ตอนที่ 125-2 การตัดสินใจของตระกูลอวี๋

ลำนำสตรียอดเซียน

ทั้งสี่คนในกลุ่มของโม่เทียนเกอเงยหน้า พวกนางต่างมองกันและกันแต่ไม่มีใครพูดอะไร อันที่จริงไม่มีใครรู้สึกว่าการตัดสินใจของตระกูลอวี๋นั้นแปลก ไม่ช้าก็เร็วตระกูลอวี๋ก็ต้องถูกดึงเข้าสู่สงครามกับสัตว์ปีศาจครั้งนี้ ที่จริงแล้วเป็นความเด็ดเดี่ยวของหัวหน้าตระกูลอวี๋ต่างหากที่ทำให้พวกนางรู้สึกแปลก

 

 

โม่เทียนเกอมองไปรอบๆ เมื่อฮูหยินอวี๋ได้ยินคำประกาศของหัวหน้าตระกูลอวี๋ นางบีบมือเขาอย่างลับๆ ราวกับว่านางกำลังปลอบใจเขาอยู่ ผู้ฝึกตนการสร้างฐานแห่งพลังตระกูลอวี๋อีกสองคนยังคงมองหัวหน้าตระกูลอวี๋อย่างสงบนิ่ง เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่มีอะไรนอกจากเห็นด้วยกับการตัดสินใจของเขา

 

 

หันชิงอวี้ยังคงเงียบอยู่พักหนึ่งก่อนที่นางจะเงยหน้าขึ้นในที่สุดและพูดด้วยรอยยิ้มว่า “เราชื่นชมทุกท่านที่ทำการตัดสินใจเช่นนี้”

 

 

หัวหน้าตระกูลอวี๋หัวเราะเบาๆ ก่อนที่เขาจะพูดอย่างจริงใจ “แต่ด้วยการตัดสินใจนี้ เราทำให้ความพยายามของท่านอาจารย์ของท่านต้องเปล่าประโยชน์ เดิมทีท่านสหายนักพรตมาที่ตระกูลอวี๋เพื่อช่วยเราปกป้องสมาชิกของเรา แต่ตอนนี้เรากลับลากพวกท่านเข้าสู่สงครามแทน ข้าละอายใจเป็นอย่างมาก ดังนั้นข้าจึงอยากจะบอกท่านเรื่องนี้ด้วยความสัตย์จริง ท่านสหายนักพรต เมื่อนึกถึงความปลอดภัยของท่าน เราจะไม่ห้ามท่านถ้าท่านต้องการกลับไป”

 

 

หัวหน้าตระกูลอวี๋ผู้นี้ดูจริงใจและไม่ได้ดูเหมือนเขากำลังพูดตามมารยาทเลยแม้แต่น้อย ถึงอย่างนั้นก็ตาม เรื่องนี้สำคัญมาก หันชิงอวี้จึงยังไม่ได้ตัดสินใจเดี๋ยวนั้น นางครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งแล้วจึงพูดว่า “ถ้าเป็นเช่นนั้น ขอให้เราทั้งสี่ได้ปรึกษาหารือกันก่อนได้หรือไม่ท่านหัวหน้าตระกูลอวี๋?”

 

 

“แน่นอน” ด้วยรอยยิ้มหัวหน้าตระกูลอวี๋กล่าวว่า “เราจะเข้าสู่สงครามในวันพรุ่งนี้ ท่านสหายนักพรตเชิญกลับไปไตร่ตรองดูให้ดี ไม่สายเกินไปหากท่านจะแจ้งเราถึงการตัดสินใจของท่านพรุ่งนี้”

 

 

“ถ้าเช่นนั้นเราต้องขอขอบคุณหัวหน้าตระกูลอวี๋มาก” หันชิงอวี้ยืนขึ้นและโค้งคำนับให้หัวหน้าตระกูลอวี๋ซึ่งรีบโค้งคำนับกลับ เขาพูดว่า “ไม่เป็นไร”

 

 

