ส่วนที่ 6 ข้ารักครอบครัวข้า ตอนที่ 10 ข้าคือหม่าโจวผู้วาสนาดี

เจาะเวลาสู่ต้าถัง

หลังจากที่หยางเฟยและอินเฟยได้ส่งโอรสมาเรียนที่สำนักศึกษาด้วยตนเองแล้ว เรื่องเล่าเกี่ยวกับสำนักศึกษาแห่งเขาอวี้ซันก็ได้แพร่สะพัดไปทั่วทั้งมหานครอย่างเมืองฉางอันที่มีประชากรแปดแสนคน บรรดาองค์ชายจึงเริ่มทยอยกันมาสมัครเรียนที่สำนักศึกษา ยังจะมีสถานที่ไหนดีกว่าสำนักศึกษาอวี้ซันกันอีก

 

 

สำนักศึกษาได้ทำการคัดเลือกเชื้อพระวงศ์จำนวนหนึ่งและลูกหลานของขุนนางที่สร้างความดีความชอบ และคัดแยกเหล่าเศรษฐีเก่าแก่ในเมืองเอาไว้อีกส่วน ลูกหลานชนชั้นสูงในเมืองกวนหล่งได้เสพสุขทุกอย่างของประเทศนี้แล้ว ตอนนี้แม้กระทั่งพื้นฐานทางสังคมของบุตรธิดาก็สูงกว่าบุตรของพวกเขาเองเสียอีก จะปล่อยให้เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร แล้วพวกเราจะต้องเป็นชนชั้นล่างชั่วลูกชั่วหลานเช่นนั้นหรือ

 

 

กั๋วจื่อเจี้ยนได้เปิดโอกาสให้บุตรหลานของขุนนางต่ำกว่าขั้นที่ห้าลงไป หอหงเหวินก็เลิกวางท่าทีอวดดีดั่งผู้สูงศักดิ์ เริ่มมองหาบุคลากรชั้นดีในหมู่ลูกหลานของขุนนางระดับต่ำ เตรียมที่จะมุ่งเน้นการฝึกอบรมเพื่อแข่งขันกับสำนักศึกษาดูว่าใครจะเหนือกว่าใคร

 

 

แข่งกันสรรหาบุคลากรหรือ ในยุคปัจจุบันนั้นอวิ๋นเยี่ยมีความเชี่ยวชาญกับวิธีการนี้เป็นอย่างมากเมื่อเขาต้องมองหาโรงเรียนสำหรับลูกชายของเขา อวี๋ซื่อหนาน หลิวเจิ้งฮุ่ย ไม่ว่าจะมีความรู้เก่งกล้าสามารถเพียงไร สติปัญญาล้ำลึกอย่างน่าอัศจรรย์ ก็ไม่มีทางที่จะเข้าใจหลักการกาลักน้ำได้ แม้จะนับรวมขงอิ่งต๋า ซ่งเหลียน เซียวอวี่ อาจารย์เหล่านี้ได้เอื้อผลประโยชน์ให้ กั๋วจื่อเจี้ยนและหอหงเหวินจะต้องได้เจ็บแค้นใจกับความพ่ายแพ้อย่างหมดรูปในการแข่งขันแย่งนักเรียนในครั้งนี้

 

 

ไม่มีสิ่งใดอื่น สำนักศึกษาอวี้ซันก็เพียงแค่ติดประกาศสั้นๆ นักเรียนที่มีความสามารถเพียงแค่แนะนำตัวเองก็สามารถเข้าร่วมการสอบของสำนักศึกษาได้แล้ว หลังจากผ่านการสอบแล้วก็สามารถเข้าเรียนในสำนักศึกษาได้ซึ่งไม่แตกต่างจากนักเรียนของสำนักศึกษาอื่นเลย นักเรียนที่ครอบครัวมีฐานะยากจนก็สามารถเข้าเรียนโดยไม่มีค่าใช้จ่ายได้ด้วย นอกจากนี้ทางสำนักศึกษายังมีทุนการศึกษาให้ยื่นขอได้อีก ทั้งยังสามารถทำงานระหว่างศึกษาได้ด้วยขอเพียงแค่ผลการเรียนดีพอ

