ตอนที่ 14 อันดับการคัดเลือกเบื้องต้น โดย Ink Stone_Fantasy
“ขั้นรวมเป็นหนึ่งหรือ เจ้าอย่าพูดมั่วซั่วสิ ข้าอยู่ในเมืองราชันย์มีด ได้ชมงานชุมนุมใหญ่ดวงดารามาตั้งไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ปรมาจารย์แห่งงานชุมนุมใหญ่ในแต่ละครั้งล้วนเป็นยักษ์ใหญ่ขั้นอลวนทั้งสิ้น ขั้นรวมเป็นหนึ่งจะมาเป็นปรมาจารย์แห่งงานชุมนุมใหญ่ได้ตั้งแต่เมื่อใดกันเล่า ต้องรู้ไว้ว่าผู้ที่เข้าร่วมงานแต่ละคนก็ต้องเป็นขั้นรวมเป็นหนึ่งแล้ว ทั้งยังเป็นผู้มีพรสวรรค์ขั้นรวมเป็นหนึ่งด้วย จะให้ขั้นรวมเป็นหนึ่งคนหนึ่งมาเป็นปรมาจารย์หรือไร”
“ใช่ๆ ข้าก็ไม่เคยได้ยินมาก่อนเช่นกัน”
“หอสุราของข้านั้นมีแขกประจำท่านหนึ่งซึ่งเป็นศิษย์ของเมืองราชันย์มีด เขาเป็นคนบอกข้าเอง ว่าปรมาจารย์แห่งงานชุมนุมใหญ่ในครั้งนี้มีขั้นรวมเป็นหนึ่งอยู่คนหนึ่งนามว่าตงป๋อเสวี่ยอิง เป็นคนของวังทวีสูญ”
“ตงป๋อเสวี่ยอิงแห่งวังทวีสูญหรือ”
……
บริเวณต่างๆ เริ่มมีการวิพากษ์วิจารณ์กัน
เพราะถึงอย่างไรก็เป็นเพียงผู้บำเพ็ญธรรมดาทั่วไป ข่าวสารของพวกเขาจึงค่อนข้างจำกัด มีเพียงพวกเขาบางคนที่บำเพ็ญมาเป็นเวลานานพอและมีชื่อเสียงโด่งดังพอเท่านั้นจึงจะล่วงรู้ อย่างตงป๋อเสวี่ยอิงนั้นรุ่งโรจน์ขึ้นมาอย่างรวดเร็วยิ่งนัก ผู้บำเพ็ญระดับรากทั่วไปเหล่านี้มีผู้ล่วงรู้น้อยอย่างยิ่ง จะมีก็แต่ในเมืองราชันย์มีดเท่านั้น สหายบางคนเป็นศิษย์ของเมืองราชันย์มีดจึงได้รู้ข่าวนี้
เมื่อพวกเขาพากันวิพากษ์วิจารณ์กันไปต่างๆ นานา คนหนึ่งพูดไปสิบคน สิบคนพูดไปร้อยคน พวกเขาจึงค่อยๆ รู้กันจนทั่ว
“ได้ยินมาว่า ผู้อาวุโสตงป๋อท่านนี้นับได้ว่าเป็นขั้นรวมเป็นหนึ่งที่ร้ายกาจที่สุดคนหนึ่งของหกสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ในยุคปัจจุบันนี้ จึงมีคุณสมบัติพอที่จะรับตำแหน่งปรมาจารย์แห่งงานชุมนุมใหญ่”
