ตอนที่ 869

Alchemy Emperor of the Divine Dao

จะหิวก็ไม่แปลก

พลังงานที่ใช้กำลังฝึกฝนร่างกายนั้นมาจากอาหารที่กินเข้าไป ติงผิงที่ไม่ได้กินอะไรเลยตั้งแต่เช้ายันค่ำ เมื่อเขาเริ่มฝึกฝนกายหยาบก็เป็นธรรมดาที่เขาหิว

หลิงฮันหัวเราะและกล่าว “มากินอาหารก่อนเถอะ”

หลิงฮันนำวัตถุดิบออกมาจากหอคอยทมิฬและเริ่มปรุงอาหาร ไม่นานกลิ่นอันหอมหวนก็ลอยตลบอบอวล ติงผิงที่น้ำลายสอ เมื่อเขาลองลองกินไปคำนึงแล้วเขาก็หยุดมือไม่ได้

เมื่อเห็นเนื้อตรงหน้าหลิงฮันก็อดคิดถึงฮูหนิวไม่ได้ ไม่รูว่าสาวน้อยจะอาศัยอยู่บนดินแดนศักดิ์สิทธิ์อย่างมีความสุขหรือเปล่า นางจะกินเนื้อน้อยลงรึไม่?

เมื่อเขาพบฮูหนิวอีกครั้ง บางทีอีกฝ่ายอาจจะไม่ใช่สาวน้อยอีกต่อไปแต่เป็นสตรีเต็มตัวแล้ว

หากตอนนั้นนางอายุราวๆสิบแปดแล้ว นางจะไม่เรียกเขาว่า ‘ลุง’ เลยรึไง?

หลิงฮันคิดว่าเมื่อเขาเปิดสวรรค์และขึ้นไปบนดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ก็ต้องมีโอกาสเสมอที่สักวันหนึ่งเขาจะพบหน้ากับนางอีกครั้ง

หลังจากกินอาหารเสร็จ ติงผิงก็รู้สึกว่าทั่วร่างของเขาอัดแน่นไปด้วยพลัง หลังจากฝึกฝนทักษะกายาเก้ามังกรทรราชแล้วสำเร็จเล็กน้อยแล้ว เขาก็ลองยกโขดหินทดสอบดู เขาพบว่ากำลังของเขาเพิ่มขึ้นจากเดิมถึงสิบเท่า

เพียงแค่วันเดียวเท่านั้น!

ยิ่งกว่านั้นกำลังที่เพิ่มขึ้นก็ไม่ได้เกิดจากพลังกายทั่วๆไป แต่เกิดจากความแข็งแกร่งของกล้ามเนื้อและกระดูกของเขา ซึ่งเป็นพลังที่ไม่อาจมองเห็นได้จากภายนอก

หลิงฮันพยักหน้า “เจ้ามีพลังกายที่เทียบได้ระดับหลอมกายาขั้นสาม แต่ด้วยโครงสร้างกระดูกที่แปลกประหลาดของเจ้าทำให้เจ้าสามารถรีดเค้นกำลังออกมาได้มากกว่าปกติ กำลังของเจ้าสมควรจะทัดเทียมกับระดับรวมธาตุขั้นหนึ่ง”

“เอาล่ะ กลับบ้านไปพักผ่อนให้พอแล้วมาหาข้าที่นี่ทุกๆช่วงบ่าย เมื่อเจ้ามาถึงข้าจะปรากฏตัวให้เห็นเอง”

ติงผิงกล่าวตอบด้วยท่าทางเคารพ “ขอรับอาจารย์”

ความรู้สึกของติงผิงเต็มไปด้วยความปลื้มปิติ เขาคิดมาเสมอว่าเขาเป็นเพียงคนไร้ค่า แต่ตอนนี้เขากลับสามารถเปิดประตูสู่อนาคตใหม่ได้อย่างไม่คาดคิด

ทักษะกายาเก้ามังกรทรราช เมื่อบรรลุระดับสูงสุดแล้วจะทำให้เขามีกำลังเทียบเท่ากับมังกรที่แท้จริงเก้าตัว กำลังกายเช่นนั้นจะเป็นอำนาจที่น่ากลัวขนาดไหนกันนะ?