 

 

ศักดิ์ศรีแห่งการเป็นนักเรียน ไม่มีใครคิดว่าตนเองด้อยกว่าคนอื่น ต่างก็มีหนึ่งศีรษะอยู่บนหัวไหล่ด้วยกันทุกคน เจ้าจะฉลาดกว่าข้าเช่นนั้นหรือ น่าขัน ต้องผ่านการสอบเสียก่อนจึงจะรู้กันอย่างชัดเจน เขาอวี้ซันในเดือนห้าเต็มไปด้วยผู้คนมากมาย บ้านของเกษตรกรที่อยู่เชิงเขานั้นเต็มไปด้วยนักเรียนที่เดินทางเข้ามาเพื่อเข้าสอบ รวมไปถึงอีกหลายๆ คนที่รีบเร่งเดินทางมาจากแดนไกลเพื่อเข้าร่วมการสอบ

 

 

การจัดสอบครั้งใหญ่ของเขาอวี้ซันได้ทำให้พระราชตำหนักแห่งการคัดสรรบุคลากรของราชสำนักที่จัดปีละหนึ่งครั้งซึ่งถูกจัดขึ้นในเวลาเดียวกันต้องมืดมนหม่นหมอง นักเรียนผู้ยากไร้ที่ไม่สามารถส่งสำนวนข้อสอบต่อขุนนางได้จึงได้แต่ฝากความหวังไว้กับสำนักศึกษาอวี้ซัน บรรดาท่านอ๋องต้องการขุนนางใต้บังคับบัญชา เหล่ากองทัพต้องการเลขาธิการทางการทหาร กรมโยธาต้องการผู้ที่มีความสามารถเฉพาะด้าน อย่างเลวร้ายที่สุดเหล่าตระกูลใหญ่ก็ต้องการผู้ที่อยู่ใต้อาณัตตนเอง ยามออกมาเดินบนท้องถนนยังดูน่าเกรงขามมากกว่าราชเรขาคลังหลวงซึ่งเป็นขุนนางขั้นแปดของทางการเสียอีก

 

 

ฮ่องเต้เพิกเฉยต่อเรื่องดังกล่าว มีแต่เว่ยเจิงที่กระตือรือร้นในการถวายคำทัดทานถึงผลกระทบร้ายแรงที่จะตามมาเกี่ยวกับการที่สำนักศึกษาแย่งบุคลากรชั้นยอดกับทางราชสำนักขณะอยู่ให้ห้องประชุมราชกิจ หลี่ซื่อหมินยังหลี่ตาและฟังด้วยรอยยิ้ม ขุนนางในราชสสำนักเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทุกวัน แต่คนที่สามารถใช้งานได้จริงนั้นกลับมีเพียงไม่กี่คน เขาได้ทำการทดสอบเพื่อพิสูจน์ความสามารถที่แท้จริงของผู้ที่เรียกว่ายอดบุคลากรที่กำลังจะไปรับตำแหน่งนายอำเภอตามท้องที่ต่างๆ ด้วยตนเองแล้ว ผลลัพธ์ที่ได้ทำให้เขาโกรธจนควบคุมอารมณ์ตนเองไม่ได้ เขียนอธิบายนับร้อยนับหมื่นคำแต่เมื่อต้องปฏิบัติจริงกลับไม่มีนโยบายใดๆ เลย เมื่อประสบปัญหาภัยแล้งกลับไม่รู้ว่าจะรับมือได้อย่างไร เมื่อพบปัญหาชาวบ้านก่อจลาจลก็ไม่รู้ว่าจะปลอบขวัญอย่างไร รู้จักแต่เพียงร้องขอความช่วยเหลือ ไม่รู้จักการจัดการความเป็นอยู่ของชาวบ้านแม้แต่น้อย มีเหลือก็แค่เพียงใจที่จงรักภักดีต่อประเทศเท่านั้น

 

 