“ขั้นรวมเป็นหนึ่งที่ร้ายกาจที่สุดคนหนึ่งของหกสถานที่ศักดิ์สิทธิ์หรือ แล้วอย่างไรเล่า ปรมาจารย์แห่งงานชุมนุมใหญ่โดยทั่วไปล้วนต้องเป็นยักษ์ใหญ่ขั้นอลวน นอกจากนี้ว่ากันว่าเป็นขั้นอลวนทั่วไปก็ไม่ได้ จะต้องเป็นผู้ที่มีพลังแข็งแกร่งอย่างยิ่งเท่านั้นจึงมีคุณสมบัติพอจะรับตำแหน่งได้! ขั้นรวมเป็นหนึ่งเช่นเขาคนหนึ่งไปรับหน้าที่ มิใช่เรื่องน่าขันหรือไร สายตาของเขาจะสู้ปรมาจารย์อีกสี่ท่านได้หรือ”
“ก็จะด้อยกว่าอยู่บ้าง”
“พวกเรามาพูดอยู่ตรงนี้จะไปมีประโยชน์อะไรกันเล่า”
ผู้บำเพ็ญทั่วไปเหล่านี้พากันวิพากษ์วิจารณ์ หากกล่าวว่าพวกเขาคร้ามเกรงยักษ์ใหญ่ขั้นอลวนมากโดยสัญชาตญาณ เช่นนั้นก็ไม่คร้ามเกรงอะไรต่อขั้นรวมเป็นหนึ่งอยู่แล้ว เพราะถึงอย่างไรขั้นรวมเป็นหนึ่งก็พบเห็นได้ทั่วไป เมื่อให้ขั้นรวมเป็นหนึ่งคนหนึ่งรับตำแหน่งเป็นปรมาจารย์แห่งงานชุมนุมใหญ่ ผู้บำเพ็ญทั่วไปเหล่านี้ล้วนรู้สึกว่าไม่ค่อยนับถือสักเท่าใดนัก
……
ไม่นานนัก ‘การคัดเลือกเบื้องต้น’ ของงานชุมนุมใหญ่ดวงดาราก็เริ่มต้นขึ้นแล้ว
พวกตงป๋อเสวี่ยอิงนั่งอยู่บนแท่นสูง มีอาหารและสุราชั้นเลิศวางอยู่ ส่วนผู้บำเพ็ญเปี่ยมพรสวรรค์หนึ่งหมื่นหกพันคนเบื้องล่างกลับนั่งตามลำดับ แต่ละคนทยอยกันเข้าไปบุกฝ่าเจดีย์ดาวซึ่งตั้งอยู่ข้างสถานที่จัดงานตามลำดับ
เจดีย์ดาวจะมีการควบคุมการเคลื่อนของเวลา เพื่อให้การต่อสู้ดำเนินไปได้รวดเร็วขึ้นบ้าง ทว่าแม้จะเร่งเวลาร้อยเท่า ในหนึ่งวันก็มีผู้บำเพ็ญเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถบุกฝ่าผ่านไปได้ เพราะถึงอย่างไรพวกเขาก็ล้วนแต่คิดหาวิธีสังหารและทำลายล้างเผ่ามารอย่างสุดกำลัง เพื่อให้ผลงานในเจดีย์ดาวดียิ่งขึ้นและทำให้อันดับของตนสูงยิ่งขึ้น
“อันดับหนึ่ง หั่วเจี่ยวคูมู่
อันดับสอง ข่าเซิน
…”
กลางอากาศข้างสถานที่จัดงานใกล้กับเจดีย์ดาว มีชื่อแล้วชื่อเล่าปรากฏขึ้นมา รายนามเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ อย่างต่อเนื่อง และรายนามก็เปลี่ยนแปลงไปไม่หยุดเช่นกัน เห็นได้ชัดว่าวิญญาณอาวุธเจดีย์ดาวได้จัดอันดับใหม่ขึ้นตามผู้บำเพ็ญคนใหม่แต่ละคนที่เพิ่งบุกฝ่าเจดีย์ดาวมา อันดับถูกเปิดเผยออกมาทั้งหมด! ข้อแรก เพื่อความยุติธรรม ข้อสอง