โม่เทียนเกอเห็นได้ว่าหัวหน้าตระกูลอวี๋หวังว่าพวกนางจะอยู่ต่อเพราะพละกำลังของพวกนางนั้นเหนือกว่าพละกำลังของผู้ฝึกตนการสร้างฐานแห่งพลังของตระกูลอวี๋ อย่างไรก็ตาม สถานการณ์นั้นยากจะคาดเดา ถึงแม้ว่าผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังและแม้แต่ผู้ฝึกตนระดับจิตวิญญาณใหม่จะเข้าร่วมในสงครามนี้กันทั้งหมด ทว่านี่ก็ยังไม่ใช่สิ่งที่น่าวางใจ ยิ่งไปกว่านั้น กลุ่มของนางประกอบไปด้วยศิษย์จากโรงเรียนเสวียนชิง เขาไม่กล้าเสี่ยงจะทำให้พวกนางขุ่นข้องหมองใจ

 

 

พี่น้องทั้งสี่คนกลับไปยังสนามเล็กๆ และรวมตัวกันอยู่ในห้องของหันชิงอวี้ ชั่วขณะหนึ่งที่ไม่มีใครพูดอะไร แม้แต่หลัวเฟิงเสวี่ยที่ช่างพูดก็ยังดูเหมือนมีอะไรมากมายอยู่ในใจ

 

 

หลังจากผ่านไปนาน ในที่สุดหันชิงอวี้ก็เงยหน้าขึ้นและกวาดสายตามองทั้งสามคน นางพูดว่า “เอาละ พวกเจ้าทุกคนพูดสิ่งที่อยู่ในใจมาได้ นี่เป็นเรื่องใหญ่ ข้าจะไม่ตัดสินใจแทนเจ้าแค่เพราะข้าเป็นศิษย์พี่ใหญ่หรอกนะ ถ้าเจ้ามีความคิดเห็นอย่างไรก็พูดมาได้โดยตรง”

 

 

“ศิษย์พี่ใหญ่…” หลัวเฟิงเสวี่ยต้องการพูดแต่ก็เกิดลังเล

 

 

โม่เทียนเกอและหลัวเฟิงเสวี่ยเป็นสหายกันมาหลายปี ดังนั้นเมื่อโม่เทียนเกอเห็นสีหน้าขัดแย้งของหลัวเฟิงเสวี่ย นางก็พอจะรู้ได้คร่าวๆ ว่าหลัวเฟิงเสวี่ยต้องการพูดอะไร

 

 

หันชิงอวี้พูด “มีแค่พวกเราอยู่ที่นี่ มีอะไรที่เจ้าพูดไม่ได้งั้นรึ”

 

 

“คือ…” เหลือบมองที่เว่ยจยาซือและโม่เทียนเกอ หลัวเฟิงเสวี่ยพูดว่า “ศิษย์พี่ใหญ่ เราไม่ใช่ศิษย์โรงเรียนตานติ่ง ยิ่งไปกว่านั้นสถานการณ์ก็ค่อนข้างอันตรายมากแล้วตอนนี้ พวกเขาไม่ต่อว่าเราแน่ถ้าเรากลับไป”

 

 

หันชิงอวี้พยักหน้าและพูด “เจ้าพูดถูก ไม่เหมือนกับพวกคนกล้าหาญในโลกนี้ เราผู้ฝึกตนไม่ได้มองว่าความซื่อสัตย์และการเสียสละตนเป็นสิ่งสำคัญ ในเมื่อเราไม่มีพลังที่จะทำอะไรสำคัญอยู่แล้ว เราก็ควรกลับ”

 

 

เมื่อได้รับการยืนยันจากหันชิงอวี้ หลัวเฟิงเสวี่ยรู้สึกมั่นใจ นางจ้องอย่างคาดหวังไปที่หันชิงอวี้และถาม “ถ้าอย่างนั้นเรา…”

 

 

หันชิงอวี้กลับส่ายหน้าและพูดว่า “ข้ากำลังคิดอะไรต่างออกไป เจ้าลองคิดดูสิ สงครามขยายออกไปทั่วทุกที่แล้วตอนนี้ ถึงแม้เราจะออกจากที่นี่ เจ้าจะวางแผนให้เรากลับไปที่โรงเรียนเสวียนชิงได้อย่างไร”

 

 

