ตอนที่ 127-1 สงครามกำลังมา

ลำนำสตรียอดเซียน

“เจ้าบอกว่าระดับการฝึกตนของเขาเสื่อมลงอย่างนั้นหรือ!”  

 

 

เมื่อได้ยินคำถามของหันชิงอวี้ โม่เทียนเกอพยักหน้า “ใช่ ข้าเห็นว่าความเสียหายที่เส้นลมปราณของเขานั้นรุนแรงเกินไป ดังนั้นระดับการฝึกตนของเขาจะต้องเสื่อมลงอย่างแน่นอน”  

 

 

หันชิงอวี้ครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนที่จะถอนหายใจอย่างหนัก “ครั้งนี้พวกเราลำบากแล้ว”  

 

 

โม่เทียนเกอมองนางด้วยความสับสน นางพูด “ศิษย์พี่หัน พวกเราไม่ได้คิดว่าผู้ฝึกตนตระกูลอวี๋จะอยู่ในลำดับของพวกเราตั้งแต่ต้นมิใช่หรือ ทำไมพวกเราจะต้องลำบากเพราะเขาด้วย”  

 

 

หันชิงอวี้พูด “ลองนึกดู เพราะผู้สืบทอดการสร้างฐานแห่งพลังอีกคนตาย หัวหน้าตระกูลอวี๋จึงตัดสินใจเข้าร่วมในสงครามนี้ ตอนนี้ในเมื่อระดับการฝึกตนของผู้ฝึกตนหนุ่มคนนี้เสื่อมลงไปที่ดินแดนหลอมรวมพลังวิญญาณ เขาจะไม่สิ้นหวังและตัดสินใจที่จะสู้กับเหล่าสัตว์ปีศาจจนตายเชียวหรือ”  

 

 

โม่เทียนเกอตะลึงจนพูดไม่ออก นั่น… เป็นสิ่งที่เป็นไปได้แน่นอน 

 

 

เมื่อเห็นว่าโม่เทียนเกอเข้าใจในสิ่งที่นางพูด หันชิงอวี้พูดต่อด้วยรอยยิ้มที่ขมขื่น “หากเป็นข้า บางทีข้าก็อาจจะทำเช่นเดียวกัน คนที่ไม่ได้มาจากตระกูลผู้ฝึกตนอาจจะไม่เข้าใจในเรื่องนี้ ตระกูลที่ไร้อนาคตจะสามารถยื้อความอ่อนแอที่เหลืออยู่ได้ไม่นานนัก ข้าเกรงว่า… ความคิดเช่นนี้น่าจะฝังลึกอยู่ในใจหัวหน้าตระกูลอวี๋เช่นกัน”  

 

 

โม่เทียนเกอคิดถึงเรื่องนี้แล้วพูดด้วยความสงบนิ่งว่า “ศิษย์พี่หัน ดังนั้นนี่หมายความว่าพวกเราก็…”  

 

 

“ใช่ ถ้าเรื่องเป็นเช่นนี้ พวกเราก็อยู่ในสถานการณ์ที่อันตรายทีเดียว สิ่งที่ท่านอาจารย์บอกให้พวกเราทำไม่ใช่สิ่งที่ง่ายเลย…” หันชิงอวี้ครุ่นคิดก่อนที่จะพูดต่อ “เอาละ ช่างมันก่อน ข้าจะลองดูว่ามีสิ่งใดผิดปกติกับเด็กตระกูลอวี๋เอง เพื่อที่จะไม่ให้ตระกูลอวี๋ยอมแพ้และทำตัวสิ้นหวัง ข้าจะช่วยให้ถึงที่สุดที่ข้าจะทำได้ ถ้านั่นยังไม่พอ พวกเราจะออกไปจากตระกูลอวี๋ถ้าจำเป็น พวกเราต้องไม่เสี่ยงชีวิตของพวกเราเพื่อพวกเขา”  

 

 

“…” โม่เทียนเกอทำได้เพียงแค่พยักหน้า “พวกเราจะทำตามที่ศิษย์พี่หันบอก”  

 

 

โม่เทียนเกอคุยกับหันชิงอวี้เสร็จ ก็เข้าไปยังโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนและใช้เวลาครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ 

