนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่นั้นอยู่ที่ราวๆ 1,500 ปี

ต่อให้บางส่วนจะเสียชีวิตไปแล้ว แต่ก็มีอีกจำนวนหนึ่งที่ยังมีชีวิตอยู่และพร้อมสำหรับการต่อสู้!

ถ้าวิหารแห่งขงจื๊อยังไม่เปิด พวกเขาก็คงเลือกปลีกวิเวกต่อไป ด้วยวิธีนี้ พลังชีวิตที่เสียไปก็จะอยู่ในระดับต่ำ และสามารถยืดอายุขัยของพวกเขาออกไปได้ยาวนานที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ แต่ในเมื่อวิหารแห่งขงจื๊อใกล้จะเปิดเป็นที พวกเขาจึงจำเป็นต้องเคลื่อนไหว

มีความเป็นไปได้ว่ากุญแจของการฝ่าด่านวรยุทธไปสู่ขั้นนักปราชญ์โบราณจะอยู่ในวิหารแห่งขงจื๊อ บางที พวกเขาอาจได้ทรัพย์สมบัติหรือของล้ำค่าที่จะช่วยยืดอายุขัยได้ นี่เป็นโอกาสที่ทุกคนรอคอย เพราะฉะนั้น ไม่มีทางที่ใครจะนิ่งเฉย

และก็แน่นอนว่ากองกำลังเผ่าพันธุ์ปีศาจไม่มีทางลืมเรื่องนี้

ในเมื่อพวกมันเต็มใจจะสูญเสียสมาชิกของตัวเองจำนวนมากมายเพื่อยื้อเหล่าผู้เชี่ยวชาญของสภาปรมาจารย์และกลุ่มอำนาจหลักเอาไว้ ก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าพวกมันตั้งใจจะเข้ายึดครองวิหารแห่งขงจื๊อให้ได้ และเป็นธรรมดาที่พวกมันจะต้องส่งกองกำลังที่มีความแข็งแกร่งพอเข้าสู่ทวีปแห่งปรมาจารย์ เพื่อให้แน่ใจว่าจะบรรลุเป้าหมาย

“ผมได้ปะทะกับเผ่าพันธุ์ปีศาจจำนวนหนึ่งในทวีปแห่งปรมาจารย์เมื่อไม่นานมานี้ พวกมันส่วนใหญ่เป็นนักรบขั้นชั่วกัลปาวสาน มีแม้กระทั่งนักปราชญ์โบราณ” จางเซวียนพูดพร้อมกับพยักหน้า

เมื่อครั้งที่เขาอยู่ที่สมาคมผู้หยั่งรู้ในเมืองหุบเขาเก็บเกี่ยว เขาได้สังหารนักรบระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ขั้น 4-ชั่วกัลปาวสานที่เป็นเผ่าพันธุ์ปีศาจไปถึง 4 ตัว ประสิทธิภาพการต่อสู้ของพวกมันนั้นเหนือชั้นมาก ทัดเทียมกับเหล่าผู้อาวุโสสูงสุดของสภาปรมาจารย์สำนักงานใหญ่เลยทีเดียว

ยิ่งไปกว่านั้น เขายังได้พบนักปราชญ์โบราณตัวเป็นๆด้วย!

ในเมื่อเผ่าพันธุ์ปีศาจที่เป็นนักปราชญ์โบราณหลุดรอดการตรวจจับของสภาปรมาจารย์มาได้ เขาก็ไม่อยากคิดเลยว่าจะมีเผ่าพันธุ์ปีศาจจำนวนมากแค่ไหนที่แทรกซึมเข้าสู่ทวีปแห่งปรมาจารย์ไปแล้ว

ลำพังความคิดนี้ก็ทำให้จางเซวียนสั่นสะท้านไปถึงกระดูกสันหลัง

ในกรณีที่เลวร้ายที่สุด บางทีกองกำลังที่อยู่ตรงหน้าพวกเขาอาจเป็นแค่พลทหารธรรมดาสามัญที่รับมอบหมายภารกิจมาให้ยื้อพวกเขาไว้ ส่วนเผ่าพันธุ์ปีศาจที่เป็นนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่นั้นได้แทรกซึมเข้าสู่ทวีปแห่งปรมาจารย์เป็นผลสำเร็จแล้ว