หลัวเฟิงเสวี่ยตกใจ นางไม่เคยเก่งในด้านการต่อสู้ด้วยพลังเวท และนางก็หวังว่าจะสามารถเอาตัวเองหนีออกห่างจากสงครามนี้ได้โดยเร็ว อย่างไรก็ตาม หันชิงอวี้ก็พูดถูก

 

 

“เมื่อตอนเราออกจากโรงเรียนเสวียนชิง เราออกมาด้วยอาวุธวิเศษบินได้ของท่านอาจารย์และอาจารย์ลุง ถ้าเราอยากจะกลับไปโรงเรียนเสวียนชิงด้วยตัวเอง ข้าเกรงว่ามันจะต้องใช้เวลาหนึ่งถึงสองเดือน นอกจากนี้ ทุกบริเวณที่เราต้องผ่านระหว่างทางกลับก็มีแนวโน้มว่าจะรายล้อมไปด้วยสงคราม แล้วเราจะปกป้องตัวเองอย่างไร”

 

 

หลัวเฟิงเสวี่ยตอบคำถามนี้ไม่ได้ นางเพียงพูดว่า “ศิษย์พี่ใหญ่… อยากที่จะอยู่งั้นหรือ”

 

 

หันชิงอวี้ส่ายหน้าช้าๆ และตอบว่า “ข้าไม่ได้อยาก ข้าแค่ยังไม่เห็นหนทางที่จะแก้ปัญหานี้ได้ ดังนั้นสำหรับตอนนี้ ข้าจึงยังตัดสินใจไม่ได้”

 

 

หลัวเฟิงเสวี่ยเงียบ

 

 

หันชิงอวี้เปลี่ยนความสนใจไปทางเว่ยจยาซือและถามว่า “ศิษย์น้องรอง เจ้าคิดว่าอย่างไร”

 

 

ไม่กี่วันที่ผ่านมานี้ ระดับการฝึกตนของเว่ยจยาซือกลับไปเป็นปกติ แต่มีแค่สีผิวของนางที่ยังคงซีดเผือด ถึงแม้นางจะได้ยินคำถามของหันชิงอวี้ แต่ดูเหมือนว่านางกำลังมึนงงและยังไม่ได้สตินึกคิดกลับคืน

 

 

หันชิงอวี้เรียกนางอีกครั้ง “ศิษย์น้องรอง?”

 

 

เมื่อสายตาของทั้งสามคนไปจับจ้องที่นาง เว่ยจยาซือจึงรู้สึกตัวในที่สุด แต่พูดเพียงแค่ประโยคสั้นๆ ประโยคเดียว “ข้าจะทำตามการตัดสินใจของศิษย์พี่ใหญ่”

 

 

เมื่อเห็นสภาพปัจจุบันของเว่ยจยาซือ หันชิงอวี้ทำได้แค่ถอนหายใจอยู่ภายใน จากนั้นนางหันความสนใจมาที่โม่เทียนเกอ นางถาม “เทียนเกอ แล้วเจ้าล่ะ?”

 

 

โม่เทียนเกอครุ่นคิดอยู่นานก่อนจะตอบ “ศิษย์พี่หัน ข้าคิดว่าเราควรจะอยู่และวิเคราะห์สถานการณ์”

 

 

“อยู่หรือ” หันชิงอวี้และหลัวเฟิงเสวี่ยมองหน้ากันก่อนจะหันมาทางโม่เทียนเกอ

 

 

โม่เทียนเกอพยักหน้าและพูดว่า “ถูกต้องแล้ว! ศิษย์พี่ทั้งหลาย ให้ข้าได้อธิบายก่อน ข้ามีความมั่นใจในม่านพลังสัตว์จตุรเทพของตระกูลอวี๋ นอกเสียจากว่าผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังหรือระดับสูงกว่าหลายๆ คนโจมตีมัน มันไม่สามารถทำลายให้แตกได้ อีกอย่าง ศิษย์พี่หันก็อยู่ที่นี่ ทำการวางแผนและตัดสินใจ ศิษย์พี่หลัวมีทักษะในด้านการจัดการกำลังคน และข้าเองก็รับผิดชอบม่านพลัง มีโอกาสมากที่เราจะสามารถยืนหยัดอยู่ได้”