เพื่อกระตุ้นผู้บำเพ็ญเปี่ยมพรสวรรค์เหล่านั้น ข้อสาม ผู้ที่อันดับค่อนไปทางด้านหลังก็สามารถอาศัยมันเพื่อให้รู้ว่าตนล้าหลังเพียงใดได้! เพราะถึงอย่างไรผู้ที่มีคุณสมบัติเข้าร่วมก็ล้วนแต่เป็นผู้บำเพ็ญเปี่ยมพรสวรรค์ ที่ผ่านมาพบเห็นผู้มีพรสวรรค์น้อย ก็คิดว่าตนเก่งกาจ งานชุมนุมใหญ่ดวงดาราครั้งนี้ จะเป็นการกระตุ้นพวกเขาอย่างใหญ่หลวง
เวลาห้าวัน
การคัดเลือกเบื้องต้นของเจดีย์ดาวยุติลง! รายนามโดยละเอียดถูกจัดอันดับออกมา
“เอ๊ะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงแหงนมองรายนามอันแน่นขนัดกลางอากาศข้างเจดีย์ดาวสูงเสียดฟ้าซึ่งอยู่ไกลออกไป “เด็กสามคนที่ได้เห็นในครั้งก่อน เฮ้อ บุตรชายของจักรพรรดิสิงหั่วมีอันดับธรรมดาทั่วไปมากทีเดียว”
ผู้ที่มีนามว่า ‘ฟู่จวิน’ นั้น อันดับค่อนข้างสูง คืออันดับหนึ่งร้อยยี่สิบหก! ทว่าเหมือนจะขาดโชคไปหน่อย หากสามารถบุกเข้าไปอยู่ในร้อยอันดับแรกได้ ไม่จำเป็นต้องให้ปรมาจารย์แห่งงานชุมนุมใหญ่คัดเลือกก็สามารถผ่านการคัดเลือกเบื้องต้นได้แล้ว
หนีเยี่ยน อันดับหนึ่งพันเก้าร้อยสามสิบสอง
สิงหั่วสวินอี อันดับสามพันหกร้อยหกสิบสาม
“อยู่ในอันดับสามพันกว่าเชียวหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบส่ายหน้า ในบรรดาขั้นรวมเป็นหนึ่งสามคนที่เขาบังเอิญได้พบในตอนแรกนั้น เขาสนใจนายน้อยสิงหั่วคนนี้ที่สุด เพียงแต่ว่าอันดับของเขาธรรมดาทั่วไปมากจริงๆ “อันดับต่ำเช่นนี้ การคัดเลือกเบื้องต้นนั้นเป็นการคัดเลือกเพียงแค่สองร้อยอันดับเท่านั้น โอกาสที่จะผ่านการคัดเลือกเบื้องต้นนั้นสามารถมองข้ามไปได้เลย”
เจดีย์ดาวเลือกหนึ่งร้อยคน ห้าปรมาจารย์แห่งงานชุมนุมใหญ่เลือกหนึ่งร้อยคน ทั้งหมดก็แค่สองร้อยคนเท่านั้น
“สามพันหกร้อยหกสิบสามหรือ” จักรพรรดิสิงหั่วที่เข้าร่วมชมอยู่บนแท่นสูงด้วยเช่นกันขมวดคิ้วมุ่น เขาลอบทอดถอนใจ อันดับนี่ช่างต่ำเสียจริง! ต้องรู้ไว้ว่าผู้ที่เข้าร่วมล้วนมิใช่ศิษย์ของสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ มีอยู่จำนวนมากที่เป็นผู้บำเพ็ญไร้สังกัดร่อนเร่อยู่ภายนอก ผู้ที่มีเบื้องหลังยิ่งใหญ่อย่างแท้จริงนั้นมีน้อยนัก บุตรชายเขาคนนี้นับว่ามีทรัพยากรในการบำเพ็ญที่ดีอย่างยิ่งแล้ว แต่กลับมีอันดับเพียงเท่านี้