 

 

ทุกครั้งที่นางเข้าไปสู่โลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน นางจะวางม่านพลังกระจายวิญญาณภายนอกห้องของนาง วัตถุประสงค์เพื่อให้คนอื่นสัมผัสได้ว่ามีผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังอยู่ภายใน ดังนั้นหันชิงอวี้และคนอื่นจะได้ไม่สงสัยและค้นพบความลับของนาง จากภายในโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน โม่เทียนเกอสามารถสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่ามีอะไรเกิดขึ้นบ้างในโลกภายนอก ถ้ามีปัญหาเกิดขึ้น นางก็จะสามารถออกมาได้ทันที น่าเสียดายที่การเข้าสู่โลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนนั้นต้องใช้ความพยายามพอสมควร ไม่อย่างนั้นนางก็คงจะไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับชีวิตนาง 

 

 

ตอนนี้นางรู้สึกทั้งยินดีและกังวล นางยินดีเพราะหันชิงอวี้เตรียมตัวมานานพอสมควรแล้ว ศิษย์พี่หันผู้นี้คล้ายกับหลัวเฟิงเสวี่ย ทั้งสองคนต่างเก่งในการจัดการเกี่ยวกับวิกฤตต่างๆ ยิ่งไปกว่านั้น ประสบการณ์ในการต่อสู้ด้วยพลังเวทของนางนั้นก็มีมากกว่าหลัวเฟิงเสวี่ยนัก ด้วยการวางแผนและการจัดการต่างๆ ของศิษย์พี่หัน โม่เทียนเกอไม่จำเป็นต้องใช้ความคิดของนางให้มากเกินไปนัก เกี่ยวกับสิ่งที่นางกังวล นางกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ที่ไม่มั่นคงของตระกูลอวี๋ สถานการณ์ของพวกเขาทำให้โม่เทียนเกอต้องระมัดระวังต่อปัญหาที่อาจเกิดขึ้นกะทันหันได้ 

 

 

ในเมื่อนางยังคงหาออกที่ดีไปกว่านี้ไม่ได้หลังจากที่คิดมาระยะหนึ่ง โม่เทียนเกอส่ายหัวและมุ่งมั่นในการฝึกตนของนางต่อไป 

 

 

นางพยายามใช้ศาสตร์หลอมจิตวิญญาณตอนที่นางช่วยชีวิตชายหนุ่มผู้ฝึกตนของตระกูลอวี๋และผู้ฝึกตนแซ่โจว ดังนั้นนางจึงมีความคาดหวังต่อวิชานี้ นางอยู่เพียงแค่ขั้นกลางของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลัง และมันก็เป็นช่วงเวลาหนึ่งแล้วที่นางก้าวสู่ขั้นนี้ กรนั้นก็ตาม ด้วยความประหลาดใจ นางสามารถทำให้สัตว์ปีศาจระดับห้าบาดเจ็บได้อย่างง่ายดายด้วยวิชานี้ มันชัดเจนสำหรับนางว่าการโจมตีโดยใช้จิตสัมผัสไม่ได้ต้องการระดับการฝึกตนที่สูงนัก ในกรณีนั้น ถึงแม้ว่านางจะต้องเผชิญหน้ากับผู้ฝึกตนระดับก่อเกิดแก่นขุมพลัง นางก็จะสามารถป้องกันตัวเองเพื่อที่จะต่อสู้กลับได้ 

 

 

เมื่อนางจดจ่อกับการฝึกตนของนางต่อ วันเวลาก็ผ่านไปโดยไม่รู้ตัว 

 

 

ในวันที่สอง โม่เทียนเกอได้ยินเสียงฝีเท้าจากระยะไกล ปลุกให้นางตื่นจากการฝึกตน นางรีบออกมาจากโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนและแสร้งว่านางกำลังฝึกตนอยู่ในห้องของนาง 

 

 

“เทียนเกอ!” มันคือเสียงของหลัวเฟิงเสวี่ย 

 

 

โม่เทียนเกอเคลื่อนม่านพลังนอกห้องของนางออกไปแล้วเปิดประตู “ศิษย์พี่หลัว?”  