เมื่อโจรมาถึงอย่างมากที่สุดข้าก็ยอมสละชีพ ขุนนางและชาวบ้านทุกครอบครัวต้องเอาตัวรอดกันเอง เพียงแค่นี้ก็สามารถทำให้แผ่นดินเป็นสุขได้ ขุนนางประเภทนี้ทำให้หลี่ซื่อหมินทั้งรู้สึกชอบและรู้สึกกังวล ขุนนางเช่นนี้จะไม่สามารถนำมาซึ่งความเจริญให้กับท้องถิ่น ขณะเดียวกันก็ไม่มีเภทภัยใดๆ ด้วยเช่นกัน อาณาจักรแปดร้อยปีที่ปกครองอยู่ก็จะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง

 

 

ในทางตรงกันข้ามนักเรียนระดับสูงของสำนักศึกษาที่อายุไม่มากนักต้องเข้าร่วมการฝึกปฏิบัติงานจริงในประเภทต่างๆ บ้างก็เป็นการดูแลจัดการเตาเผาหิน บ้างก็เป็นการจัดการดูแลกลุ่มช่างฝีมือ บ้างก็มีส่วนร่วมในการสร้างสะพาน บ้างก็เข้าร่วมในการแจกจ่ายเสบียงอาหารของกองทัพและไปช่วยเหลือท้องที่ที่ประสบภัยแล้ง หรือช่วยระบายน้ำในพื้นที่น้ำท่วม นอกจากนี้ยังมีบางส่วนที่ดูแลตลาดขนาดเล็กในหมู่บ้านตระกูลอวิ๋น สำหรับสถานที่ก่อสร้างพระราชวังนั้นยิ่งมีชายหนุ่มจำนวนมากมายที่เข้ามาร่วมทำงาน

 

 

นักเรียนที่เข้าร่วมในการก่อสร้างตรอกซิ่งฮั่วฟางได้ทำให้เรื่องน่าสงสัยที่เหล่าขุนนางฉางอันเอาแต่อยู่ในตำแหน่งแต่ไม่ทำงานถูกเปิดเผยออกมา พวกก่อกบฏหลายสิบคนที่ลอบวางเพลิงได้ทำให้มหานครที่ยิ่งใหญ่ซึ่งมีประชากรแปดแสนกว่าคนเกิดความอลหม่านไปทั้งเมือง ผลลัพธ์ที่ร้ายแรงเช่นนี้ ปกติแล้วเหล่าขุนนางทำอะไรกันอยู่

 

 

ในการประชุมเช้านั้นเว่ยเจิงได้พูดจนรู้สึกเหนื่อยมาก จึงได้เปลี่ยนให้ขงอิ่งต๋ามาจุดชนวนต่อ แต่ในสมองของหลี่ซื่อหมินกำลังหวนนึกถึงความสนุกเรื่องที่อวิ๋นเยี่ยได้เชิญเขารับตำแหน่งเป็นคณบดีของสำนักศึกษาอวี้ซัน  ในตอนนั้นเขาคิดว่ามันไร้สาระมาก ภาระหน้าที่ของฮ่องเต้นั้นก็คือการปกครองไพร่ฟ้า ไม่ใช่ไปดำรงตำแหน่งหน้าที่ขุนนางอย่างจริงจัง มิฉะนั้นจะมีขุนนางเอาไว้ทำไมกัน

 

 

ตอนนี้มาหวนคิดดู ตนเองจำเป็นต้องดำรงตำแหน่งคณบดีจริงๆ เสียแล้ว ขอเพียงเป็นคณบดี นักเรียนในสำนักศึกษาก็เป็นนักเรียนของตนเองทั้งหมด ในบรรดาอาจารย์ในใต้หล้านี้ ตนเองสามารถได้ดำรงตำแหน่งทั้งสองสถานะถือเป็นวิธีการซื้อใจคนที่ดีที่สุด

 

 