 

 

หลังจากกวาดตามองดูทั้งสามคนอย่างเร็วๆ โม่เทียนเกอพูด “แน่นอน การทำเช่นนั้นไม่ใช่ไม่มีความเสี่ยง ถ้าสถานที่นี้ถูกสัตว์ปีศาจระดับสูงสังเกตเห็นและมันโจมตีเรา ก็มีโอกาสสูงมากที่เราไม่อาจหนีได้”

 

 

ทั้งหันชิงอวี้และหลัวเฟิงเสวี่ยนิ่งเงียบขณะที่พวกนางกำลังคิด ความเสี่ยงที่เห็นได้ชัดในแผนของโม่เทียนเกอไม่ถือว่าสูงมาก อีกอย่าง นอกเหนือจากการอยู่หรือไป พวกนางก็ไม่มีความคิดที่ดีกว่านี้แล้ว อย่างไรก็ตาม การพยายามหนีให้มีชีวิตรอดผ่านสงครามวุ่นวายนี้ไปได้ก็ยากมากเช่นกัน…

 

 

คนแรกที่ตัดสินใจได้คือหันชิงอวี้ ใช้เวลาไตร่ตรองเพียงไม่นานก่อนที่นางจะแสดงสีหน้ามุ่งมั่น นางกล่าว “เทียนเกอ ในเมื่อเจ้ามีความมั่นใจเช่นนี้ งั้นเราอยู่กันไหม?”

 

 

“ศิษย์พี่ใหญ่!” หลัวเฟิงเสวี่ยร้องเสียงดัง

 

 

หันชิงอวี้หันไปหานาง ยิ้มน้อยๆ ให้และพูดว่า “ข้าคิดมาถี่ถ้วนแล้ว ถ้าเราอยากจะปกป้องชีวิตของเรา เราควรทำเช่นนั้นด้วยความช่วยเหลือจากตระกูลอวี๋ ข้ารู้ว่าพวกเขาไม่แข็งแกร่งนัก เราทั้งสี่คนสามารถทำลายล้างตระกูลของพวกเขาได้ถ้าเราต้องการ แต่ตระกูลของพวกเขาวางรากฐานอยู่ที่นี่มานานแสนนาน ซึ่งอาจมีอะไรบางอย่างที่เราพอจะใช้ประโยชน์ได้ ไม่ว่าจะเป็นการที่เรายืมคนของเขาหรือเราให้เขายืมคนของเรา ทั้งสองทางเลือกยังปลอดภัยมากกว่าการออกไปอยู่ข้างนอกนั่นด้วยตัวของพวกเราเอง”

 

 

“แต่…” จิตใจของหลัวเฟิงเสวี่ยว้าวุ่น เป็นเวลายังไม่นานเลยตั้งแต่ที่นางสร้างฐานแห่งพลังได้ ยิ่งไปกว่านั้น นางโตมาภายในกลุ่มการฝึกตนใหญ่และมีชื่อเสียง นางไม่มีความสนใจในการต่อสู้ด้วยพลังเวทแม้แต่นิดเดียว ตอนนี้ที่นางต้องเข้ามาเกี่ยวข้องในสงครามนี้ นางสับสนเป็นที่สุดว่าจะต้องทำอะไรในกลุ่มพวกนาง

 

 

“เฟิงเสวี่ย ไม่ต้องกลัว” หันชิงอวี้ปลอบนางอย่างอ่อนโยน “เจ้าไม่เคยเข้าร่วมในสงคราม เพราะฉะนั้นเจ้าเลยไม่ชินกับมัน ข้าและศิษย์น้องรองเคยผ่านจลาจลของสัตว์ปีศาจเมื่อหกสิบปีก่อนมาแล้ว ในตอนแรกเริ่มพวกเราก็เหมือนเจ้านี่ล่ะ หลังจากผ่านประสบการณ์มากมาย อย่างไรก็ตาม เราค่อยๆ คุ้นเคยกับมัน มีความมั่นใจในตัวเองหน่อย! เจ้าเป็นศิษย์ของโรงเรียนอันทรงเกียรติ นอกจากนี้ เจ้ายังมีเครื่องมือเวทและอาวุธวิเศษที่ท่านอาจารย์มอบให้ เจ้าเข้มแข็งกว่าคนส่วนใหญ่ตั้งเยอะ! แล้วเจ้าจะกลัวอะไร?”

