ตอนที่ 1,769 : ความลับในป่าหิน
“จี้เอ๋อ…เจ้า…เจ้า”
จ้าวเติงมองไปยังร่างบุตรชายด้วยสายตาตกตะลึง
มันไม่เคยคิดเคยฝันเลยว่าบุตรชายของมันจะเป็นคนแรกที่ถูกขับออกจาก ‘แดนลับเซียน’
บุตรชายของมันนั้น ก่อนที่หลิงเทียนจะเข้าร่วมกับตำหนักฟ้าลี้ลับ ก็ถือเป็น 1 ในอัจฉริยะเซียนรุ่นเยาว์ที่ร้ายกาจที่สุด! พลังฝีมือเรียกว่าเหนือกว่ารุ่นเยาว์ที่อายุน้อยกว่า 40 ปีกว่า 9 ส่วน!
ทว่าตอนนี้พึ่งผ่านไปแค่ 3 วันแต่บุตรชายมันถูกขับออกมาแล้ว?
อีกด้านนั้น จ้าวจี้ที่ถูกขับออกจากแดนลับเซียนก็หน้าดำทั้งอัปลักษณ์ แววตาเต็มไปด้วยความอาฆาตแค้น “หลิงเทียน! ข้าไม่มีวันปล่อยเจ้า! ข้าไม่มีวันปล่อยเจ้าไปแน่!!”
ได้ยินเสียงคำรามของจ้าวจี้ สีหน้าจ้าวเติงก็เปลี่ยนไปทันที
เรื่องที่มันกังวลที่สุด กลับเกิดขึ้นแล้วจริงๆ!
ลูกชายของมันบังเอิญเจอหลิงเทียนในแดนลับเซียน และถูกกำจัด!
“เฒ่าเฉียนปากของเจ้าพาซวยแล้วไง…เหอๆ”
จังหวะนี้หลายคนอดไม่ได้ที่จะหันไปมองเฉียนผิงเชิงจ้าววังเหลืองด้วยความทึ่ง ทั้งหมดคิดว่าปากของมันร้ายกาจเกินไป เพราะเฉียนผิงเชิงพึ่งกลาวหยอกจ้าวเติงไปหยกๆว่าจ้าวจี้อาจจะเจอหลิงเทียน!
และตอนนี้จ้าวจี้กลับพบเจอหลิงเทียนจริงๆ และ 9 ใน 10 ส่วนก็สมควรถูกหลิงเทียนฆ่ามา!
“แดนลับเซียนกว้างใหญ่ไพศาล คิดหาใครสักคนยังนับว่าเป็นเรื่องยากเย็น…แต่จ้าวจี้กลับบังเอิญเจอกับหลิงเทียนเข้าจริงๆ! ข้าจะกล่าวว่าชะตาฟ้าลิขิต หรืออริหนทางคับแคบดี…”
เจ้าวังปฐพีระบายลมหายใจออกมาอย่างช่วยไม่ได้
“ยังไม่ชัดเจนอีกหรือ โลกนี้ถึงได้มีคำว่า ‘อริหนทางคับแคบ’ อย่างไรเล่า!”
จ้าววังลี้ลับเองก็แลดูสนุกสนานขบขันด้วยเช่นกัน
มีเพียงจ้าววังนภาเท่านั้นที่ไม่ได้ยินดี เพราะอย่างไรเสียจ้าวจี้ก็เป็นคนของวังนภามัน!
อย่างไรก็ตามพอคิดถึงเรื่องที่หลิงเทียนเองก็เป็นศิษย์วังนภาเช่นกัน ใบหน้าของมันพอได้สงบลงบ้าง เหลือก็แต่รอยยิ้มเจื่อนๆนิดหน่อยเท่านั้น
เรื่องนี้มันโทษหลิงเทียนได้เหรอ?
ไม่อาจ!
พอลองคิดในมุมกลับกัน หากมันเป็นหลิงเทียน เกรงว่ามันก็ไม่คิดเมตตาจ้าวจี้เช่นกัน!
“ท่านพ่อ! เป็นหลิงเทียน! หลิงเทียนมันฆ่าข้า ทำให้ข้าต้องถูกขับออกจากแดนลับเซียน…ข้าจะฆ่ามัน! ข้าจะฆ่ามันให้ตาย!!”