หลี่ซื่อหมินจู่ๆ ก็หัวเราะขึ้นมา ไม่แปลกใจที่อวิ๋นเยี่ยไม่เห็นด้วยที่ในตอนนั้นเมื่อตนเองจะให้รัชทายาทเป็นคณบดีโดยยอมที่จะให้ตำแหน่งนั้นว่างเป็นเวลาสองปี แต่ก็ไม่ยอมที่จะให้เฉิงเฉียนเข้าไปข้องเกี่ยวกับสำนักศึกษา ใครจะรู้ว่าการนึกสนุกเพียงชั่ววูบของตนเองเมื่อสองปีก่อน กลับทำให้เกิดผู้ที่แข็งนอกอ่อนในออกมาได้ หลี่เฉิงเฉียนเอ๋ยหลี่เฉิงเฉียน เจ้าช่างโชคดีกว่าผู้ใดในอดีต สหายของเจ้ามีความเป็นห่วงเป็นใยเจ้าได้ถึงขั้นนี้ หากภายหน้าเจ้าเป็นฮ่องเต้ที่ดีไม่ได้เช่นนั้นคงผิดต่อทุกคนแล้วจริงๆ

 

 

เมื่อคิดถึงอวิ๋นเยี่ยสีหน้าของหลี่ซื่อหมินก็ดูแปลกไปเล็กน้อย กำหมัดแน่นจนส่งเสียงกร็อบๆ “เจ้าหนุ่ม ราชวงศ์ข้าถูกเอาเปรียบกันได้ง่ายดายเพียงนี้เชียวหรือ การก่อเรื่องอนาจารในราชสำนักมีโทษหนักถึงประหาร หากมีเวลาเราต้องค่อยๆ คุยกับเจ้าเสียหน่อยแล้ว”

 

 

เริ่มมีการถกเถียงกันในการประชุมเช้าจึงทำให้หลี่ซื่อหมินเรียกสติกลับคืนมาได้ชั่วคราว เห็นเพียงเว่ยฉือกงกำหมัดแน่นด้วยท่าทีอันแข็งกร้าวดุดันคว้าขงอิ่งต๋าที่ร่างผอมบางเอาไว้ราวกับเตรียมจะใช้กำลัง

 

 

“หยุดนะจิ่งเต๋อ จะใช้กำลังในท้องพระโรงเพราะเหตุใดกัน”

 

 

“ฝ่าบาท ตาเฒ่าแซ่ข่งคนนี้เป็นคนที่น่ารังเกียจจริงๆ หากพูดเรื่องอื่นก็ไม่เป็นไร กระหม่อมไม่เคยถือสาหาความเขาเลย แต่ในเมื่อบุตรชายกระหม่อมสามารถสร้างสะพานซั่งจินเฉียวด้วยก้อนหินเพียงไม่กี่ก้อนโดยไม่ใช้คานรับ กลับเป็นการกระทำที่เห็นชีวิตผู้คนเป็นผักปลา กระหม่อมกำลังจะคุยกับเขาให้รู้เรื่องให้จงได้”

 

 

ตระกูลอวี้ฉือนั้นหาได้ยากนักที่จะมีทายาทสักคนที่อ่านออกเขียนได้ ตอนนี้เขาสามารถนำคนหลายสิบคนไปสร้างสะพานที่ยาวสามสิบกว่าเมตรได้ เมื่อสะพานสร้างเสร็จแล้วกลับมีบางคนนั่งบ่นกระปอดกระแปด แน่นอนย่อมต้องโกรธเป็นธรรมดา

 

 

“ใครเป็นผู้สร้างสะพาน” หลี่ซื่อหมินนึกว่าตนเองได้ยินผิดไป สะพานที่อวี้ฉือเป่าหลินสร้างคนสามารถเดินข้ามไปได้ไหม ไม่แปลกใจที่ขงอิ่งต๋าจะพูดว่าตระกูลอวี้ฉือเห็นชีวิตผู้คนเป็นผักปลา เมื่อใดกันที่คนโง่ไม่รู้ความเริ่มสร้างสะพานเป็น

 

 

“เจ้าลูกไม่เอาไหน อวี้ฉือเป่าหลินได้นำช่างฝีมือเจ็ดสิบสามคนมาสร้างสะพานเสร็จภายในเวลายี่สิบหกวันกับอีกสี่ชั่วยาม” เว่ยฉือกงอ้าปากพูดด้วยความภาคภูมิใจเป็นพิเศษ

 

 

