บทที่ 631 บันทึก
‘…หนทางสู่ “ความเป็นอมตะ” ถูกเปิดเผยตรงหน้าเรา หากว่า “การทดลอง” ของเราเป็นไปด้วยดี เราก็จะก้าวข้ามขีดจำกัดด้านช่วงชีวิตของมนุษย์ไปได้…’

‘…ในระหว่างการทดลอง ข้าบังเอิญค้นพบโลกอันแปลกประหลาดแต่น่าสนใจที่มีสัตว์อสูรผีดิบอยู่ทั่วทุกหนแห่ง ข้ามองเห็นภาพสะท้อนอันไร้ระเบียบของทุกสิ่งอย่างจากโลกหลัก เว้นก็แต่สิ่งมีชีวิต…หลังจากเข้าไปสำรวจสองสามครา ข้าก็ค้นพบปราสาทแสนงดงามยิ่งใหญ่มากมายตั้งอยู่ในส่วนลึกของโลกแห่งวิญญาณ โดยมีผู้คุ้มกันเป็นปีศาจที่มีจำนวนมากกว่าผู้มีพลังชั้นตำนานจากทั้งสามจักรวรรดิเวทมนตร์ ต้องขอบคุณจริงๆ ที่พวกมันส่วนใหญ่โง่เขลาเบาปัญญา ข้าลอบเข้าไปข้างในและเห็น “ม่าน” หรืออาจจะเรียกว่า “เตาหลอม” ก็ได้หากเจ้าต้องการ ซึ่งเป็นสิ่งบ่งชี้ถึงธรรามชาติที่แท้จริงของดวงวิญญาณทั้งหลาย’

‘…ขณะที่ข้ากำลังศึกษาม่านแห่งวิญญาณอยู่นั้น มัมมี่บรรพชนที่สวมมงกุฎทองคำก็มาพบตัวข้า เกราะป้องกันของมันช่างแข็งแกร่งเหลือเชื่อจริงๆ ข้าไม่อาจหลบหนีออกไปได้และทำได้เพียงซ่อนตัวอยู่ในเส้นทางสีเทาทึมเบื้องหลังม่านแห่งวิญญาณ ข้าไม่กล้าเข้าไปใกล้ปากทางเข้าอีกฝั่งหนึ่งเพราะข้าสัมผัสได้ถึงภัยอันตรายร้ายแรง นักพยากรณ์คงไม่มีทางเอาตัวรอดได้หากไม่เชื่อในสัญชาตญาณของตนเอง’

‘…สถานที่แห่งนี้เกือบจะเรียกได้ว่าเป็น “โลกแห่งประตู” มันมีห้องโถงสีเทาและประตูสีดำอย่างไร้ที่สิ้นสุด แต่โชคดีที่หลังประตูหลายๆ บานคือโลกอันแปลกประหลาด ที่ซึ่งมีสัตว์อสูรแปลกๆ และวัตถุดิบล้ำค่ามากมาย…’

‘…ข้าค้นพบลวดลายเวทมนตร์แปลกๆ แต่ชวนให้คุ้นเคยหลายแบบ และค้นพบโลกที่ข้าไม่อาจเชื่อได้ว่าจะมีอยู่ในที่แห่งนี้ ข้านึกไม่ออกเสียด้วยซ้ำว่าเหตุใดมันจึงมีอยู่ ณ ที่แห่งนี้…งานวิจัยและการทดลองของข้ามีความก้าวหน้าอย่างมาก แต่สัมผัสตื่นตัวถึงภัยร้ายกลับรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ บางที ข้าควรจะเชิญสหายสองสามคนมาสำรวจไปพร้อมกับข้า มัมมี่บรรพชนที่อยู่ด้านนอกนั้นคงคร้านจะเฝ้ารอแล้ว…’

‘…หลังจากพูดคุยกันอยู่นานมากๆ ไวเค็น แม็คลอยด์ โซลินส์ อัลเบิร์ต อิลลินอยส์ ยูจีเนีย และสหายคนอื่นๆ ก็รับรู้และเข้าใจในคุณค่าของโลกแห่งวิญญาณและมารวมกลุ่มกับข้า ส่วนวิลเฟล็ดนั้นยังยุ่งอยู่ จึงทำได้เพียงรั้งรอเพื่อเข้าร่วมการสำรวจในครั้งถัดไป…’