ตอนนี้เองจ้าวจี้ก็ฟื้นสติแล้ว มันหันมามองกล่าวกับจ้าวเติงทันที ยังกล่าวเล็ดรอดไรฟันด้วยน้ำเสียงคับแค้นอาฆาต ราวกับหากต้วนหลิงเทียนไม่ตายมันไม่มีวันสบายใจ!
ได้ยินวาจานี้ของจ้าวจี้ ทุกคนยกเว้นเมิ่งฉิงถึงกับหน้าเปลี่ยนสีทันที
หากแต่แม้หน้าเมิ่งฉิงจะไม่เปลี่ยนสี แต่ก็เริ่มอึมครึมขึ้นมา
กลับมีคนกล้าขู่ฆ่าศิษย์ร่วมตำหนักต่อหน้ามัน?
เพี๊ยะ!
ทว่าในขณะที่หน้าเมิ่งฉิงเริ่มถมึงทึงขึ้นมานั้น กลับมีเสียงตบดังขึ้นถนัดถนี่ เป็นจ้าวเติงที่พุ่งไปหยุดเบื้องหน้าจ้าวจี้ฉับวปานภูตพรายและตบหน้ามันดังฉาด! ใบหน้าซีกหนึ่งบวมปูดขึ้นมาทันที!!
จ้าวจี้ถึงกับมองบิดาของมันด้วยสายตาเลื่อนลอย!
เมื่อครู่ในแดนลับเซียนมันก็พึ่งโดนหลิงเทียนตบหน้ามา 2 ฉาดก่อนจะถูกฆ่าทิ้ง พอออกมาก็คิดว่าบิดาจะปลอบใจ แต่ไม่คิดเลยที่รอมันอยู่…กลับเป็นอีกตบจากฝ่ามือของบิดาตัวเอง!!
จังหวะนี้จ้าวจี้รู้สึกเสมือนไม่อยากอยู่บนโลกใบนี้อีกต่อไป!
“เจ้าโง่! ท่านจ้าวตำหนักอยู่ตรงนี้ทั้งคน! เจ้ากล้าพูดเช่นนั้นออกมาได้อย่างไร?!”
ทว่าตอนนี้เองเสียงผ่านปราณของจ้าวเติงพลันดังขึ้นในหูจ้าวจี้ ดึงสติจ้าวจี้ให้ตื่นขึ้นมาทันที
พอมันคืนสติและเหลือบมองข้ามไหล่จ้าวเติงไป ก็เห็นว่าใบหน้าของจ้าวตำหนักเต็มไปด้วยความเย็นชา ทำให้มันหวาดกลัวขึ้นมาทันที
“เดียรัจฉาน!”
ตอนนี้เองจ้าวเติงพลันตะโกนออกมาเสียงดัง “เจ้ากล่าววาจาเหลวไหลเพ้อเจ้ออันใด ถึงเจ้าจะถูกหลิงเทียนจัดการในแดนลับเซียน แต่ทั้งหมดล้วนเป็นเพราะเจ้าอ่อนด้อยเอง ยังจะไปกล่าวโทษผู้ใดได้!”
หากตอนนี้จ้าวจี้ยังไม่รู้ว่าบิดากำลังทำเพื่อช่วยมันอยู่ น่ากลัวว่ามันคงโง่งมจนเกินเยียวยาแล้ว
“ท่านพ่อเป็นข้าผิดเอง! ข้าผิดไปแล้ว…ข้ามันไม่เอาไหน!!”
จ้าวจี้รีบตอบรับ ด้วยการร่ำร้องออกมาด้วยท่าทางสำนึกผิด
แม้จะรู้ดีว่าพ่อลูกไม่พ้นกำลังเล่นละครน้ำเน่ากันอยู่ แต่ในเมื่ออีกฝ่ายกล่าวออกมาแบบนี้ เมิ่งฉิงจ้าวตำหนักฟ้าลี้ลับจึงได้แต่เงียบไป
“จ้าวจี้ถึงแม้เจ้าจะถูกกำจัดออกมา แต่เจ้าก็สามารถใช้เวลาอยู่ด้านในได้ถึง 3 วัน…แล้วใน 3 วันนี้ได้อันใดดีๆมาบ้างเล่า?”