 “ฝ่าบาท สะพานซั่งจินเฉียวนั้นเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญในการเข้าออกประตูจินกวงเหมิน อวี้ฉือเป่าหลินไม่ใช้เสาคานหรือขอนไม้ ใช้เพียงแค่หินก้อนใหญ่ไม่กี่ร้อยก้อนก่อสร้างขึ้นมาได้ ถึงแม้ว่าการแกะสลักหินด้านบนนั้นงดงามแต่กลับไม่สามารถใช้งานได้ หากถล่มลงมาจะต้องมีคนเสียชีวิต เหตุใดกระหม่อมจึงจะกล่าวว่าเขาเห็นชีวิตผู้คนเป็นผักปลาไม่ได้กัน”

 

 

หลี่ซื่อหมินมองดูอวี้ฉือกงด้วยความเป็นห่วง แล้วมองดูหลี่ต้าเลี่ยงเจ้ากรมโยธา เพื่อดูว่าเขาทั้งสองจะอธิบายอย่างไร

 

 

หลี่ต้าเลี่ยงลุกขึ้นยืนและพูดต่อฮ่องเต้ว่า “กราบทูลฝ่าบาท กรมโยธาได้ทำการตรวจสอบสะพานซั่งจินเฉียวแล้ว สะพานนั้นสร้างได้อย่างโอ่อ่าสวยงามและมั่นคงแข็งแรงใช้ได้จริง ไม่เป็นปัญหา”

 

 

อวี้ฉือกงรีบกล่าวสำทับว่า “กระหม่อมเองก็ยังเป็นห่วงว่าเจ้าลูกไม่เอาไหนของกระหม่อมจะสร้างสะพานที่ไม่มั่นคงใช้การไม่ได้ ดังนั้นในวันที่ลูกไม่เอาไหนคนนี้สร้างสะพานเสร็จสมบูรณ์ กระหม่อมเป็นคนแรกที่ขึ้นสะพานซึ่งมันมั่นคงมาก จากนั้นให้ทหารห้าสิบนายสวมเกราะหนักควบม้าข้ามสะพาน สะพานไม่มีเศษฝุ่นร่วงหล่นลงมาแม้แต่น้อย จากนั้นให้เคลื่อนรถมาเรียงกันจากหัวสะพานไปจนถึงปลายสะพาน สะพานนั้นก็ยังคงสภาพดีอยู่ กระหม่อมขอใช้ศีรษะรับประกันว่าสะพานนั้นไม่มีปัญหา”

 

 

แต่ไหนแต่ไรมาอวี้ฉือกงไม่เคยพูดโกหกตน หลี่ซื่อหมินนั้นเข้าใจดี ดังนั้นเขาจึงเชื่อในคำพูดของอวี้ฉือกงไปแล้วแปดส่วน ขณะที่กำลังจะเอ่ยปากกลับเห็นว่าจั่งซุนอู๋จี้ก้าวออกมากล่าวว่า “ฝ่าบาททรงลืมสะพานจ้าวโจวเฉียวแล้วกระนั้นหรือ สะพานนั้นก็ไม่มีคานเช่นกันและสร้างด้วยการก่อหิน ซึ่งก็ยังคงอยู่ในสภาพดีมาจนถึงทุกวันนี้”

 

 

“สะพานนั้นถูกสร้างขึ้นโดยหลี่ชุนช่างฝีมือชื่อดังในสมัยราชวงศ์สุย อวี้ฉือเป่าหลินมีความสามารถอันใดจะไปเปรียบเทียบกับเขาได้” ขงอิ่งต๋ายังคงไม่ยอมเลิกรา

 

 

“เจ้าลูกไม่เอาไหนบอกว่าภาพแบบแปลนนั้นมาจากตระกูลด้านการก่อสร้าง ตระกูลกงซู เพียงแค่คนใดคนหนึ่งในตระกูลเขาออกมา ก็เก่งพอที่จะเปรียบเทียบได้กับหลี่ชุน”

 

 