ในการคัดเลือกของปรมาจารย์แห่งงานชุมนุมใหญ่ สถานะบุตรชายของจักรพรรดิสิงหั่วนี้กลับจะลดการประเมินค่าลงไป
การคัดเลือกเบื้องต้นของเจดีย์ดาวยุติลง
ผู้บำเพ็ญทั่วไปจำนวนนับไม่ถ้วนที่มาเข้าร่วมชมการต่อสู้ต่างพากันทยอยจากไปเป็นจำนวนมาก เพราะถึงอย่างไรการคัดเลือกเบื้องต้นของปรมาจารย์แห่งงานชุมนุมใหญ่ต่อจากนี้ก็ต้องใช้เวลาถึงพันปี และต้องบำเพ็ญอีกหมื่นปี หรือกล่าวได้ว่าการต่อสู้ในครั้งต่อไปจะจัดขึ้นในหนึ่งหมื่นหนึ่งพันปีให้หลัง
……
แต่ละคนบนแท่นสูงยืดกายขึ้นแล้วเริ่มจากไป
“ทั้งห้าท่าน”
เจ้าลัทธิภาพจิตพูดกับห้าปรมาจารย์แห่งงานชุมนุมใหญ่ที่กำลังลุกขึ้น “การคัดเลือกเบื้องต้นของเจดีย์ดาวยุติลงแล้ว และจัดอันดับเรียบร้อยแล้ว อีกสักครู่จะมีการมอบภาพการต่อสู้ของพวกเขาให้พวกท่าน พวกท่านต้องคัดเลือกให้ดี การเลือกของพวกท่านจะตัดสินชะตาชีวิตของผู้มีพรสวรรค์เหล่านี้”
“พี่ใหญ่ภาพจิตวางใจเถิด ข้าและคนอื่นๆ จะรอบคอบมากแน่นอน เพื่อเลือกผู้ที่มีความสามารถที่ซ่อนอยู่มากที่สุดออกมา” แม่ทัพเทียนกวงกล่าว
“ผู้อาวุโสตงป๋อ อย่าทำให้วังทวีสูญของพวกท่านเสียหน้าล่ะ” บรรพชนงูอู่เจ๋อพูดด้วยเสียงเย็นชาดุจน้ำแข็ง บรรพชนงูอู่เจ๋อมีอาภรณ์สีดำหุ้มห่อเอาไว้ กลิ่นอายเย็นเยียบแผ่ซ่านออกมา น้ำเสียงก็เย็นชานัก
ประมุขวังเจียงฝู่ด้านข้างสะดุ้งไปเล็กน้อย ประมุขเกาะจื่อถูผู้มีรูปโฉมงดงามก็ตกตะลึงไปเช่นกัน วาจานี้ออกจะเกินไปบ้างจริงๆ
ตงป๋อเสวี่ยอิงได้ฟังแล้วสีหน้าก็เปลี่ยนแปรไปเล็กน้อย ว่ากันตามจริงแล้ว เดิมทีเขารู้สึกดีต่อบรรพชนงูอู่เจ๋อ เพราะอีกฝ่ายเป็นคนของตำหนักเทพอากาศ บรรพชนห้วงอากาศเป็นถึงท่านอาจารย์ของตน! แต่แม่ทัพเทียนกวงทำไม่ดีกับตนก็แล้วไปเถิด บรรพชนงูอู่เจ๋อผู้นี้กลับพูดจาไม่น่าฟังเช่นนี้ รอบด้านมียักษ์ใหญ่ขั้นอลวนอยู่ตั้งกลุ่มใหญ่เชียวนะ!