กู่ลี่หยีตามองจ้าวจี้ที่โชคร้ายถามออกด้วยรอยยิ้ม
วาจานี้ของกู่ลี่ยามดังเข้าหูจ้าวจี้ ยังต่างใดจากราดรดน้ำมันลงกองไฟ? พาลให้โทสะของจ้าวจี้พุ่งปรี๊ดขึ้นมาทันที เรียกว่าเจียนปะทุออกมาได้ทุกเมื่อ!
อย่างไรก็ตามจ้าวจี้ยังพบว่าหลังจากที่กู่ลี่กล่าวถามออกมาแล้ว คนอื่นๆรวมถึงบิดาของมันก็มองมาที่มันด้วยสายตาสงสัยทันที คล้ายต่างอยากรู้ว่ามันสามารถจดจำมรดกเวทย์พลังอะไรมาได้บ้างหรือไม่…
“ไม่เลย…”
จ้าวจี้กัดฟันดังกรอด กล่าวตอบพร้อมส่ายหน้า มันจะไปจดจำมรดกเวทย์พลังใน 3 วันได้อย่างไร?
ยิ่งไปกว่านั้นกระทั่งเงาของมรดกเวทย์พลังมันยังไม่เห็นด้วยซ้ำ!!
“ฮัยยา…ช่างน่าเสียดายยิ่งนัก”
กู่ลี่ระบายลมหายใจอย่างทอดถอนพร้อมส่ายหน้าไปมา ท่าทางเหมือนมันเสียใจกับจ้าวจี้ด้วยจริงๆ หากแต่ถ้าผู้ใดสังเกตให้ดีมุมปากกลับอมยิ้มกรุ้มกริ่มแววตายังแลดูสนุกสนานนัก
“หลิงเทียน…”
ตั้งแต่ต้นจนจบกู่มี่เพียงมองเรื่องราวอย่างเฉยเมย
ทว่าพอได้ยินคำ หลิงเทียน ใจมันอดไม่ได้ที่จะสั่นไหวไป เพราะจุดประสงค์ในการเดินทางมาของมันครั้งนี้ก็เพื่อยลโฉมหลิงเทียนที่ว่าสักครา…
กล่าวให้ชัดมันมาเพื่อยืนยันว่าอีกฝ่ายใช่จ้าวตำหนักน้อย ต้วนหลิงเทียน ของมันหรือไม่…!
“ท่านพ่อ! หลิงเทียนนั่นมันรังแกข้า ครั้งนี้มันทำเกินไปแล้ว! ข้าอยากให้มันตาย มันต้องตาย!!”
จ้าวจี้มองจ้าวเติงค่อยส่งเสียงกล่าวผ่านปราณด้วยความคับแค้น
“จี้เอ๋อขอเจ้าอย่าได้กังวล…ในเมื่อมันทำลายโอกาสในการสืบทอดมรดกเวทย์พลังของเจ้า นับเป็นการสร้างความอัปยศอดสูถึงที่สุดให้กับตระกูลจ้าวเรา พวกเรากับมันย่อมมิอาจอยู่ร่วมโลกเดียวกันได้! ตราบใดที่มีสกุลจ้าวต้องไม่มีมัน!! “
น้ำเสียงของจ้าวเติงยามต่อบผ่านการส่งเสียงยังเย็นชาปานผุดแทรกขึ้นมาจากหล่มน้ำแข็ง!
ลูกชายคนเดียวของมันถูกเตะออกจากแดนลับเซียน จ้าวเติงย่อมไม่ได้โกรธน้อยไปกว่าจ้าวจี้!
ต้องทราบด้วยว่าโอกาสในการเข้าไปยังแดนลับเซียนนั้น ชั่วชีวิตของศิษย์ตำหนักฟ้าลี้ลับอย่างดีก็มีเพียงครั้งเดียวเท่านั้น!