“ในการปะทะ ท่านแม่ได้เจอเผ่าพันธุ์ปีศาจที่เป็นนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่บ้างหรือเปล่า?” จางเซวียนตั้งคำถาม

“ตอนที่พวกเรากำลังอารักขาฉนวน ท่านพ่อของเจ้ากับแม่ได้ปะทะกับผู้เชี่ยวชาญตัวหนึ่ง มันเป็นคู่ต่อสู้ที่น่าสะพรึงมาก ถ้าไม่ใช่เพราะการผนึกกำลังกันของศิลปะเพลงดาบของเรา เราคงไม่ได้รอดชีวิตกลับมาแน่ แต่ถึงอย่างนั้น แม่ก็ยังได้รับบาดเจ็บ” เซียนดาบเหมิงตอบ

“ท่านแม่ได้รับบาดเจ็บหรือ?” จางเซวียนรีบถามด้วยความเป็นห่วง

“ไม่ต้องกังวลหรอก ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร แม่กินยาฟื้นฟูสภาพร่างกายแล้ว” เห็นลูกชายเป็นห่วงเป็นใยเธอ เซียนดาบเหมิงตอบพร้อมกับยิ้มเพื่อให้ความมั่นใจ

“ค่อยยังชั่ว…” จางเซวียนพยักหน้า “คู่ต่อสู้ที่ต้องใช้การผนึกกำลังกันของศิลปะเพลงดาบของท่านพ่อและท่านแม่เพื่อรับมือกับมัน…อย่างน้อยก็ต้องเป็นนักรบขั้นชั่วกัลปาวสาน”

เซียนดาบชิงเหมิงเป็นนักรบระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ขั้น 3-แรงผลักดันสัญชาตญาณ โลกจารึก แต่ประสิทธิภาพการต่อสู้ของพวกเขาที่ได้จากการผนึกกำลังกันของศิลปะเพลงดาบนั้นเหนือชั้นกว่านักรบขั้นชั่วกัลปาวสานโดยทั่วไปเสียอีก

หากแม้แต่เซียนดาบเหมิงยังได้รับบาดเจ็บทั้งๆที่สำแดงศิลปะเพลงดาบออกไปแล้ว ก็หมายความว่าคู่ต่อสู้ที่พวกเขาเผชิญนั้นทรงพลังมาก

ถ้าเป้าหมายของเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นคือเข้ายึดครองวิหารแห่งขงจื๊อ พวกมันก็ควรจะระดมผู้เชี่ยวชาญชั้นยอดทั้งหมดเข้าสู่ทวีปแห่งปรมาจารย์ น่าประหลาดใจมากที่ได้รู้ว่ายังมีนักรบขั้นชั่วกัลปาวสานอยู่ในกองทัพที่ตรึงกำลังบริเวณนี้

แต่ก็แน่นอนว่ายังเร็วเกินไปที่จะด่วนสรุป เพียงแต่ข้อเท็จจริงนี้ทำให้การสันนิษฐานของจางเซวียนด้อยความน่าเชื่อถือลงไปมาก

“ไม่ว่าเหตุผลของพวกมันจะเป็นอะไร ผมก็อยากเข้าไปพิสูจน์ให้เห็นกับตา มัวคาดเดาอยู่แบบนี้คงไม่ได้การแน่” เมื่อไม่อาจทำความเข้าใจเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น จางเซวียนยกมือและออกความเห็น

หากเป็นอย่างนี้ต่อไป เผ่าพันธุ์มนุษย์จะต้องสูญเสียกำลังพลจำนวนมากที่วิหารแห่งขงจื๊อ และถ้าเผ่าพันธุ์ปีศาจประสบความสำเร็จในการยึดครองของล้ำค่าส่วนใหญ่ที่นั่น เผ่าพันธุ์มนุษย์ก็จะยิ่งตกอยู่ในภาวะที่เสียเปรียบมากขึ้น

แต่ตอนนี้ กองกำลังขนาดใหญ่ของเผ่าพันธุ์ปีศาจก็อยู่ตรงหน้าพวกเขา พวกเขาไม่อาจละทิ้งพื้นที่นี้เพื่อไปดูแลสถานการณ์ที่วิหารแห่งขงจื๊อได้

หากข้อสันนิษฐานของเขาเป็นความจริง แผนการที่เหมาะสมที่สุดก็คือเข้าโจมตีกองกำลังเผ่าพันธุ์ปีศาจที่อยู่ตรงหน้าเสียตอนนี้และควบคุมฉนวนไว้ให้ได้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ก่อนจะไปควบคุมสถานการณ์ที่วิหารแห่งขงจื๊อ