‘…เราทั้งเก้าคนมาจากคนละจักรวรรดิ เราแข็งแกร่งเทียบเท่าหนึ่งในสามของสมาคมเวทมนตร์ทั้งหมดเมื่อเรารวมตัวกัน แต่ข้ากลับรู้สึกไม่สบายใจอย่างยิ่งยวดก่อนจะออกเดินทาง ดังนั้น ข้าจึงทำนายด้วยกระจกแห่งชะตา และข้าก็ได้เห็นชะตากรรมที่อาจเกิดขึ้นกับข้า เช่นเดียวกับ “ผู้ไร้ศรัทธาที่ร่อนเร่ไปมาระหว่างแสงสว่างและความมืดมิด”…’

เนื้อหาส่วนใหญ่ที่อ่านมานี้คล้ายกับบันทึกที่ลูเซียนได้อ่านขณะอยู่ในมิติมหากางเขน แต่ฉบับนี้อธิบายไว้ละเอียดกว่ามาก ลูเซียนได้รู้เสียทีว่านักเวทชั้นตำนานทั้งเก้าคนที่เข้ามาสำรวจโลกแห่งวิญญาณนั้น มีห้าคนที่เป็นผู้มีพลังชั้นตำนานระดับสาม และอีกสี่คนอยู่ในระดับสอง พวกเขาอาจมีจำนวนไม่เท่าหนึ่งในสามของนักเวทชั้นตำนานทั้งหมด แต่ความแข็งแกร่งของพวกเขานับว่ามากกว่าหนึ่งในสามนัก ไม่แปลกใจเลยที่การหายตัวไปของพวกเขาจะทำให้จักรวรรดิเวทมนตร์ทั้งสามล่มสลายไป

“นักเวทชั้นตำนานทั้งเก้าคนหายตัวไปที่นี่ ทวารานาจักรถือเป็นสถานที่ที่อันตรายจริงๆ” ไรห์นยืนอยู่ไม่ห่างจากลูเซียน เขาตื่นตัวระแวดระวังประตูแต่ละบานขณะอ่านบันทึกไปด้วย “แต่ว่า โดยรวมแล้วพวกเขาหาได้แข็งแกร่งเท่ากลุ่มของเจ้า จากประวัติศาสตร์เวทมนตร์ทั้งหมด มีนักเวทชั้นตำนานอันดับต้นๆ ไม่ถึงสิบคนเท่านั้น”

ลูเซียนพยักหน้าแต่ไม่พูดอะไร เขาพลิกกระดาษไปเรื่อยๆ พลางพยายามปลดผนึกมงกุฎของมัมมี่บรรพชน

‘วันที่สามที่ต้องอยู่ในทวารานาจักร เราได้พบกับภูตผีแปลกๆ ตนหนึ่งที่คล้ายคลึงกับผลการทดลองของเรา หากไม่เช่นนั้นแล้ว เราคงมิมีทางหาพวกมันเจอ…ข้าเชื่อว่าการทดลองของเราจะก้าวหน้าไปอีกหลังจากที่เราศึกษาพวกมัน…’

‘วันที่ห้ากับการอยู่ในทวารานาจักร ไวเค็นพบสิ่งของแปลกๆ เข้า ใครบางคนเคยมาที่นี่!’

‘…เราลงความเห็นกันว่า “ห้องอมตะนิรันดร์” ดังที่ของสิ่งนั้นพาดพิงถึงก็คือทางเข้าที่มีระลอกคลื่นมายาโอบล้อม เพราะมันคือสถานที่เดียวที่ตรงตามคำบรรยาย ความลับแห่งความเป็นอมตะ! ข้าไม่เคยคิดเลยว่าเราจะได้สัมผัสกับความลับแห่งความเป็นอมตะ! ข้าเพียงอยากลองทลายขีดจำกัดแห่งชีวิตและกลายเป็นผีดิบอะไรทำนองนั้น! ไวเค็น แม็คลอยด์ และยูจีเนียต่างก็ตื่นเต้นจนพูดอะไรไม่ออกเลยในตอนนี้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคนอื่นๆ…ผู้ถือครองสิ่งของเหล่านั้นสามารถไปเยือนห้องอมตะนิรันดร์และกลายเป็นอมตะอย่างแท้จริงได้สำเร็จหรือไม่นะ’

‘การค้นพบนี้ทำให้เราปีติยินดีอย่างยิ่ง เราไม่อาจสงบจิตใจเพื่อทำการทดลองได้เลย เราจึงตัดสินใจเดินทางไปสำรวจห้องอมตะนิรันดร์ก่อน…’