 

 

หลังจากถูกปลอบ หลัวเฟิงเสวี่ยก็ใจเย็นลง

 

 

เพราะโม่เทียนเกอสังเกตเห็นสภาพของหลัวเฟิงเสวี่ย และที่สำคัญ เพราะหันชิงอวี้ส่งสายตาอย่างมีนัยให้กับนาง นางจึงเข้าไปหาหลัวเฟิงเสวี่ย จับมือนางไว้และพูดพร้อมรอยยิ้ม “ศิษย์พี่หลัว ท่านเป็นศิษย์พี่ ท่านจะแย่กว่าข้าไม่ได้นะ”

 

 

พอได้ยินคำพูดของโม่เทียนเกอ รอยยิ้มขมขื่นปรากฏบนใบหน้าของหลัวเฟิงเสวี่ย นางพูดว่า “เทียนเกอ ข้าจะบอกความจริงเจ้า ก่อนหน้านี้ข้า… ข้าไม่คิดว่าเจ้ามีความสามารถ แต่หลังจากผ่านสงครามนี้ ในที่สุดข้าก็ได้รู้ว่าข้าใจแคบแค่ไหน ข้าประเมินคนอื่นต่ำเกินไป เมื่อไม่กี่วันก่อน เจ้าเป็นคนบอกข้าว่าไม่ต้องกังวล สองสามวันที่ผ่านมานี้เจ้าก็ใจเย็นในการรับมือกับสิ่งต่างๆ มากกว่าข้ามาก ข้า…”

 

 

“ศิษย์พี่หลัว!” พอเห็นหลัวเฟิงเสวี่ยรู้สึกสำนึกผิดมากขึ้นขณะที่นางพูด โม่เทียนเกอจึงขัดนางขึ้นทันทีและบอกว่า “ตอนนี้สถานการณ์เป็นแบบนี้ เราควรจะมีสติเข้าไว้นะ”

 

 

“เทียนเกอพูดถูก” หันชิงอวี้เป็นคนเข้าใจอะไรได้ดี เมื่อเห็นว่าสีหน้าของโม่เทียนเกอเริ่มอึดอัด นางก็รู้ทันทีว่าโม่เทียนเกอคงจะถูกทำให้นึกถึงบางสิ่งที่ไม่สบายใจ ดังนั้นนางจึงเปลี่ยนเรื่องทันทีและพูดว่า “นอกจากนั้น ข้ายังมีเหตุผลอื่นอีกในการอยู่ที่นี่ต่อ”

 

 

“ทำไมล่ะ”

 

 

หันชิงอวี้หยิบแผ่นหยกบันทึกออกมาและพูดว่า “ก่อนที่เราจะออกมา ท่านอาจารย์บอกข้าว่าถ้ามีอุบัติเหตุอะไรเกิดขึ้น ข้าต้องปกป้องเจ้าทั้งสามคนก่อนจากนั้นจึงไปเจอเขา”

 

 

ครั้งนี้แม้แต่เว่ยจยาซือที่ทำเหมือนว่าเรื่องพวกนี้ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับนางมาตลอดยังถึงกับตกตะลึง พวกนางทุกคนรู้ว่าหันชิงอวี้มีอารมณ์มั่นคงและพึ่งพาได้ ในฐานะศิษย์พี่ นางมักจะคอยช่วยเหลือท่านอาจารย์เสมอและทำงานหนักโดยไม่ปริปากบ่น นางยังคอยดูแลศิษย์น้องๆ ของนาง เพราะอย่างนั้น ท่านอาจารย์จึงไว้ใจนางเสมอ

 

 

เว่ยจยาซือไม่เคยรู้สึกไม่พอใจเพราะนางมักจะมองความน่าเชื่อถือของศิษย์พี่ใหญ่ว่าไม่เกี่ยวข้องกับการฝึกตน สิ่งที่ท่านอาจารย์สอนศิษย์พี่ใหญ่ไม่ได้แตกต่างจากสิ่งที่เขาสอนพวกนางที่เหลือ