แต่ถ้าข้อสันนิษฐานของเขาไม่ถูกต้อง ก็แปลว่าพวกเขาจะต้องออกจากการคุ้มกันของค่ายกลไป และนั่นเป็นการเดินหมากที่มีความเสี่ยงมาก

ดังนั้น สิ่งเดียวที่จางเซวียนทำได้ตอนนี้ก็คือเข้าไปสอดแนมสถานการณ์ด้วยตัวเองและหาเจตนาที่แท้จริงของกองกำลังเผ่าพันธุ์ปีศาจ

“ลูกจะเข้าไปสอดแนมด้วยตัวเองหรือ? ทำแบบนั้นไม่ได้นะ! ลูกเป็นหัวหน้าของ 3 ตระกูลชั้นนำและหัวหน้าปูชนียสถานนักปราชญ์ด้วย หากเกิดอะไรขึ้นกับลูก มวลมนุษย์จะต้องสูญเสียครั้งใหญ่!”เซียนดาบชิงรีบคัดค้านการตัดสินใจของจางเซวียน

ลูกชายของเขามีอิทธิพลมากต่อเผ่าพันธุ์มนุษย์ บางทีอาจจะมากกว่าเหรินชิงหยวนและปรมาจารย์หยางด้วยซ้ำ แน่นอนว่าเขาจะต้องมีบทบาทสำคัญในการผนึกกองกำลังมวลมนุษย์ให้เป็นหนึ่งเดียวเพื่อการทำสงครามกับเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่น

พวกเขาจะปล่อยให้จางเซวียนแบกรับความเสี่ยงอย่างนั้นไม่ได้!

หากจางเซวียนถูกเผ่าพันธุ์ปีศาจจับตัวไปขณะที่เข้าไปสอดแนมโอกาสที่เขาจะได้กลับมาโดยยังมีชีวิตนั้นก็แทบเป็นศูนย์ หรือต่อให้พวกเขาระดมกองกำลังตระกูลจางเข้าช่วยชีวิตจางเซวียน ก็มีโอกาสที่ปฏิบัติการนั้นจะล้มเหลว

ถือเป็นพรอันยิ่งใหญ่ของมวลมนุษย์ที่มีใครคนหนึ่งซึ่งมีอิทธิพลทั้งในกลุ่มอำนาจชั้นนำและทวีปแห่งปรมาจารย์ปรากฏตัวขึ้นเวลานี้จางเซวียนจะเป็นตัวเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างหลากหลายกองกำลังและหลากหลายฝ่ายของมวลมนุษย์ หากเขาเสียชีวิตไป กองกำลังแต่ละฝ่ายก็จะกระจัดกระจายไปอีกครั้ง ซึ่งนั่นจะเป็นความสูญเสียครั้งใหญ่เมื่อต้องเผชิญหน้ากับเผ่าพันธุ์ปีศาจ

“ลูกไปไม่ได้นะ!” เซียนดาบเหมิงอุทานด้วยความพรั่นพรึง

“ผมสำเร็จความเข้าใจเรื่องแก่นสารของมิติและการสกัดกั้นมิติแล้ว ซึ่งผมเข้าใจว่าตอนนี้ฉนวนแห่งมิติถูกทำลาย และตัวผมน่าจะซ่อมแซมมันได้ หากทำสำเร็จ เผ่าพันธุ์ปีศาจก็ไม่อาจยกกองกำลังบุกรุกเข้ามาได้โดยง่าย ทำให้พวกเรามีโอกาสที่จะได้ชัยชนะมากขึ้น…ไม่ต้องห่วงหรอก ผมมีอุปกรณ์ช่วยชีวิตอยู่มากมาย อีกอย่างผมก็แค่จะเข้าไปดูว่าพวกมันคิดอะไรอยู่ ไม่ได้จะไปหาเรื่องหรือเปิดการโจมตี พวกมันหาตัวผมไม่พบง่ายๆหรอก” รู้ดีถึงความกังวลใจของทั้งคู่ จางเซวียนยิ้ม เพื่อให้ความมั่นใจ