เขาอดที่จะกลับตระกูลไปหักหน้าคนเหล่านั้นไม่ไหวแล้ว สำหรับตัวตนของหลิงฮันนั้น ติงผิงเต็มไปรู้สึกหวาดหวั่นอยู่ไม่น้อย เขาสามารถตระหนักได้ว่าพลังของอาจารย์ของตัวเขานั้นแข็งแกร่งเกินกว่าจะจินตนาการได้

หลิงฮันยังคงหยุดพักอยู่ที่แม่น้ำเพื่อรอให้ศพที่ยิ่งใหญ่ปรากฏตัว เขาใช้สัมผัสสวรรค์สอดส่องผ่านธงสัญลักษณ์เพื่อสังเกตุการณ์ทุกๆซอกมุมของเมือง

เขาต้องการจะทดสอบจิตใจของติงผิง

ศักยภาพและความมุมานะ สองสิ่งนี้ทำให้ติงผิงมีคุณบัติจะกลายเป็นจอมยุทธที่ทรงพลัง แต่จอมยุทธที่ทรงพลังก็สามารถเป็นได้ทั้งคนดีและคนเลว หลิงฮันไม่อยากจะเลี้ยงดูปีศาจชั่วร้ายให้เติบใหญ่ ดังนั้นเขาจึงปล่อยติงผิงกลับไปเพื่อทดสอบจิตใจ

พลังที่เพิ่มขึ้นและได้กลับไปเป็นอัจฉริยะอีกครั้ง จิตใจของเขาจะยังเหมือนเดิมอยู่รึไม่?

ติงผิงกลับไปยังเมือง เมื่อถึงตระกูลติงเขาก็เดินตรงเข้าไป

“นายน้อย!” ที่หน้าประตูทหารยามสองคนกล่าวทักทาย แต่ใบหน้าของพวกเขากลับกำลังหัวเราะเยาะโดยไม่มีความเคารพแม้แต่น้อย

ทุกคนรู้ว่าติงผิงปลุกรากฐานวิญญาณได้แล้วเมื่อครึ่งปีก่อน แต่มันก็เป็นเพียงรากฐานวิญญาณที่ไร้ค่าไม่อาจบ่มเพาะพลังได้

ตระกูลได้ประชุมพูดคุยกันเกี่ยวกับเรื่องนี้มาสักพักแล้ว ซึ่งคงจะได้ข้อสรุปในไม่ช้านี้ สถานะผู้สืบทอดอันดับหนึ่งของติงผิงจะต้องถูกถอดถอน รุ่นเยาว์ของตระกูลติงนั้นมีมากมาย ทำไมพวกเขาจะต้องกังวลเรื่องทายาทด้วย?

ติงผิงใช้สายตากวาดมองและเค้นเสียง “ท่าทางเช่นนั้นหมายความว่าอย่างไร?”

“ท่าทางงั้นรึ?” ทหารยามกล่าวด้วยเสียงเบา “นายน้อยติง ท่านต้องการให้พวกข้าทำท่าทางแบบไหนงั้นรึ? เดี๋ยวอีกไม่กี่วันสถานะของท่านก็จะต่ำต้อยเสียยิ่งกว่าทาสบริวาร พวกข้าขอแนะนำว่าจงใช้เวลาในไม่กี่วันนี้ให้สนุกในฐานะนายน้อยจะดีกว่า!”

“อวดดี!” ติงผิงยกมือขึ้น ‘ปัง’ เขาตบไปยังใบหน้าของอีกฝ่าย

ทหารยามเป็นเพียงจอมยุทธระดับหลอมกายา เขาจะสามารถหลบฝ่ามือติงผิงได้อย่างไร? ภายในพริบตาใบหน้าของเขาก็ถูกตบ ทหารยามนำมือขึ้นมาลูบใบหน้าตนเองและอุทานออกมา “เจ้ากล้าตบข้า?”

“เจ้าก็ตอบโต้สิ” ติงผิงกล่าวอย่างเย็นชา

“เหอะๆ พี่ชายผิงช่างยอดเยี่ยมนัก!” ทันใดนั้นเอง รุ่นเยาว์ผู้หนึ่งก็เดินออกมาจากบ้านพักตระกูล

“ติงเฟยเหวิน!” ติงผิงกวาดสายตามองและชะงัก

ครึ่งปีก่อนน้องชายของเขาคนนี้ยังเดินตามหลังเขาไปนู่นมานี่และประจบประแจงเขา แต่หลังพบว่าเขามีรากฐานวิญญาณที่ไร้ค่า ท่าทีของเขาก็เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ ไม่เพียงแค่เขาจะไม่เคารพเขาแต่ยังหาวิธีจัดการเขี่ยเขาทิ้งอีกด้วย