 

 

หลัวเฟิงเสวี่ยดูกังวลเป็นอย่างมาก หน้าผากของนางเต็มไปด้วยเหงื่อ นางพูดอย่างประหม่า “เร็ว! รีบไปเร็ว! การต่อสู้เริ่มแล้ว!”  

 

 

“หืม?” โม่เทียนเกอตกใจจนพูดไม่ออก 

 

 

หลัวเฟิงเสวี่ยเข้ามาด้านใน จับมือของโม่เทียนเกอและลากนางออกไป “ไม่มีเวลาอธิบายให้เจ้าฟังแล้ว ข้ายังไม่ได้ออกไปข้างนอก แต่ข้าสัมผัสได้ว่ามีบางสิ่งบางอย่างผิดปกติเกิดขึ้นด้านนอกนั้น ดังนั้นข้าจึงรีบมาหาเจ้า”  

 

 

โม่เทียนเกอยังคงงุนงงขณะที่ตามหลัวเฟิงเสวี่ยไปข้างนอก อย่างไรก็ตามเมื่อนางออกมาด้านนอกและเงยหน้าขึ้น ในที่สุดนางก็เข้าใจว่าสิ่งที่หลัวเฟิงเสวี่ยบอกว่า ‘บางสิ่งบางอย่างผิดปกติ’ นั้นคืออะไร 

 

 

ท้องฟ้าปกคลุมไปด้วยเปลวไฟ ทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่นอกเกราะป้องกันของม่านพลังสัตว์จตุรเทพล้วนท่วมท้นไปด้วยเพลิง 

 

 

ตอนนี้เป็นช่วงเวลากลางวัน แต่เปลวไฟสาดส่องไปทั่วเขตแดนของตระกูลอวี๋ ถ้าเป็นช่วงเวลากลางคืน เปลวไฟคงทำให้สว่างดังเช่นช่วงกลางวันเป็นแน่ 

 

 

ในขณะที่นางพยายามทำความเข้าใจสถานการณ์ด้านนอก โม่เทียนเกอพบว่ามีผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังมากกว่าสิบสองคน และผู้ฝึกตนระดับการหลอมรวมพลังวิญญาณหลายร้อยคนกับสัตว์ปีศาจอยู่ในพื้นที่!  

 

 

ทั้งสองคนต่างมองหน้ากัน หน้าซีดจนน่ากลัว การปรากฏตัวของผู้ฝึกตนหลายคนและสัตว์ปีศาจหมายความว่าอย่างไร ก็หมายความว่าพื้นที่รอบตระกูลอวี๋ได้กลายเป็นสนามรบหลักไปเสียแล้ว! ถึงแม้ว่าพวกนางคาดคิดไว้นานแล้วว่าจะต้องมีวันที่สงครามมาถึงพวกนาง แต่ไม่ได้คาดคิดว่าจะมาถึงเร็วเช่นนี้ 

 

 

พวกนางบินอย่างไม่มั่นคงไปยังหอทางเข้าหลักของตระกูลอวี๋ แน่นอนอยู่แล้ว หันชิงอวี้และผู้คนของตระกูลอวี๋อยู่ที่นั่นกันแล้ว ระหว่างช่วงเวลาอันสั้นนี้พวกนางช่วยเหลือเหล่าผู้ฝึกตนกันอย่างต่อเนื่อง 

 

 

หันชิงอวี้รีบดึงพวกนางหลังจากที่รู้ว่าพวกนางเดินทางมาถึง นางพูดอย่างสง่าผ่าเผย “ข้าไม่รู้ว่าทำไม แต่การรบแผ่ออกมาในพื้นที่นี้วันนี้ ข้าไม่มีเวลาที่จะบอกพวกเจ้ามากไปกว่านี้แล้ว พวกเจ้าจงเตรียมตัวสู้ซะ ตระกูลอวี๋…” นางมองไปทางผู้คนของตระกูลอวี๋ที่ยืนอยู่ไม่ไกลจากพวกนางเท่าไรและหันกลับมามองที่โม่เทียนเกอ “ตระกูลอวี๋จะขอให้เจ้าเปิดม่านพลังในไม่ช้า เจ้าจงทำเมื่อเห็นสมควร”  

