บทที่ 601 พี่น้อง

บัลลังก์พญาหงส์

ถาวซินหลันเห็นถาวจวินหลันยังพูดหยอกล้อได้เช่นนี้ ก็ร้อนใจจนแทบจะกระทืบเท้าแรงๆ ทำแก้มพองลม พูดกล่าวโทษว่า “ทำไมท่านพี่ถึงไม่ร้อนใจเลยเล่าเจ้าคะ? เป็นเดือดเป็นร้อนแทนเสียเปล่าจริงๆ ช่างเถิด ข้าจะไม่คิดอีกแล้ว ยิ่งคิดยิ่งร้อนใจ” 

 

 

ถาวจวินหลันได้ยินก็ไม่เข้าใจ “มีอะไรต้องร้อนใจกัน? ไม่ว่าฐานะของข้าคืออะไร ข้าก็เป็นพี่สาวของเจ้ามิใช่หรือ?” 

 

 

ถาวซินหลันกลอกตามองถาวจวินหลันทีหนึ่ง พูดอย่างเขินอาย “ช่างเถิดเจ้าค่ะ ข้าพอดูออกแล้ว ท่านดูไม่ร้อนใจเลยสักนิด” 

 

 

ถาวจวินหลันหัวเราะเบาๆ พูดเสียงต่ำว่า “ก่อนหน้านี้ข้าก็ร้อนใจเช่นเดียวกัน คิดว่าจะต้องแย่งชิงกันบ้าง แต่พอเรื่องเริ่มใกล้ตัวขึ้นเรื่อยๆ ก็ไม่ได้รีบร้อนขนาดนั้นแล้ว พูดไปแล้วก็น่าแปลก คิดว่าตนเองทำในสิ่งที่ควรทำแล้ว สุดท้ายจะสำเร็จหรือไม่ ล้วนยอมรับได้ทั้งนั้น ต่อให้สุดท้ายข้าไม่ได้ตำแหน่งภรรยาเอก ก็ไม่ได้เสียดายอีกแล้ว” 

 

 

ถาวซินหลันมองถาวจวินหลันนิ่งอึ้ง ผ่านไปครู่หนึ่งถึงพูดว่า “ท่านพี่ช่างใจกว้างเสียจริง” แต่เรื่องเช่นนี้จะยอมแพ้ได้อย่างไร? 

 

 

“เอาเถิด วันนี้เจ้าเร่งรีบเดินทางมาเพื่อเรื่องนี้หรือ?” ถาวจวินหลันกลอกตามองถาวซินหลัน ก่อนมองท้องที่เริ่มนูนขึ้นมาของนาง “ช่วงนี้เจ้ารู้สึกอย่างไรบ้าง? อาหารการกินเป็นอย่างไร? อย่ากินให้มากนัก แล้วก็เชื่อฟังหมัวหมัวด้วย” 

 

 

ด้วยเพราะถาวซินหลันตั้งครรภ์ครั้งแรก นางอาจจะยังไม่รู้ประสีประสา และเฉินฮูหยินก็ไม่อาจตามติดนางได้ตลอดเวลา ดังนั้นถาวจวินหลันจึงส่งหมัวหมัวที่เคยดูแลตนเองช่วงตั้งครรภ์ซวนเอ๋อร์ไปคอยช่วยเหลือ หมัวหมัวคนนี้มีประสบการณ์เต็มเปี่ยม พิถีพิถันตั้งแต่เรื่องเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม อาหารการกิน รวมถึงห้องหับของคนท้อง 

 

 

พอพูดถึงเรื่องนี้ถาวซินหลันก็ทำท่าหงุดหงิดเล็กน้อย “ท่านพี่ไม่คิดว่าข้าอ้วนขึ้นหรือเจ้าคะ? เสื้อผ้าที่มีก็คับไปหมดแล้ว ถ้าเป็นเช่นนี้ต่อไป ข้าคงไม่มีหน้าออกไปพบคนอีกเป็นแน่” 

 

 

ถาวจวินหลันมองพิจารณาถาวซินหลัน ก่อนส่ายหน้า “อ้วนที่ไหนกัน ก็เพราะว่าท้องใหญ่แล้ว เจ้าถึงสวมใส่เสื้อผ้าไม่ได้ คลอดแล้วก็จะยุบไปเอง พูดไปแล้ว อายุครรภ์ก็ใกล้จะหกเดือนแล้ว เด็กเริ่มขยับตัวบ้างแล้วหรือยัง?” 