หากตนป่าวประกาศสถานะผู้ท่องอากาศออกไป ท่าทีของบรรพชนงูอู่เจ๋ออาจจะเปลี่ยนแปลงไปก็เป็นได้
แต่เนื่องจากจอมเทพศักดิ์สิทธิ์อยากจะไล่สังหารท่านอาจารย์ ‘กู่ฉี’ มาโดยตลอด ตงป๋อเสวี่ยอิงจึงมิอาจตั้งใจป่าวประกาศสถานะผู้ท่องอากาศออกไปได้
“ไม่ต้องรบกวนให้บรรพชนงูอู่เจ๋อมาเหนื่อยใจหรอกขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว “ในเมื่อเทพจักรวาลทั้งหลายเลือกข้า พวกเขาก็ต้องใช้ประโยชน์ข้าได้อย่างแน่นอน”
“เฮอะ” บรรพชนงูอู่เจ๋อแค่นเสียงเฮอะอย่างเย็นชาคราหนึ่งก่อนจะหมุนกายจากไป
อันที่จริงชื่อเสียงของบรรพชนงูอู่เจ๋อที่อยู่ภายนอกนั้นไม่เลวเลย เขาได้ชื่อว่า ‘รังเกียจความชั่วร้ายดุจคู่แค้น’ แต่ก็ค่อนข้างเย็นชา ทว่าในฐานะสิ่งมีชีวิตแห่งห้วงอากาศ ตั้งแต่เกิดมาเขาก็เคยชินกับการยกย่องผู้ที่แข็งแกร่ง และเหยียดหยามผู้ที่อ่อนแอ ในสายตาของเขา เดิมทีตงป๋อเสวี่ยอิงซึ่งเป็นขั้นรวมเป็นหนึ่งก็มิใช่ระดับเดียวกับขั้นอลวนอย่างพวกเขาอยู่แล้ว เขาจึงย่อมไม่ชอบ และคร้านจะปั้นสีหน้าใส่ด้วย
“เทพจักรวาลทุกท่านเลือกเจ้า เจ้าก็อย่าทำให้พวกเขาผิดหวังก็แล้วกัน” แม่ทัพเทียนกวงก็มองหน้าตงป๋อเสวี่ยอิงด้วยสีหน้ากึ่งยิ้มกึ่งบึ้ง จากนั้นเขาก็ผละจากไปทันที
ตงป๋อเสวี่ยอิงมิได้พูดอะไร
ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกว่ามีมือข้างหนึ่งวางลงบนบ่าของตน ทำเอาตงป๋อเสวี่ยอิงสะดุ้ง เขารีบหันไปมอง ประมุขวังเจียงฝู่ผอมซูบขาวซีด แม้จะมีเขี้ยวคมสองข้างโผล่ออกมาภายนอก แต่กลับทำให้คนรู้สึกว่าร่างกายเหมือนจะอ่อนแอมาก เขายิ้มพลางเอ่ยว่า “ในบรรดาผู้บำเพ็ญ นิสัยแบบไหนก็มีทั้งนั้น ไม่ต้องไปสนใจพวกเขาสองคนนักหรอก”
“ประมุขวังเจียงฝู่” ตงป๋อเสวี่ยอิงรีบคำนับทันที เขากับประมุขวังเจียงฝู่มิได้พบกันเป็นครั้งแรก อีกฝ่ายนั้นอยู่ในระดับเดียวกับพวกจักรพรรดิดำและประมุขตำหนักอลหม่าน
“เจ้าหนุ่มตงป๋อ ข้าก็ยืนอยู่ข้างเจ้านะ” ‘ประมุขเกาะจื่อถู’ ในอาภรณ์สีม่วงผู้มีรูปโฉมงามล้ำกลับพูดยิ้มๆ ด้วยน้ำเสียงไพเราะเสนาะหู “ข้าก็ไม่ชอบเทียนกวงผู้นั้น หากในภายหน้าเจ้ามีพลังแข็งแกร่งกว่าเขา ต้องสั่งสอนเขาให้หนักๆ ช่วยข้าระบายอารมณ์เสียหน่อย”
เจ้าลัทธิภาพจิตด้านข้างยังคงอยู่ เขาได้ฟังแล้วก็รู้สึกกระอักกระอ่วนอยู่บ้าง เพราะแม่ทัพเทียนกวงเป็นคนของเมืองราชันย์มีดของพวกเขา
“ทุกท่าน พวกเราไปกันเถิด” เจ้าลัทธิภาพจิตพูดยิ้มๆ ขณะเดียวกันก็ยิ้มให้ตงป๋อเสวี่ยอิงอย่างใจดี
…………………………………