“แต่…” เซียนดาบเหมิงยังคงไม่สบายใจอยู่

“นี่เป็นสิ่งที่ผมต้องทำ ผมเข้าไปสอดแนมเพื่อหาข้อมูลเท่านั้นเพราะฉะนั้นก็ไม่น่าจะมีอันตรายอะไรมากมาย ถ้าท่านพ่อกับท่านแม่ไม่เชื่อผมล่ะก็ ถามลั่วชิงดูก็ได้” จางเซวียนพูด

“จางเซวียนไม่เป็นอะไรหรอกถ้าเขาแค่เข้าไปสอดแนม” หลัวลั่วชิงยืนยันพร้อมกับพยักหน้า

เครื่องรางแห่งการปลอมตัวของเธอสามารถปลอมได้แม้แต่สายเลือด เพราะฉะนั้น จางเซวียนจะไม่ต้องเผชิญกับปัญหาใดหากปลอมตัวเป็นเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่น หรือต่อให้เกิดอะไรขึ้นจริงเขาก็เก่งกาจพอที่จะเอาตัวรอดได้ ตราบใดที่คู่ต่อสู้ของเขาไม่ใช่ผู้ที่มีวรยุทธระดับนักปราชญ์โบราณ ไม่มีอะไรจะต้องกังวล

“ถ้าอย่างนั้น…ลูกต้องทำทุกอย่างด้วยความระมัดระวังสูงสุดนะถ้าเห็นอะไรผิดปกติ รีบกลับมาทันที อย่าดันทุรัง เข้าใจไหม?” เมื่อเห็นว่าแม้แต่หลัวลั่วชิงยังยืนยัน เซียนดาบเหมิงลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้าอย่างไม่เต็มใจ

“ตามนั้น!” จางเซวียนตอบยิ้มๆ

เขาสูดหายใจลึก แล้วกระโจนลงจากกำแพงป้อมปราการ

ขณะที่กระโจนลงไป ร่างของเขาก็หายวับไปอย่างไร้ร่องรอยต่อหน้าต่อตาทุกคน

“เอ่อ…”

“ท่านหัวหน้าของเราหายตัวไปได้อย่างไร?”

“ผมใช้การรับรู้จิตวิญญาณ ก็ยังไม่รู้ว่าเขาอยู่ที่ไหน!”

เหล่าผู้อาวุโสอุทานด้วยนัยน์ตาเบิกโพลง

“มันคือกระบวนท่าของแก่นสารแห่งมิติและการสกัดกั้นมิติ ด้วยการสกัดกั้นมิติที่อยู่รอบตัวของเขาไว้ เขาสามารถปัดป้องลำแสงและการรับรู้จิตวิญญาณออกไปจากตัวได้ ทำให้แทบเป็นไปไม่ได้เลยที่ใครจะรู้ว่ามีเขาอยู่ เว้นเสียแต่ว่าระดับวรยุทธของจิตวิญญาณหรือความเข้าใจในเรื่องมิติของผู้นั้นจะสูงถึงระดับหนึ่งถ้าไม่อย่างนั้นล่ะก็ ไม่มีทางหาตัวเขาพบ” หลัวลั่วชิงอธิบายกับฝูงชนที่พากันงงงัน

ทุกคนมีสีหน้าว่าเข้าใจ

พวกเขาไม่รู้ว่ามีกระบวนท่าที่สามารถควบคุมมิติที่ให้ประสิทธิภาพอันน่าทึ่งขนาดนี้

ไม่น่าแปลกใจเลยที่แก่นสารแห่งมิติและการสกัดกั้นมิติจะเป็นมรดกตกทอดสูงสุดของตระกูลหลัว ประสิทธิภาพของมันน่าทึ่งแบบนี้นี่เอง!

หากพวกเขาสามารถพรางตัวด้วยกรรมวิธีนี้ได้ ก็จะเป็นวิถีทางที่เยี่ยมยอดในการบุกเข้าสู่ฐานที่ตั้งของคู่ต่อสู้โดยไม่ทำให้พวกมันรู้ตัว

เมื่อครู่นี้พวกเขายังคงกังวลเรื่องความปลอดภัยของท่านหัวหน้าตระกูล แต่หลังจากที่รู้แล้วว่าอีกฝ่ายมีความสามารถแบบนี้ ก็วางใจได้

ด้วยความสามารถในการพรางตัวและการเร่งเวลา แน่นอนว่าจางเซวียนจะต้องผ่านพ้นอันตรายและกลับมาได้อย่างปลอดภัย!