‘วันที่เก้าที่อยู่ในทวารานาจักร เราเฝ้ามองร่างของโซลินส์และยูจีเนียแหลกสลายหายไปในเส้นทางที่มุ่งหน้าสู่ห้องอมตะนิรันดร์ ซึ่งเป็นเรื่องเหนือความคาดหมายของเรา…พวกเขาฝ่าฟันภยันตรายทั้งหลายมาได้ แต่กลับต้องมาตายอย่างไม่รู้อะไรและช่วยเหลือตัวเองไม่ได้เลย…ไม่! เราจะไม่หยุด! ทั้งสองย่อมรู้สึกเสียดายอย่างยิ่งขณะที่พลังชีวิตดับสูญ บางที เราอาจต้องใช้วิธีพิเศษเพื่อให้ผ่านช่องทางนั้นไปได้’

ลูเซียนสูดหายใจเข้า ดูเหมือนว่านักเวทชั้นตำนานทั้งสองคนนั้นจะเสียชีวิตลงตรงทางแยกอีกทาง

‘วันที่สิบที่อยู่ในทวารานาจักร เราสงบจิตสงบใจเพื่อศึกษาวิเคราะห์สิ่งของแปลกประหลาดนั้น หลังจากใช้กระจกแห่งชะตาอีกครา ในที่สุดเราก็ค้นพบห้องทดลองลับขนาดใหญ่…’

‘แท้จริงแล้วเป็นท่านธานอสที่มาเยือน ณ ที่แห่งนี้ เพื่อศึกษาภูตผีแปลกประหลาด และค้นหาวิถีทางในการเข้าไปยังห้องอมตะนิรันดร์ก่อนหน้าที่เราจะมา!’

นิ้วมือของลูเซียนพลันกระตุก ธานอส ราชันย์แห่งสุริยา คือหนึ่งในผู้แข็งแกร่งที่สุดอย่างแท้จริงในช่วงปีสุดท้ายของจักรวรรดิเวทมนตร์โบราณ กระทั่งโลกแห่งวิญญาณและห้องอมตะนิรันดร์ก็เป็นเขาที่ค้นพบมันเป็นผู้แรก!

เขาเป็นที่รู้จักในนามของนักเวทแห่งสำนักโหราศาสตร์ที่แข็งแกร่งที่สุด และยังได้รับการสรรเสริญว่าเป็นมนุษย์ครึ่งเทพ แต่เขากลับสิ้นชีพลงขณะอยู่ในช่วงเวลาที่ดีที่สุดในชีวิต ทุกผู้คนที่อ่านประวัติศาสตร์มักจะรู้สึกเสียใจให้กับเขา

ในตำราประวัติศาสตร์ การตายของราชันย์แห่งสุริยาถือเป็นจุดเริ่มต้นความเสื่อมถอยของยุคสมัยแห่งเวทมนตร์

“สรุปแล้ว ราชันย์แห่งสุริยาไม่ได้เสียชีวิตแต่หายตัวไปในที่แห่งนี้ จักรวรรดิเวทมนตร์ซิลวานาสคงจะต้องประกาศว่าท่านเสียชีวิตลงขณะทำการทดลองเพื่อไม่ให้ฝูงชนแตกตื่นเป็นแน่” ลูเซียนเกิดความรู้สึกพึงพอใจอย่างไรชอบกล หลังจากไขปริศนาแห่งประวัติศสาตร์นี้ได้

‘ราชันย์แห่งสุริยันหายตัวไปในที่แห่งนี้…’ จู่ๆ ถ้อยคำเหล่านั้นก็ดังก้องในหัวลูเซียนราวกับสายฟ้าฟาด ความรู้สึกคุ้นเคยพลันหลอมรวมกันเป็นกระแสธารอันคลุ้มคลั่งที่ล้นทะลักจนทะลายเขื่อนแห่งความทรงจำ

‘ใช่แล้ว การทดลอง “ปีศาจ” ของราชันย์แห่งสุริยา! ใครก็ตามที่ถูกปีศาจใช้จำลองภาพมายาจะแข็งแกร่งกว่าตัวคนคนนั้นเอง! สำหรับคนที่มีพลังระดับล่างๆ การพัฒนาที่เกิดขึ้นกับภาพมายาอาจเหนือกว่าคนคนนั้นหลายขั้น แต่สำหรับคนที่มีพลังระดับสูง มันจะพัฒนาได้มากกว่าแค่สองขั้น หนึ่งขั้น หรืออาจจะแค่ครึ่งขั้น ขอบเขตพลังของชั้นตำนานเองก็ควรจะเหมือนกัน! ไม่แปลกใจเลยที่ฉันรู้สึกคุ้นเคยสุดๆ ที่ “สัตว์ประหลาด” ตนนี้บังเอิญแข็งแกร่งกว่าเป้าหมายหนึ่งระดับ!’