การที่หลิงเทียนเตะลูกชายมันออกจากแดนลับเซียน ย่อมหมายถึงตัดโอกาสที่ลูกชายของมันจะได้รับสืบทอดเวทย์พลัง ‘หากไม่มีหลิงเทียน ด้วยความสามารถของจี้เอ๋อต้องผ่านการทดสอบมรดกและเข้าใจเวทย์พลังระดับสูงได้แน่…ยามทะลวงถึงเซียนมนุษย์ ต้องสมควรเพาะสร้างต้นแบบและใช้งานได้!’
‘แต่ตอนนี้ทุกสิ่งทุกอย่าง…ล้วนพินาศด้วยน้ำมือหลิงเทียนเสียสิ้น!’
ตอนนี้ลึกลงไปในแววตาของจ้าวเติง พลันลุกโชนขึ้นมาด้วยเปลวเพลิงแห่งความเคียดแค้นชิงชัง ปานจะแผดเผาทุกสิ่งให้มอดไหม้!
ต้วนหลิงเทียนเป็นธรรมดาที่จะไม่รู้เรื่องราวภายนอกเลย…
ตอนนี้เขาย้อนกลับมาถึงสถานที่ๆเห็นจ้าวจี้ตอนแรกแล้ว…แต่กลับพบว่า 2 คนที่เขาบอกให้รอมันกลับไม่อยู่รอเขาซะอย่างนั้น!
“ไอ้พวกนั้น มันกล้าหนีไปจริงๆ…ไม่สนคำข้าเลยงั้นเหรอ เหอะๆ”
ต้วนหลิงเทียนพึมพำกับตัวพร้อมหัวเราะออกมาเบาๆ แต่หากใครฟังให้ดีจะพบว่าในน้ำเสียงกลับเต็มไปด้วยเค้าลางความเย็นเยียบจับใจ
“ทางนี้สินะ…”
หลังจากนั้นต้วนหลิงเทียนก็ออกเดินทางต่อทันที ทิศทางที่มุ่งหน้าไปก็เป็นทิศทางที่ศิษย์วังลี้ลับ 2 คนนั่นเหินนำมาตอนแรก
ห่างมุ่งหน้าไปทางนี้ตามพวกมันสองคน ปลายทางสมควรมีสถานที่ซุกซ่อนมรดกเวทย์พลังอยู่แน่
และในขณะที่เหินร่างข้ามฟ้าด้วยความฉับไว ต้วนหลิงเทียนก็เปิดใช้ม่านตาพิสดารเอาไว้ เพราะเขากลัวพลาดรายละเอียดอะไร จึงใช้มันเพื่อให้เห็นทุกสิ่งกระจ่างชัด
แม้เขาจะใช้ความเร็วสูงล้ำเหินร่างมาสักพัก แต่กลับไม่พบ 2 คนที่หนีไป…
‘พวกมันก็ยังนับว่าไม่โง่ ที่ไม่มาทางนี้ต่อ’
ผ่านไปครู่หนึ่งต้วนหลิงเทียนก็เดาออกได้ไม่ยาก
ในที่สุดหลังจากผ่านไปครึ่งวัน ม่านตาพิสดารของต้วนหลิงเทียนก็สังเกตเห็นสถานที่ประหลาดเบื้องล่าง…เป็นป่าศิลา!
ตอนแรกต้วนหลิงเทียนก็คิดว่ามันสมควรเป็นป่าหินธรรมดาๆ แต่ทว่าเขาดันพบว่าในขณะที่มองไปยังป่าหินดังกล่าว ภาพที่เขาแลเห็นกลับเบลอๆมัวๆ!
ซึ่งกล่าวกันตามความเป็นจริงแล้วมันไม่มีทางเป็นไปได้เลย!!
เพราะต้วนหลิงเทียนเปิดใช้ม่านตาพิสดารอยู่! ปกติไกลห่างเป็นลี้ๆยังเห็นชัดแจ๋วเหมือนตั้งอยู่ตรงหน้า แล้วป่าหินเบื้องล่างไฉนถึงเบลอมัวได้?