“ฮ่าๆๆ!” ติงเฟยเหวินหัวเราะ เขาไม่ได้เดินมาแค่คนเดียวแต่ข้างกายเขายังมีสตรีที่งดงามอยู่ด้วย นางเป็นรุ่นเยาว์ที่ดูมีอายุราวๆสิบสี่สิบห้าปี ร่างกายของนางช่างโค้งเว้าได้รูปยิ่งนัก

“หยวนหยวน!” ติงผิงมองไปที่นางและอุทานออกมา

สตรีที่งดงามผู้นั้นมีสีหน้าเย็นชาและกล่าว “พี่ชายติง ข้อตกลงการแต่งงานของพวกเราเป็นอันยกเลิกแล้ว ได้โปรดอย่าเรียกข้าอย่างสนิทสนมเช่นนั้นอีก เดี๋ยวคนอื่นจะเข้าใจผิดเอา!” ชื่อของนางคือเยว่หยวน นางเคยเป็นคู่หมั้นของติงผิง แต่หลังจากรู้ว่าติงผิงมีรากฐานวิญญาณที่ไร้ค่าเยว่หยวนก็ขอยกเลิกการแต่งงานทันที

ล้อเล่นรึเปล่า ถึงแม้อำนาจของตระกูลเยว่จะไม่ยิ่งใหญ่เท่าตระกูลติง แต่ตระกูลเยว่ก็ไม่ยอมให้ไข่มุขของตระกูลตกไปอยู่กับขยะไร้ค่าแน่นอน

นอกจากนั้นพรสวรรค์ของเยว่หยวนก็ยังไม่เลวอีกด้วย อนาคตของนางย่อมรุ่งโรจน์

ติงผิงอดรู้สึกเศร้าโศกไม่ได้ เขาชอบเยว่หยวนมากจริงๆ อีกฝ่ายมักจะทำดีและอ่อนโยนกับเขาเสมอมา แต่เมื่อครึ่งปีก่อนท่าทีอ่อนหวานเช่นนั้นของนางก็หายไป

ก่อนหน้านี้เขาคิดว่าเยว่หยวนหลงรักเขา แต่ตอนนี้เขารู้ตัวแล้วว่าความอ่อนโยนของอีกฝ่ายเป็นเพียงการเสแสร้ง

เรื่องนี้ทำให้เขารู้สึกราวกับหัวใจถูกดาบทิ่มแทง

“ใช่แล้ว พี่ชายผิงไม่ต้องเศร้าไป ตอนนี้หยวนหยวนเป็นคู่หมั้นของข้าแล้ว!” ติงเฟยเหวินถอนหายใจเยาะเย้ย เขาเห็นว่าใบหน้าติงผิงนั้นซีดขาวราวกับถูกตบหน้าอย่างรุนแรง

เขามักจะถูกติงผิงแซงหน้ามาโดยตลอด ไม่ว่าเขาจะทำอะไรเขาก็จะถูกติงผิงบดบังรัศมี แต่ถึงแม้เขาจะรังเกียจติงผิงขนาดไหนเขาก็ยังเสแสร้งแกล้งทำเป็นน้องชายแสนดีต่อหน้าอีกฝ่าย

แต่ตอนนี้ติงผิงสูญเสียชื่อเสียงไปหมดสิ้นแล้วทำให้สถานะของเขาสูงขึ้นมาก ดังนั้นเขาจึงไม่ต้องเสแสร้งอีกต่อไปและจะเขี่ยคนที่เคยอยู่เหนือกว่าเขาคนนี้ทิ้งไปซะ

“หยวนหยวน!” ติงผิงโอดครวญด้วยใบหน้าซีดเผือด เขาชอบเยว่หยวนมาก แต่ตอนนี้เยว่หยวนที่อยู่ต่อหน้าเขากลับกลายเป็นคนอื่นไปอย่างสิ้นเชิง

“บังอาจ ชื่อของคู่หมั้นของพี่ชายเฟยเหวินไม่สิ่งที่คนเช่นเจ้าจะสามารถเอ่ยเรียกได้!” รุ่นเยาว์สองคนโผล่ออกมาจากด้านหลังติงเฟยเหวินและคำรามใส่ติงผิง