 

 

พอพูดถึงเรื่องนี้ ถาวซินหลันก็ตื่นเต้น พูดไม่หยุดหย่อย ก่อนพูดเสียงสลด “ไม่รู้ว่าเฉินฟู่จะกลับมาเมื่อไร เขาจะกลับมาทันข้าคลอดหรือไม่” 

 

 

พูดถึงเรื่องนี้ ถาวจวินหลันก็เป็นกังวล ผ่านไปนานขนาดนี้แล้ว หลี่เย่ยังไม่บอกเลยว่าพวกเฉินฟู่จะกลับมาเมื่อไร แม้แต่องค์ชายเจ็ดเองก็ไม่มีความเคลื่อนไหวอะไร ทางนั้นอาจจะยังวุ่นวายอยู่… 

 

 

แต่อยู่ต่อหน้าถาวซินหลันนางย่อมไม่กล้าทำท่าทางกังวลแม้แต่น้อย นางเพียงยิ้มปลอบประโลมถาวซินหลัน “วางใจเถิด ผ่านไปอีกไม่นานเฉินฟู่ก็น่าจะกลับมาแล้ว ไฉนเลยยังจะต้องรอถึงตอนเจ้าคลอด? อีกอย่างหลายวันมานี้เฉินฟู่ก็ให้คนนำจดหมายมาส่งมิใช่หรือ?”  

 

 

ความจริงแล้วจดหมายฉบับนั้นเป็นเรื่องตั้งแต่ตอนปีใหม่ ได้รับตอนเดือนหนึ่ง ตอนนั้นถาวซินหลันดีใจมาก จึงรีบส่งจดหมายกลับไป แต่มาถึงตอนนี้เฉินฟู่ก็ไม่ได้ส่งจะหมายกลับมาอีก 

 

 

ถาวซินหลันลูบท้องอย่างเป็นกังวลพลางถอนหายใจ “เขากลับมาเร็วหน่อยก็คงดี” 

 

 

ถาวจวินหลันยิ้มปลอบนาง “ใกล้แล้ว เจ้าเพียงแค่รักษาครรภ์ให้ดี เรื่องอื่นไม่ต้องไปสนใจ” 

 

 

พลางพูดคุยกันอีกครู่หนึ่ง ถาวซินหลันก็เสนอให้ออกไปเดินเล่นที่สวนดอกไม้ จากนั้นพอสลัดบ่าวออกไปแล้ว ถาวซินหลันก็ถอนหายใจ “สุขภาพของไทเฮาไม่ค่อยดีเท่าไรแล้ว หลายวันก่อนข้าเข้าวังหลวงไป สีหน้าและท่าทางของไทเฮาไม่ค่อยดี แม้จะบอกว่าตั้งใจทำเหมือนไม่เป็นอะไร แต่ข้าแอบถามจางหมัวหมัว จางหมัวหมัวได้แต่ส่ายหน้าเจ้าค่ะ” 

 

 

ถาวจวินหลันตะลึงไปเล็กน้อย จากนั้นก็ก้มหน้าลงไป ช่วงนี้นางไม่เข้าวังหลวงแล้ว ดังนั้นจึงไม่รู้สถานการณ์ภายในวังจริงๆ มีบางครั้งที่หยวนฉงหวากับอี๋เฟยจะส่งคนมาส่งข่าวบอกนาง มากไปกว่านั้นเรื่องที่พวกหยวนฉงหวาไม่รู้ ย่อมไม่อาจบอกนางได้ 

 

 

นางพอจะคาดเดาสุขภาพของไทเฮาได้บ้าง ดังนั้นในตอนนี้ถาวซินหลันพูดขึ้นมานางถึงไม่ได้ตกใจเท่าไรนัก แต่ก็ยังเศร้าอย่างบอกไม่ถูก ไทเฮารีบบีบบังคับให้ฮ่องเต้แต่งตั้งองค์รัชทายาท คิดดูแล้วก็คงเพราะว่าเหตุผลนี้ด้วยเช่นกัน 

 

 

“วันนั้นไทเฮาพูดอะไรแปลกๆ พระองค์พูดกับข้าว่า ‘พี่สาวของเจ้าเป็นคนไม่เลวเลยทีเดียว ก่อนหน้านี้ข้าเข้าใจนางผิดมาตลอด ต่อจากนี้ไปเจ้าจะต้องปฏิบัติกับนางให้ดี อย่าให้พี่น้องเหินห่างกันเกินไป’ เจ้าค่ะ” ถาวซินหลันขมวดคิ้วพูดคำของไทเฮาซ้ำอีกครั้ง รู้สึกเคว้งคว้าง “ทำไมไทเฮาถึงเปลี่ยนความคิดเร็วนักเล่า? ท่านพี่ทำอะไรหรือเจ้าคะ? แต่ดูจากท่าทีของไทเฮาแล้ว บางทีไทเฮาอาจจะค่อยๆ เริ่มชอบท่านพี่แล้ว นี่ถือเป็นเรื่องดีนะเจ้าคะ” 

 

 

พูดถึงประโยคสุดท้าย น้ำเสียงของถาวซินหลันนั้นก็แฝงไว้ด้วยความยินดี 

 

 

ถาวจวินหลันยิ้ม ในใจนั้นย่อมยินดี แต่ก็ไม่ได้ไร้เดียงสาจนคิดว่าไทเฮาเปลี่ยนทัศนคติที่มีต่อนางไปเลย ดังนั้นสุดท้ายแล้วนางเพียงแค่ยิ้มเรียบๆ พูดว่า “เช่นนั้นก็ดีแล้ว” 

 

 

“ข้าบังเอิญพบอี๋เฟยตอนออกจากวังหลวงเจ้าค่ะ” ถาวซินหลันพูดอีกเรื่องหนึ่งขึ้นมา “นางฝากมาบอกท่านพี่ประโยคหนึ่ง ว่าเรื่องการคัดเลือกสาวงามยังไม่ได้ยกเลิก ฮ่องเต้ให้คนไปแอบตามหาคนบำเพ็ญเพียรในหมู่ราษฎร ไม่ได้ล้มเลิกเรื่องยาอายุวัฒนะเจ้าค่ะ” 

 

 

สุดท้ายแล้วถาวซินหลันก็พูดเสียงเบาว่า “ท่านพี่ ท่านว่าฮ่องเต้จะ…เพียงเพราะยาอายุวัฒนะหรือไม่เจ้าคะ?” ตายเร็ว 

 

 

ถาวซินหลันละคำพูดเอาไว้ แต่ถาวจวินหลันก็เข้าใจความหมาย นางไม่ได้พูดเรื่องนี้อีก เพียงแค่บอกถาวซินหลันว่า “ห้ามเจ้าพูดเรื่องนี้อีก เรื่องของฮ่องเต้ ไม่ใช่เรื่องมาพูดกันสนุกปาก” 

 

 

ถาวซินหลันสัมผัสได้ถึงความเคร่งเครียดในน้ำเสียงของถาวจวินหลัน ก็รีบรับคำอย่างจริงจัง สุดท้ายแล้วก็พูดว่า “อี๋เฟยยังบอกอีกว่า ช่วงนี้จวงผินได้รับความโปรดปรานเป็นอย่างมาก ส่วนใหญ่แล้วนางก็จะอยู่ข้างกายฮ่องเต้ตลอด แล้วนางยังบอกให้ท่านพี่ระวังตัวด้วยเจ้าค่ะ” 

 

 

หยุดไปครู่หนึ่ง ถาวซินหลันก็ขมวดคิ้วถามถาวจวินหลัน “ท่านพี่ คำพูดของนางหมายความว่าเช่นไรเจ้าคะ? ทำไมจวงผินได้รับความโปรดปรานแล้วท่านต้องระวังตัวด้วยเล่า” 

 

 

ถาวจวินหลันเห็นความเป็นกังวลและใส่ใจบนใบหน้าของถาวซินหลัน ก็ไม่อาจพูดได้ว่าไม่ต้องให้ถาวซินหลันกังวลเรื่องนี้ พูดตามใจคิดว่า “นางให้เจ้ามาส่งข่าว ทำไมถึงเพิ่งมาบอกข้าตอนนี้เล่า?”  

 

 

ถาวซินหลันได้ยินเช่นนั้นก็ถอนหายใจเบาๆ “ก็เพราะว่าถูกเรื่องในบ้านขัดขวางจนล่าช้าเจ้าค่ะ หลายวันมานี้พี่สะใภ้ใหญ่ของข้าก่อเรื่องไม่เว้นแต่ละวัน คิดจะแยกครอบครัวออกไปให้ได้ ข้าคิดดูแล้วก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร จึงไม่ได้รีบมาแจ้งให้ท่านทราบ เลยล่าช้าไปสองวันเจ้าค่ะ” 

 

 

เรื่องเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องสำคัญเร่งด่วนอะไรจริง เป็นแค่เพียงคำเตือนเท่านั้น จะล่าช้าไปเสียหน่อยก็ไม่เป็นอะไร ถาวจวินหลันกลับเป็นห่วงเรื่องของถาวซินหลันมากกว่า “นางสร้างเรื่องอีกแล้วหรือ? เฉินฮูหยินว่าอย่างไร?” 

 

 

“ตอนนี้เฉินฟู่ไม่อยู่ จะแยกบ้านไปได้อย่างไรเจ้าคะ? สุดท้ายแล้วพี่ใหญ่ทราบเรื่องนี้ ทั้งสองคนก็เกือบจะทะเลาะกันเลยเจ้าค่ะ” ถาวซินหลันหัวเราะขบขันพลางพูดว่า “ข้ากลับได้ดูละครสนุกๆ ถ้าไม่ใช่เพราะนางเป็นมารดาและเลี้ยงลูกของพี่ใหญ่ เกรงว่าพี่ใหญ่คงจะเขียนหนังสือหย่านานแล้วเจ้าค่ะ” 

 

 

พอเห็นถาวซินหลันมีท่าทีมีความสุขบนความโชคร้ายของคนอื่น ถาวจวินหลันก็หยุดหัวเราะในทันใด จากนั้นก็คิดถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ ถามถาวซินหลันด้วยความสงสัย “เจ้าเข้าไปยุ่งเรื่องนี้หรือ?” 

 

 

ถาวจวินหลันพูดอ้อมๆ แอ้มๆ “ไม่ได้เข้าไปยุ่งอะไรเจ้าค่ะ แต่ไม่พอใจเลยลงมือทำอะไรเล็กๆ น้อยๆ” 

 

 

ฉับพลันนั้น ถาวจวินหลันก็ไม่รู้จะพูดอย่างไร เพียงแค่ส่ายหน้า ถอนหายใจ “เจ้านี่เหลือเกินจริงๆ” 

 

 

ถาวซินหลันรีบอธิบาย “วางใจเถิดท่านพี่ ข้ารู้จักผ่อนหนักผ่อนเบา ไม่มีใครรู้ว่าเป็นฝีมือของข้าหรอกเจ้าค่ะ” 

 

 

“แล้วทำไมเจ้าจะต้องคิดเล็กคิดน้อยกับนางด้วยเล่า?” ถาวจวินหลันสั่งสอนถาวซินหลันอย่างไม่ค่อยเห็นด้วย “เรื่องเช่นนี้ให้นางไปทรมานเอาเองเถิด เฉินฮูหยินไม่มีทางปล่อยให้พวกเจ้าเสียเปรียบเป็นแน่ แต่เพราะการกระทำเล็กๆ น้อยๆ ของเจ้า หากเฉินฮูหยินรู้เข้าก็จะไม่ดี แม้ว่านางจะเอ็นดูเจ้า แต่ใต้หล้านี้มีแม่สามีคนไหนอยากเห็นลูกกสะใภ้ของตนเองเป็นเช่นนี้เล่า?” 

 

 

ถาวซินหลันกลัวว่านางจะตำหนิอีก จึงรีบพยักหน้ารับผิดเหมือนลูกเจี๊ยบจิกอาหาร “เจ้าค่ะๆๆ ต่อจากนี้ไปข้าไม่กล้าแล้วเจ้าค่ะ” หยุดไปครู่หนึ่ง ก็ลอบมองสีหน้าก่อนบ่นกระปอดกระแปด “ข้าจะทำให้คนอื่นจับได้อย่างไรเจ้าคะ? ข้าอยู่ในวังหลวงมานานหลายปี ข้าจะไม่มีแม้แต่ฝีมือทำเรื่องเหล่านี้เชียวหรือ?” 

 

 

ถาวจวินหลันได้ยินประโยคสุดท้าย แต่ทำเป็นไม่ได้ยิน ถาวซินหลันเป็นคนเจ้าแผนการ พูดมากไปก็เปลืองน้ำลาย นางเองเชื่อว่าถาวซินหลันรู้จักหนักเบา ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องพูดอะไรมากนัก ในทางกลับกัน ตัวนางเองต่างหากที่ถูกคำพูดของถาวซินหลันแทงใจดำ 

 

 

หลายปีมานี้ ถาวซินหลันอยู่ในวังหลวงต้องพบกับความยากลำบากมากมาย 

 

 

ทั้งสองคนค่อยๆ เดินวนรอบสวนดอกไม้ แม้ว่ายังเป็นต้นฤดูใบไม้ผลิ แต่นอกจากดอกมะลิวสันตฤดูแล้ว ก็ยังมีดอกไม้อีกไม่น้อยที่เริ่มผลิดอก เช่นดอกเฟื่องฟ้า ดอกอวี้หลันที่เริ่มเบ่งบาน แม้แต่ดอกไม้ชนิดอื่นก็เริ่มแตกกิ่งก้านเป็นดอกตูมเต็มไปหมด 

 

 

ถาวจิวหนันยิ้มพลางเด็กดอกอวี้หลันกลับไปบางส่วน ให้คนนำไปห้องครัวเอาไปทอดกิน 

 

 

ถาวซินหลันยิ้มแย้มพลางพูดทอดถอนใจ “ท่านพี่ก็ยังชอบดอกไม้เหล่านี้นะเจ้าคะ” 

 

 

“ก็แค่ว่างไม่มีอะไรทำเท่านั้นเอง” ถาวจวินหลันหัวเราะพลางพูดว่า “เจ้าทานอาหารที่นี่สิ จะได้โอกาสชิมเสียเลย” 

 

 

ถาวซินหลันยิ้มแย้มอยู่ก็ตีหน้าขรึมทันที มองถาวจวินหลันด้วยความจริงจังและพูดว่า “ท่านพี่ควรจะคิดเรื่องภายในวังหลวงให้มากเสียหน่อยนะเจ้าคะ วังหลวงนั้นมีบางวิธีการแม้ว่าจะไม่รู้ แต่ก็ควรจะต้องป้องกันเอาไว้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไร ท่านพี่ก็อย่าปิดบังข้า ต้องมาปรึกษากับข้าทุกเรื่องนะเจ้าคะ ตอนนี้ข้าไม่ใช่เด็กน้อยที่ไม่รู้ประสีประสาอีกแล้ว ข้าเองก็ช่วยท่านได้ ปกป้องท่านได้เช่นกัน” 

 

 

ถาวจวินหลันได้ยินเช่นนั้นก็นิ่งอึ้งไป ในใจนั้นรู้สึกตั้งตัวไม่ถูกเล็กน้อย เมื่อไรกันที่ถาวซินหลันไม่ใช่หญิงสาวตัวน้อยไร้เดียงสาอีกแล้ว? นางเปลี่ยนแปลงไปขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไรกันแน่? นางไม่รู้เรื่องเลยแม้แต่น้อย 

 

 

นางเข้าใจว่าถาวซินหลันก็ไม่ได้พูดเย้าหยอก 

 

 

นอกจากซาบซึ้งใจแล้ว นางก็ยังรู้สึกผิดและหงุดหงิด นางในตอนนี้ยังต้องให้ถาวซินหลันมาเป็นห่วงอีกหรือ? 

 

 

“วางใจเถิด ข้าย่อมไม่มีทางแม้แต่เรื่องเท่านี้ก็ยังจัดการได้ไม่ดีเป็นแน่ รอจนตอนที่ต้องการความช่วยเหลือจากเจ้า ข้าจะเกรงใจได้อย่างไร? เจ้าเป็นน้องสาวของข้า ข้าไม่พึ่งเจ้า แล้วข้าจะไปหาใครอีก?” ถาวจวินหลันหัวเราะพลางตอบออกมาเช่นนี้ จากนั้นก็พูดจริงจังว่า “เจ้ามีเรื่องอะไรก็ไม่ต้องปิดบังข้า ขอแค่พูดออกมาก็พอแล้ว” 

 

 

ถาวซินหลันยิ้มหวาน ในดวงตาเป็นประกายใสบริสุทธิ์ “แน่นอนเจ้าค่ะ”