อวี๋ซื่อหนานที่อยู่ด้านล่างโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ตกลงกันไว้อย่างชัดเจนแล้วว่าในวันนี้จะโจมตีสำนักศึกษาอวี้ซัน ใครจะรู้ว่าจะถูกขงอิ่งต๋าผู้ที่ทั้งงี่เง่าทั้งแข็งกระด้างชักนำจนผิดประเด็น ฮ่องเต้ก็รู้อยู่เต็มอกแต่ก็ไม่พูดถึงเรื่องนี้อีก กลับเอาแต่ไล่สอบถามเรื่องน่าสนใจของการสร้างสะพาน แผนการของวันนี้ก็ล้มเหลวอีกครั้ง

 

 

อวิ๋นเยี่ยยืนอยู่ที่เชิงเขาเพื่อทักทายต้อนรับนักเรียนที่มาสอบด้วยรอยยิ้มที่ไม่ได้หายไปเลย มองดูนักเรียนสูงวัย นักศึกษาและนักเรียนระดับประถมศึกษาที่เข้ามาไม่ขาดสายก็แทบจะอยากแหงนหน้าหัวเราะดังๆ เสียให้ได้ เดิมทีผู้ที่ศึกษาเล่าเรียนในต้าถังนั้นมีน้อย ตอนนี้ทุกคนในเมืองฉางอันที่คิดว่าตนเองพอจะมีดีอยู่บ้างต่างก็มาที่นี่กันหมด แม้ไม่คิดขยายสำนักศึกษาก็คงไม่ได้แล้ว สวี่จิ้งจงที่นั่งจดบันทึกด้วยตนเองอยู่ที่โต๊ะก็ยิ้มอย่างมีเลศนัยไม่ขาดตอน เพียงแค่เห็นหอหงเหวินก่วนที่ทอดทิ้งเขาอย่างไม่แยแสต้องโชคร้ายก็สามารถทำให้เขารู้สึกตื่นเต้นจนนอนไม่หลับตลอดทั้งคืนได้แล้ว

 

 

“นักเรียนหม่าโจวคารวะอวิ๋นโหว” เสียงของชายร่างผอมดำพูดขึ้นอย่างก้องกังวาน แม้พบอวิ๋นเยี่ยก็ไม่เกิดความรู้สึกกดดันใดๆ แม้แต่น้อย แม้ว่าเขาจะสวมเสื้อผ้ากระสอบ สวมรองเท้าฟาง แต่ก็ยังยืนกรานที่จะคารวะอวิ๋นเยี่ยตามมารยาทของนักเรียน

 

 

 “ดูเจ้าสวมเสื้อผ้าขาดๆ เก่าๆ แต่กลับไม่สามารถเปลี่ยนความคิดในการใฝ่เรียนรู้ได้ ช่างมีปณิธานอันมุ่งมั่น แม้ว่านักเรียนของสำนักศึกษาล้วนแล้วแต่เป็นผู้ที่มาจากตระกูลดีมีฐานะ แต่ทว่าเมื่อผ่านประตูของสำนักศึกษาเข้าไปแล้วจะมีเพียงสถานะเดียวเท่านั้นนั่นก็คือนักเรียน เจ้าไม่ต้องกังวลใจใดๆ ทั้งสิ้น สำนักศึกษาอวี้ซันจะดูเฉพาะความสามารถของคนโดยไม่คำนึงถึงภูมิหลัง แสดงความสามารถทั้งหมดของเจ้าออกมา ให้ลูกหลานของตระกูลดีมีฐานะได้ประจักษ์เสียบ้าง”

 

 

หม่าโจวยังไม่ได้พูดอะไร สวี่จิ้งจงที่อยู่ข้างๆ ก็พูดขึ้นก่อนว่า อวิ๋นเยี่ยนั้นแปลกประหลาดมากกับนักเรียนคนอื่นเพียงพยักหน้าบอกว่าดีและจะไม่พูดอะไรมากมายนัก เหตุใดเมื่อชาวนาคนนี้มาถึงที่นี่อวิ๋นเยี่ยจึงได้พูดน้ำไหลไฟดับ จะต้องมีอะไรผิดปกติแน่ๆ

 

 

” Jingzong ได้ยินคำพูดและจ้องเหมือนระฆังทองสัมฤทธิ์

 

 