 

 

โม่เทียนเกอมองไปที่คนของตระกูลอวี๋ หลังจากนั้นนางกระซิบ “ศิษย์พี่หันหมายถึง…”  

 

 

หันชิงอวี้ยิ้มอย่างขมขื่น “ตอนแรกข้าวางแผนไว้ว่าจะช่วยเหลือ แต่สิ่งต่างๆ เกิดขึ้นเร็วเกินไปดังนั้นทำในสิ่งที่เจ้าต้องทำ อย่าได้ลังเล ข้าจะรับผิดชอบต่อหน้าท่านอาจารย์เองทีหลัง ถ้าพวกเรายังคงมีโอกาสที่ได้เจอท่านอีกครั้ง”  

 

 

ในเมื่อหันชิงอวี้พูดเช่นนั้น โม่เทียนเกอเข้าใจถึงเจตนาของนางในทันที นางพยักหน้าและพูด “ตกลง ข้าเข้าใจ”  

 

 

ทันทีที่พวกนางคุยกันเสร็จ หัวหน้าตระกูลอวี๋เดินเข้ามาหา “สหายนักพรต”  

 

 

หัวหน้าตระกูลอวี๋ยังไม่ทันได้ให้โอกาสพวกนางทักทายตอบ เขาหันไปมองทางโม่เทียนเกอโดยตรง “ข้าละอายแก่ใจที่จะต้องขอความช่วยเหลือจากสหายนักพรตในวันนี้”  

 

 

โม่เทียนเกอพยักหน้า นางถามอย่างไม่อ้อมค้อม “ท่านหัวหน้าตระกูลอวี๋ตั้งใจว่าจะโจมตีเมื่อไหร่หรือ”  

 

 

หัวหน้าตระกูลอวี๋มองที่ม่านพลังป้องกันบนฟ้าเหนือพวกเขาและเงาที่กำลังต่อสู้กันอยู่ในระยะไกล ด้วยท่าทางที่เด็ดขาด “ตอนนี้!”  

 

 

“แล้วมนุษย์กับผู้ฝึกตนระดับล่างล่ะ”  

 

 

ครั้นได้ยินคำถามของนาง หัวหน้าตระกูลอวี๋ก็แสดงสีหน้าแห่งความขมขื่นออกมาพร้อมพูด “ข้าอพยพพวกเขาไปที่ภูเขาด้านหลังแล้ว จะดีที่สุดหากพวกเขามีชีวิตรอดได้ แต่หากไม่… พวกเขาคงได้แต่โทษความโชคร้ายของตัวเอง”  

 

 

“…” ในเมื่อตอนนี้มาถึงจุดนี้แล้ว พวกนางจะสามารถพูดอะไรได้อีก?  

 

 

โม่เทียนเกอเดินไปด้านหน้าเล็กน้อยและวางม่านพลังป้องกันแบบง่ายที่พื้นตรงจุดที่นางยืนอยู่ หลังจากนั้นนางประกบมือทำท่ามุทรา หลับตาและเริ่มท่องคาถา 

 

 

ในขณะที่นางท่องคาถา ม่านพลังสัตว์จตุรเทพเปล่งแสงสว่างออกมาในทันที ทิศตะวันออก ทิศตะวันตก ทิศใต้ ทิศเหนือ แสงที่ส่องออกมาจากสี่ทิศเป็นรูปร่างของมังกรเขียว เสือขาว หงส์แดง และเต่าดำ หลังจากนั้นไม่นานก็เกิดช่องว่างระหว่างสัตว์ทั้งสี่ขึ้น 

 

 

หัวหน้าตระกูลอวี๋ตะโกนไปทางผู้คนที่อยู่ด้านนอก “สหายนักพรตทั้งหลาย! ถ้าพวกท่านต้านทานไม่ไหว รีบเข้ามาที่ม่านพลังเร็วเข้า!”  