‘แต่ว่า “ปีศาจ” จะเข้าไปอยู่ในใจคนและเพิ่มพูนพลังให้กับคนคนนั้น ในขณะที่สัตว์ประหลาดในทวารานาจักรมีอยู่จริงแถมยังพัฒนาความสามารถต่างๆ ให้เป็นของมันเองด้วย เพราะแบบนี้ฉันถึงเชื่อมโยงเรื่องทั้งหมดนี้ไม่ได้ตั้งแต่แรก!’

เมื่อสังเกตเห็นสีหน้าตกตะลึงของลูเซียน ไรห์นจึงถามว่า “มีอะไรหรือไม่”

ลูเซียนอธิบายข้อสงสัยของตนผ่านทางกระแสจิต

รอยยิ้มละไมของไรห์นพลันหายไปขณะที่เขาตกอยู่ในภวังค์ความคิด “ปีศาจแห่งบรรพกาลทั้งเจ็ด…ข้าเคยไปสำรวจอนุสรณ์สถานบรรพกาลในส่วนที่ลึกที่สุดของนรกภูมิ พอมาคิดๆ ดูยามนี้ พวกมันก็ค่อนข้างคล้ายกับสัตว์ประหลาดตนนี้จริงๆ พวกนั้นเองก็ไม่อาจเลื่อนระดับพลังขึ้นเป็นมนุษย์ครึ่งเทพได้ แต่ก็ไม่อาจทำลายได้ง่ายๆ เช่นกัน และยังเก่งกาจเรื่องแทรกแซงขุดคุ้ยความคิดและความทรงจำอีกด้วย แต่ว่า สัตว์ประหลาดตนนี้ไม่ได้ทำอะไรกับความคิดและนิสัยเรา หรือ ‘เพิ่มพูน’ พลังให้เรา กลับกัน มันคอยแต่จะแยกตัวออกห่างจากเราอย่างไรชอบกล พื้นฐานนิสัยของพวกมันแตกต่างกันยิ่ง”

“บางที มันอาจแทรกแซงจิตใจผู้มีพลังชั้นตำนานไม่ได้ จึงทำได้เพียงหลอกล่อและต่อสู้อยู่ด้านนอก หากมองจากมุมนั้น ข้าก็เริ่มจะเข้าใจแล้วว่าเหตุใดถ้อยคำที่นักเวทชั้นตำนานเหล่านั้นทิ้งไว้จึงดูเสียสติคลุ้มคลั่งถึงเพียงนั้น พวกเขาคงจะตกอยู่ในอันตรายและได้รับผลกระทบจากสัตว์ประหลาดเพราะพวกเขาไม่แข็งแกร่งพอ และทำให้บุคลิกลักษณะของพวกเขาบิดเบี้ยวไป” ลูเซียนคาดเดาต่อไป

ไรห์นพยักหน้า “ก็สมเหตุสมผลดี แต่เหตุใดสัตว์ประหลาดจึงไม่ทำลายสมุดบันทึกกับเศษกระดาษเหล่านั้น แล้วเหตุใดเราจึงพบมันได้อย่างง่ายดายนัก”

เขาถามคำถามที่ลูเซียนเองก็เคยคิด

“เพื่อสร้างความตื่นตระหนกงั้นหรือ” ลูเซียนคาดเดาขณะขมวดคิ้วมุ่น “อ่านต่อกันเถิด บางทีคำตอบอาจอยู่ข้างหลังนี้ก็เป็นได้”

‘วันที่สิบเอ็ดที่อยู่ในทวารานาจักร ไวเค็นเสนอให้เราลบทุกสิ่งทุกอย่างบนสมุดบันทึกของเราเกี่ยวกับการทดลองนี้ เผื่อว่าข้อมูลอาจรั่วไหลเพราะความประมาท และเสนอว่าเราควรจะอ่านเอกสารขณะอยู่ในห้องทดลองเท่านั้น ข้าเองก็เห็นด้วยอย่างยิ่ง ดังนั้น ข้าจึงลบข้อความบางส่วนที่เคยเขียนเอาไว้ และข้าก็อาจต้องบันทึกแบบข้ามรายละเอียดไปในอนาคต…สุดท้ายนี้ ข้าขอไว้อาลัยให้แก่ท่านธานอส แม้ว่าท่านจะล้มเหลว แต่ท่านก็ได้ส่องแสงนำทางให้แก่เรา ท่านสมควรได้รับการขนานนามว่านักเวทผู้ยิ่งใหญ่แห่งประวัติศาสตร์ และการตายของท่านก็เป็นการสูญเสียครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์เวทมนตร์…’

‘วันที่สิบห้าที่อยู่ในทวารานาจักร เราเก็บรวบรวม “ภูตผีแปลกๆ” มาและเริ่มสร้างสื่อกลางตามวิธีการของท่านธานอส เฝ้าดูว่ามันจะมีปฏิกิริยาอย่างไรบนตัวเราเพื่อเปลี่ยน “สถานะ” ของเราให้สามารถเข้าไปถึงห้องอมตะนิรันดร์…’

‘วันที่ยี่สิบหกที่อยู่ในทวารานาจักร มีบางสิ่งบางอย่างผิดปกติในการทดลอง “สื่อกลาง” ที่เราสร้างขึ้นกลายเป็นสัตว์ประหลาดน่าหวาดกลัว เป็นผีที่ร่อนเร่ไปทั่วทวารานาจักร! กว่าเราจะไล่ต้อนมันไปได้ก็ต้องรวมพลังกัน…’

‘วันที่ยี่สิบเก้าที่อยู่ในทวารานาจักร ไวเค็นรู้สึกหวาดกลัวอย่างมากและอยากจะออกไปจากที่นี่ เขาคอยบอกเราด้วยท่าทางคลุ้มคลั่งว่าปีศาจนั่นโหดร้ายกว่าที่เราคิด…’

‘วันที่สามสิบที่อยู่ในทวารานาจักร ไวเค็น “หายตัวไป” ช่างขี้ขลาดเสียจริง…’

‘วันที่สามสิบเอ็ดที่อยู่ในทวารานาจักร อัลเบิร์ตหายตัวไป เขาก็ทอดทิ้งเราไปงั้นรึ’

‘วันที่สามสิบสองที่อยู่ในทวารานาจักร อิลลินอยส์เองก็หายตัวไป สถานการณ์อาจยุ่งยากกว่าที่เราคิดไว้ ข้าแนะให้เราออกจากทวารานาจักรก่อน…’

‘ช่วงบ่ายของวันที่สามสิบสามที่อยู่ในทวารานาจักร เราถูกสัตว์ประหลาดหลอกให้เชื่อ…มันน่ากลัวมากจริงๆ และมันก็สามารถเลียนแบบผู้ใดก็ได้…แม็คลอยด์หายตัวไปแล้วเช่นกัน…’

‘วันที่สามสิบสี่ที่อยู่ในทวารานาจักร สัตว์ประหลาดปิดกั้นทางออกของเรา และเราก็บังเอิญไปพบชิ้นส่วนของหุ่นเชิดที่แม็คลอยด์ทิ้งไว้ บางที เขาอาจจะพยายามบอกบางอย่าง…ข้าว่าข้าทำนายจุดอ่อนของสัตว์ประหลาดด้วยกระจกแห่งชะตาได้นะ’

‘…อีกสองคนก็หายตัวไปแล้วเช่นกัน กระจกแห่งชะตาบอกใบ้ข้าอย่างคลุมเครือยิ่ง แต่หากพิจารณาจากสิ่งที่ข้ารู้อยู่แล้ว ข้าว่าข้าพอจะเข้าใจบางอย่างแล้วล่ะ มันหาใช่สัตว์ประหลาด หาใช่ภูตผี หาใช่ปีศาจแห่งบรรพกาลที่เรากลัวเกรง แต่เป็น…’

บันทึกของมาสเกลีนจบลงเพียงเท่านั้น ส่วนสำคัญที่สุดมีรอยน้ำหมึกลากเป็นทางยาว ราวกับว่าขณะนั้นได้เกิดเรื่องบางอย่างขึ้นและเขาก็เร่งร้อนออกไปจากห้องลับ โดยที่ไม่มีทางได้กลับมาอีก

ประโยคที่สำคัญที่สุดกลับเขียนไม่จบ! ลูเซียนแทบจะปาสมุดบันทึกเวทมนตร์ลงกับพื้น ‘อีกแค่ไม่กี่คำเองนะขอรับ ทำไมถึงไม่เขียนต่อเล่าท่านมาสเกลีน’

…………………………………