“นักเรียนหม่าโจว ดูแล้วเจ้ามีลักษณะภูมิฐานและมุ่งมั่น ภายหน้าเจ้าจะต้องประสบความสำเร็จเป็นแน่ เอาเถอะ สำนักศึกษาก็จะช่วยจนถึงที่สุด ดูเจ้าสวมเสื้อผ้าขาดๆ โทรมๆ ไม่มีของอะไรติดตัว ดูท่าทางแล้วคงเตรียมจะนอนค้างแรมริมทาง บนเขาอวี้ซันตกดึกนั้นจะหนาวเย็น ข้าจะเขียนจดหมายหนึ่งฉบับ เจ้านำไปมอบให้ผู้ดูแลสำนักศึกษาให้เขาจัดให้เจ้าค้างแรมที่หอเก็บตำราของสำนักศึกษาในคืนนี้ สำหรับอาหารให้ไปหาทานเองจากห้องอาหาร มา มา รับบัตรอาหารของข้าไปรอจนเจ้าสอบติดแล้วค่อยคืนให้ข้าก็พอ”

 

 

หลังจากพูดจบก็เขียนอักษรหนึ่งแถวบนกระดาษอย่างรวดเร็วแล้วมอบให้หม่าโจว แล้วจึงยัดเยียดบัตรอาหารของตัวเองให้แก่เขาไปพร้อมๆ กัน และก็ไม่รีรอให้หม่าโจวที่ขอบตาแดงก่ำได้พูดอะไรเร่งรัดให้เขารีบขึ้นเขาเพื่อจะได้ไม่เลยเวลาทานอาหาร

 

 

หม่าโจวไม่ได้พูดอะไรแม้แต่คำเดียว ทำการคารวะอวิ๋นเยี่ยและสวี่จิ้งจงด้วยความนอบน้อมเป็นอย่างยิ่ง จากนั้นก็สาวเท้ายาวๆ เดินขึ้นเขาไปซึ่งฝีเท้ารวดเร็วขึ้นมาก

 

 

“เหลาสวี่ ภายหน้าห้ามเจ้าแย่งโอกาสในการสร้างบุญคุณต่อผู้อื่นกับข้าอีก” เมื่อเห็นหม่าโจวเดินเลี้ยวผ่านสันเขาไปแล้ว อวิ๋นเยี่ยจึงพูดกับสวี่จิ้งจง

 

 

สวี่จิ้งจงเกาคางและถามอวิ๋นเยี่ยว่า “โหวเหยีย ท่านมั่นใจได้อย่างไรว่าหม่าโจวหม่าปินหวังจะต้องเป็นผู้ที่มีความสามารถอย่างแน่นอน”

 

 

“ทุกคนที่กระทำตัวเปิดเผยจริงใจ จะต้องมีวาสนาดีเป็นอย่างยิ่งและผู้ที่วาสนาดีย่อมมีสัญลักษณ์แห่งความมงคลปรากฏอยู่ให้เห็น เมื่อครู่แม้ว่านักศึกษาผู้นี้จะแต่งกายซอมซ่อ แต่วาสนาแห่งความมั่งคั่งได้ปรากฏอยู่ในดวงตาคู่นี้ของข้าอย่างชัดเจน ภายหน้าเขาจะต้องเป็นเพื่อนร่วมงานของข้า ตอนนี้ให้เกียรติต่อกันเอาไว้ ภายหน้าจะได้คบค้ากันได้”

 

 

“โหวเหยียดีกับข้าน้อยมากขึ้น หรือว่าภายหน้าข้าเองก็จะมีวาสนาดีเช่นกัน”

 

 

“แน่นอนว่าเจ้าต้องมีวาสนาดี เพียงแต่สัญลักษณ์แห่งความมงคลเจ้าเป็นสีดำ ข้าจึงต้องเฝ้าดูเจ้าอย่างใกล้ชิด หากไม่ระวังเจ้าก็จะออกไปทำร้ายผู้อื่น พวกเราทั้งคู่ต่างก็ไม่ใช่คนมือสะอาด เช่นนั้นพวกเราก็ทนอยู่ด้วยกันเถอะ”

 

 

สวี่จิ้งจงได้ฟังคำพูดดังนี้แล้ว ดวงตาก็เบิกกว้างเท่าไข่ห่าน