 

 

เหล่าผู้ฝึกตนที่อยู่ในสนามรบต่างยินดีที่ได้ยินข่าวดีเช่นนี้ การที่ได้รู้ว่ามีสถานที่ปลอดภัย บางคนยังคงกัดฟันและสู้กับสัตว์ปีศาจต่อขณะที่บางคนดูยินดีและรีบมุ่งตรงเข้าหาช่องว่างที่เกิดขึ้น 

 

 

เมื่อใดก็ตามที่สัตว์ปีศาจพุ่งตรงเข้ามาที่ม่านพลังเพื่อไล่ตามผู้ฝึกตน แสงแห่งสัตว์ทั้งสี่จะกระโจนใส่พวกมันและฉีกพวกมันเป็นชิ้นๆ … 

 

 

ผู้ฝึกตนของตระกูลอวี๋บางคนกระโจนออกไปตามช่องว่างเพื่อต่อสู้กับสัตว์ปีศาจเช่นกัน 

 

 

ถึงแม้ว่าโม่เทียนเกอจะเคยเห็นคนต่อสู้กับปีศาจตั้งแต่วันที่นางออกมาจากภูเขาไท่คัง สิ่งที่นางเห็นในตอนนั้นไม่สามารถเทียบกับสิ่งที่นางเห็นในตอนนี้ได้เลย 

 

 

ในโลกมนุษย์ นักล่าล่าสัตว์ นานๆ ครั้งจะมีกรณีที่นักล่าตกเป็นเหยื่อและถูกกลืนลงท้องของสัตว์ไป ในโลกแห่งการฝึกตน คนล่าปีศาจ ช่วงเวลาที่ประมาทอาจส่งผลให้พวกเขาถูกกลืนลงท้องไปได้ ไม่ว่ากรณีใดก็ตาม มนุษย์มักเป็นผู้ที่เหนือกว่า ทว่าในวันนี้มันแตกต่างกัน ด้วยความสัตย์จริงหากมีสัตว์ปีศาจมากกว่านี้ สงครามนี้จะต้องเศร้าสลดมากกว่านี้แน่นอน 

 

 

ปีศาจใช้ทั้งเขี้ยวและกรงเล็บของมัน มนุษย์ใช้ทั้งเครื่องรางและอาวุธเวท ทั้งสองฝ่ายถูกบีบเข้าสู่สงครามร่วมกัน บางครั้งมนุษย์ฆ่าปีศาจ บางครั้งปีศาจกินมนุษย์ 

 

 

ยังโชคดีที่ไม่มีสัตว์ปีศาจระดับห้าและสูงกว่า โม่เทียนเกอไม่ได้คิดว่าการควบคุมม่านพลังสัตว์จตุรเทพจะเป็นเรื่องที่ยากลำบาก ถึงแม้ว่านางอาจจะต้องทานยาครอบจักรวาลเพื่อเพิ่มพลังวิญญาณของนางอยู่ตลอดเวลา 

 

 

เพื่อลดภาระของโม่เทียนเกอ หันชิงอวี้และเว่ยจยาซือคอยยืนคุ้มกันอยู่ตรงช่องว่างของม่านพลัง ในทางกลับกันหลัวเฟิงเสวี่ยก็คอยปกป้องนาง ป้อนยาวิเศษและคอยส่งสารให้กับผู้ฝึกตนที่อยู่รอบๆ นาง 

 

 

โม่เทียนเกอไม่รู้ว่าสงครามผ่านไปนานแค่ไหน รู้สึกประหนึ่งว่าทุกอย่างได้เปลี่ยนเป็นแม่น้ำโลหิตไปแล้ว มีหลายครั้งที่นางอยากยอมแพ้และเข้าสู่โลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน ไม่ต้องสนใจชีวิตของคนอื่น อย่างไรก็ตาม ความไม่มั่นคงในม่านพลังของนางคอยเตือนนางถึงภาระอันใหญ่หลวงที่แบกเอาไว้บนบ่า อีกอย่างถึงแม้ว่านางจะหนีไป นางจะต้องวางม่านพลังให้เรียบร้อยก่อน หากไม่เช่นนั้น นางอาจถูกโจมตีกลับด้วยพลังของม่านก่อนที่นางจะหนีไปได้ 

 

 