“ป่าหินนี่มีอะไรไม่ชอบมาพากลแล้ว…”
พอต้วนหลิงเทียนพบว่าป่าหินมีอะไรผิดแปลก เขาก็เหินร่างดิ่งลงไปทันที
เมื่อเข้าใกล้ป่าหินสำนึกเทวะที่แผ่ออกไปของเขา ก็จับสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายพลังผันผวนแผ่วเบา…และหากไม่ใช่เพราะจิตสัมผัสของเขาค่อนข้างดีน่ากลัวคงไม่อาจสัมผัสถึงมันได้
“ค่ายกลที่ยอดเยี่ยมนัก!”
ในขณะที่ดิ่งร่างลงมาต้วนหลิงเทียนกล่าวพึมพำเบาๆพร้อมระบายลมหายใจเฮือกหนึ่ง ทันใดนั้นเองเขาพลันพบว่าทัศนิวิสัยของเขาอยู่ๆก็มืดดับไป!
ครู่ต่อมาพอแสงสว่างปรากฏขึ้นเบื้องหน้าอีกครั้ง เขาก็พบว่าฉากเรื่องราวเบื้องหน้ากลับแปรเปลี่ยนไปแล้ว!!
ภาพที่ปรากฏในสายตากลับไม่ใช่ป่าหินอีกต่อไป แต่เป็นลานโล่งๆลานหนึ่ง และห่างออกไปไม่ไกลบนลานที่ว่า ก็มีหอคอยสูง 6 ชั้นตั้งอยู่!
“หืม?!”
ตอนนี้เองต้วนหลิงเทียนพลันสัมผัสได้ชัดเจน ถึงกลิ่นอายพลัง 3 ขุม!
ผ่านไปครู่หนึ่ง ก็ปรากฏร่างสัตว์ร้ายรูปร่างเหมือนกัน 3 ตัวผุดออกจากอากาศว่างเปล่าเบื้องหน้า
สัตว์ร้ายทั้ง 3 แลผ่านๆยังคล้ายเสือดาวอยู่บ้าง หากแต่พอสังเกตให้ดีจะพบว่าพวกมันที่แท้ไม่ได้คล้ายเสือดาวสักเท่าไหร่ เพราะใบหน้าของพวกมันดุร้ายกว่ามาก!
นอกจากนั้นบนหัวของพวกมันยังมีเขาสีเงินงอกเงยออกมา!
“ฮว่าสสส~!!”
“ฮว่าสสส~!!”
……
สัตว์ร้ายทั้ง 3 คำรามออกมาแทบจะพร้อมเพรียง ทั้งยังพุ่งร่างออกมาทันใด!
ทว่าพวกมันไม่ได้พุ่งร่างเข้าใส่ต้วนหลิงเทียนแต่อย่างใด กลับพุ่งแยกย้ายไปหยุดยืนล้อมกรอบเขา 3 มุม ดั่งจุดยอดของสามเหลี่ยม!
“ตอนนี้ข้าสมควรเป็นคนเดียวที่พบสถานที่แห่งนั้น…ข้าเข้าไปที่นั่นได้ไม่ทันไรข้าก็เจอกับสัตว์ร้ายตัวใหญ่ที่มีพลังฝีมือขอบเขตเซียนดั้งเดิมขั้นสูงสุดเข้ามากลุ้มรุมถึง 3 ตัว อีกทั้งไม่รู้พวกมันทำได้อย่างไรแต่ดูเหมือนพวกมันจะผนึกกำลังกันได้! ข้าสู้มันไม่ไหวก็เลยรีบหนีทันที…”
ต้วนหลิงเทียนนึกถึงคำของศิษย์วังลี้ลับขึ้นมา
‘ดูเหมือนที่นี่จะเป็นสถานที่ๆเจ้านั่นว่า…อืมสมควรมีค่ายกลไม่น้อยกว่า 2 ชนิดปกคลุมอยู่ แถมสัตว์ร้ายพวกนี้ก็คล้ายจะผนึกกำลังกันได้’
ใจต้วนหลิงเทียนเต้นรัวขึ้นมาเบาๆ ด้วยตระหนักว่าเขาสมควรมาถูกที่แล้ว
“มรดกเวทย์พลังที่ว่า…สมควรอยู่ในหอคอยนั่นสินะ”
ทันใดนั้นสายตาต้วนหลิงเทียนก็มองจ้องไปยังหอคอย 6 ชั้นที่ว่าทันที