 

 

แต่ ณ ตอนนี้ เมื่อหันชิงอวี้เปิดเผยคำสั่งลับของท่านอาจารย์ เว่ยจยาซือก็รู้สึกค่อนข้างเสียใจ ไม่เพียงแต่ท่านอาจารย์ของพวกนางจะเชื่อใจศิษย์พี่ แต่เขายังมอบหน้าที่รับผิดชอบอันหนักหน่วงเช่นนั้นให้กับนางด้วย เว่ยจยาซือในฐานะศิษย์ภายในที่ติดตามท่านอาจารย์มาเป็นเวลานานเช่นเดียวกับศิษย์พี่ของนาง ที่จริงแล้วไม่รู้เกี่ยวกับคำสั่งพวกนี้เลยแม้แต่น้อย…

 

 

หันชิงอวี้ไม่ได้รับรู้หรือสังเกตเห็นความไม่พอใจของเว่ยจยาซือ นางส่งหยกบันทึกไปให้เว่ยจยาซือที่ส่งต่อไปให้คนอื่นๆ หลังจากดูเนื้อหาในนั้น เมื่อทั้งสามคนเห็นเนื้อหาของหยกบันทึกหมดแล้วหันชิงอวี้จึงพูดว่า “ท่านอาจารย์คาดการณ์ไว้นานแล้วว่าการเดินทางครั้งนี้จะไม่เป็นไปอย่างราบรื่น ดังนั้นเขาจึงให้คำสั่งพวกนี้กับข้าและปล่อยให้ข้าทำตามที่เห็นสมควร ขณะนี้ข้าคิดว่าสิ่งที่เทียนเกอพูดนั้นมีเหตุผล เมื่อเป็นเช่นนั้น เราก็ควรทำตามที่ท่านอาจารย์บอก”

 

 

โม่เทียนเกอและอีกสองคนไม่ได้พูดอะไร คำสั่งที่ท่านอาจารย์เต๋าเสวียนอินทิ้งไว้นั้นธรรมดามาก พวกนางจะต้องรอโอกาสที่จะหาสถานที่ภายนอกโรงเรียนตานติ่ง ถ้าเรื่องต่างๆ เริ่มอันตรายขึ้น พวกนางจะต้องไปพบกับศิษย์คนอื่นที่นั่นเพื่อที่พวกนางจะได้เก็บแรงของตัวเองเอาไว้

 

 

จากคำสั่งเหล่านี้ เห็นได้ชัดว่าเขาคาดการณ์ไว้นานแล้วว่าการเดินทางจะไม่ราบรื่น เขาอาจจะส่งทั้งสี่คนออกมาเพื่อที่พวกนางจะได้ไม่ถูกลากเข้าสู่สงครามด้วยกัน การส่งพวกนางออกมาแสดงให้เห็นถึงความใส่ใจที่เขามีต่อศิษย์ผู้หญิง แต่ก็ยังแสดงให้เห็นถึงความมั่นใจที่เขามีต่อความสามารถของพวกนางในการรับมือกับเรื่องนี้

 

 

“ศิษย์พี่หัน…” เป็นเวลานานหลังจากนั้น โม่เทียนเกอพูดช้าๆ ว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนั้น เราทำตามคำสั่งของท่านอาจารย์ลุงเสวียนอินกันเถอะ จากที่ข้าเห็น การที่ตระกูลอวี๋ตัดสินใจแบบนั้นที่จริงแล้วก็ดีเหมือนกัน มันจะดีสำหรับเราในการยืมพื้นที่ของพวกเขาในช่วงนี้ เราและตระกูลอวี๋สามารถพึ่งพากันและกันได้ ถ้าสิ่งต่างๆ ไม่ราบรื่น มันก็จะง่ายสำหรับเราในการหนี ท้ายที่สุดแล้วเราทุกคนก็เป็นผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลัง”

 

 

“อืม ข้าก็คิดอย่างที่เทียนเกอพูดอยู่พอดี ศิษย์น้องรอง เฟิงเสวี่ย พวกเจ้าคิดว่าอย่างไร” ​​​​​​​