“สัตว์ปีศาจระดับห้า! นั่นสัตว์ปีศาจระดับห้า!” ใครบางคนตะโกนออกมา 

 

 

โม่เทียนเกอรีบเงยหน้าขึ้นมอง และเห็นสัตว์ปีศาจสองตัวโผล่ขึ้นมาที่เส้นขอบฟ้า กำลังบินมาทางพวกเขา 

 

 

นางและหลัวเฟิงเสวี่ยหน้าซีดในทันที 

 

 

สัตว์ปีศาจระดับห้า… นั้นเทียบเท่ากับผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังขั้นต้น… ทุกคน ณ ที่นี้เป็นผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลัง อีกอย่างยังมีสัตว์ปีศาจระดับล่างอีกมากมายนับไม่ถ้วน… 

 

 

“เทียนเกอ!” หันชิงอวี้ตะโกนเรียก “ช่างมัน! ช่างมัน! ม่านพลัง! วิ่งเร็ว!”  

 

 

นางกัดฟันแน่น โม่เทียนเกอท่องคาถาและประกบมืออีกครั้งเมื่อนางท่องเสร็จ นางดึงหลัวเฟิงเสวี่ยหานาง เรียกผ้าเช็ดหน้าไหมขาวและหนีไปยังช่องว่างของม่านพลัง 

 

 

นางใช้วิชาลับในการควบคุมม่านพลังชั่วคราว โดยที่ไม่มีใครคอยควบคุมม่านพลัง มันน่าจะคงอยู่ได้ประมาณชั่วโมงหนึ่ง ภายในหนึ่งชั่วโมงนั้นพวกนางจะต้องตัดสินใจว่าจะต่อสู้หรือวิ่งหนี 

 

 

“ศิษย์พี่!” เมื่อทั้งสี่คนมาอยู่รวมกัน โม่เทียนเกอถาม “พวกเราจะทำอย่างไรดี”  

 

 

หันชิงอวี้หันมองไปรอบๆ รอบพวกนางผู้ฝึกตนเริ่มหนีด้วยความตื่นตระหนก นางยิ้มอย่างขมขื่น “พวกเรา… พวกเราสามารถใช้ประโยชน์จากความวุ่นวายนี้และหนี พวกเราไม่สามารถอยู่นานไปกว่านี้ได้แล้ว”  

 

 

“…” ทั้งสี่คนนิ่งเงียบ 

 

 

ทันใดนั้น หันชิงอวี้ดึงหลัวเฟิงเสวี่ยไปทางนางและพูดอย่างหนักแน่น “เฟิงเสวี่ยไปกับข้า เจ้าทั้งสองคนคอยดูแลตัวเอง ถ้าพวกเราหนีได้… ถ้าพวกเราหนีได้ให้ไปเจอกันที่ลานของหมู่บ้านใกล้เคียง!”  

 

 

“เข้าใจแล้ว!”  

 

 

หลัวเฟิงเสวี่ยถูกจับให้ไปกับหันชิงอวี้เพราะระดับการฝึกตนของหันชิงอวี้นั้นสูงที่สุดในกลุ่มพวกเขา สำหรับโม่เทียนเกอและเว่ยจยาซือ ทั้งคู่ต่างอยู่ในระดับกลางของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังและมีประสบการณ์ในการต่อสู้ด้วยพลังเวท ทั้งสองคนต่างมีความสามารถในการดูแลตัวเอง 

 

 

โม่เทียนเกอก้าวขึ้นไปบนผ้าเช็ดหน้าไหมขาวขณะที่ถือกระสวยอัปสรา ตะเกียงเสน่ห์และเข็มบินได้ของนางเตรียมพร้อมรออยู่เช่นกัน ยิ่งไปกว่านั้นนางได้หยิบไม้หลบลี้หนีหล้าออกมาแอบเตรียมไว้ในกรณีฉุกเฉิน ถ้านางโชคไม่ดีต้องเผชิญเข้ากับสัตว์ปีศาจระดับห้า นางวางแผนว่าจะใช้มันทันทีในการหนีไปกว่าพันลี้ก่อนที่จะเข้าไปในโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน