อัจฉริยะสมองเพชร 天道图书馆

ตอนที่ 1674 แทบคลั่ง

“ของล้ำค่าระดับกึ่งนักปราชญ์โบราณ?”

“ใช่แล้ว ระหว่างวรยุทธขั้นนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่กับนักปราชญ์โบราณ ก็ยังมีวรยุทธขั้นกึ่งนักปราชญ์โบราณด้วย นักรบที่มีของล้ำค่าระดับนี้จะสามารถสังหารได้แม้แต่นักรบขั้นชั่วกัลปาวสานได้อย่างง่ายดาย แต่มันก็ไม่อาจเทียบชั้นกับของล้ำค่าระดับนักปราชญ์โบราณที่แท้จริงอย่างตัวผมได้ ขอแค่นายท่านสำเร็จวรยุทธขั้นนักปราชญ์โบราณ ฉนวนในตัวผมจะถูกปลดออก และผมก็จะมีประสิทธิภาพการต่อสู้เทียบเท่ากับนักปราชญ์โบราณคนหนึ่ง!” หอกสวรรค์กระดูกมังกรอธิบาย

จางเซวียนมีสีหน้าเคร่งเครียดเมื่อได้ยินคำนั้น

หากเผ่าพันธุ์ปีศาจเลือกใช้อาวุธที่มีประสิทธิภาพระดับนี้เพื่อสังหารเซียนดาบชิงเหมิง ทั้งคู่จะต้องตกเป็นเหยื่อแน่

“ไอ้พวกบ้า ไปตายเสียให้หมด!” จางเซวียนสาปแช่ง

เขาคิดว่าเผ่าพันธุ์ปีศาจยังคงหวาดกลัวที่จะเปิดการโจมตี แต่ใครจะไปคิดว่าแท้ที่จริงพวกมันเตรียมไม้ตายเอาไว้แล้ว

“เราจะปล่อยให้มันทำสำเร็จไม่ได้!”

ในชีวิตเก่าของเขา เขาเป็นเด็กกำพร้ามาตลอด ถึงจะอธิบายความรู้สึกได้ยาก แต่จางเซวียนก็ให้คุณค่ากับความสัมพันธ์แบบครอบครัวที่เซียนดาบชิงเหมิงมอบให้เขา ดังนั้น การที่เผ่าพันธุ์ปีศาจต้องการสังหารทั้งคู่จึงเป็นเรื่องที่ให้อภัยไม่ได้

ไม่มีวันที่เขาจะปล่อยให้พวกมันทำสำเร็จ!

แต่ด้วยพละกำลังของเขาในตอนนี้ เว้นเสียแต่เขาจะใช้ศพของนักปราชญ์โบราณ ก็ไม่มีทางเล่นงานแม่ทัพเผ่าพันธุ์ปีศาจที่ยืนอยู่ตรงหน้าได้เลย

แต่หากเขาใช้ศพของนักปราชญ์โบราณตอนนี้ พลังจิตวิญญาณของเขาจะเหือดแห้งไปอย่างรวดเร็ว และในเมื่อตัวเองก็อยู่ท่ามกลางดงศัตรู จึงเสี่ยงมากหากจะทำแบบนั้น

ขณะที่จางเซวียนยังคงครุ่นคิดว่าจะเล่นงานแม่ทัพอย่างไร ก็เห็นอีกฝ่ายถอนหายใจเฮือกใหญ่ พลังงานพวยพุ่งออกจากร่างของเขา เขากัดฟันและก้าวเข้าไปคว้ากระบี่ปีศาจเล่มนั้นไว้

ฟึ่บ!

ลำแสงสีแดงก่ำสว่างวาบออกมาจากด้ามจับของกระบี่ปีศาจที่เป็นรูปหัวกระโหลก กระบี่ปีศาจเล่มนั้นเกิดการกระตุกเล็กน้อย และมันก็ผลักแม่ทัพกระเด็นไป พร้อมทั้งโจมตีเขาด้วยรังสีอันตรายที่พวยพุ่งออกมา

แม่ทัพมีสีหน้าไม่สู้ดีเมื่อเห็นภาพนั้น เขาถอยไป 2 ก้าว และต้องใช้เวลาระยะหนึ่งกว่าจะระงับพลังงานที่ปั่นป่วนอยู่ในร่างกายได้

เขาหยุดไปชั่วครู่ก่อนจะพูดขึ้นมาช้าๆ “ฉันไม่ได้คิดจะทำให้แกยอมจำนน แค่ต้องการให้แกช่วยฉันฆ่าคนสองคนเท่านั้น”

แน่นอนว่าของล้ำค่าระดับกึ่งนักปราชญ์โบราณย่อมมีจิตวิญญาณเป็นของตัวเอง จึงมีโอกาสที่จะต่อรองกับมันได้

แต่ดูเหมือนหัวกระโหลกที่อยู่บนกระบี่ปีศาจเล่มนั้นจะไม่เต็มใจฟังคำพูดของเขา มันเงียบไปครู่หนึ่งหลังจากผลักแม่ทัพกระเด็นไป และไม่ใส่ใจคำพูดของเขาโดยสิ้นเชิง ราวกับกำลังบอกแม่ทัพว่าจะต้องสำแดงพละกำลังสูงสุดให้มันเห็นเสียก่อนเพื่อพิสูจน์ว่าเขาคู่ควรต่อการที่จะพูดกับมัน

“ในเมื่อแกไม่เต็มใจให้ความร่วมมือ จะมาต่อว่าฉันที่ใช้มาตรการเด็ดขาดไม่ได้นะ” เห็นความโอหังของกระบี่ปีศาจ แม่ทัพมีสีหน้าเคร่งเครียด

เขาหรี่ตา แล้วลำแสงก็มารวมตัวกันบนฝ่ามือของเขาก่อนจะเกิดเป็นแผ่นฟิล์มบางใส จากนั้นเขาก็ก้าวเข้าไปและคว้ากระบี่ปีศาจไว้อีกครั้ง

กระบี่ปีศาจก็ไม่คิดจะยอมแพ้ สองพลังไร้เทียมทานปะทะกัน เกิดรอยแยกของมิติปรากฏอยู่โดยรอบ

ด้วยพละกำลังของของล้ำค่าของผู้หยั่งรู้และค่ายกลที่มีอยู่ทั่วทั้งบริเวณนั้น แม้คลื่นความสั่นสะเทือนอันทรงพลังซึ่งเป็นผลจากการปะทะจะแผ่ออกไปโดยรอบ แต่ก็ไม่มีพลังงานเล็ดลอดออกไปแม้แต่น้อย

ไอ้เจ้าแม่ทัพนั่นยังไม่ได้ทำให้กระบี่ปีศาจยอมจำนน*!* จางเซวียนตาโต

ดูเหมือนกระจกเงาหลายบานที่อยู่บริเวณนี้จะมีหน้าที่ 2 อย่าง อย่างแรกก็เพื่อกดข่มสัญชาตญาณของเซียนดาบชิงเหมิงให้อ่อนด้อยลง เพื่อเพิ่มโอกาสในการสังหารทั้งคู่ อย่างที่ 2 ก็เพื่อปกปิดการมีอยู่ของกระบี่ที่มีวรยุทธขั้นกึ่งนักปราชญ์โบราณ

เรื่องนั้นอธิบายได้ว่าทำไมพวกเขาจึงต้องเคลื่อนย้ายกล่องเหล่านั้นมาทีละใบ หากกระบี่ปีศาจเล่มนี้ยอมจำนนแล้ว ก็คงนำมันเก็บไว้ในแหวนเก็บสมบัติได้ แต่โชคร้ายที่ไม่เป็นแบบนั้น พวกเขาจึงไม่มีทางเลือกนอกจากต้องใช้วิธีการที่ยุ่งยาก

เมื่อพิจารณาจากความแข็งแกร่งของแม่ทัพ หากเขาทำให้กระบี่ปีศาจยอมจำนนได้สำเร็จ ต่อให้ภารกิจสังหารเซียนดาบชิงเหมิงต้องล้มเหลว แต่ประสิทธิภาพการต่อสู้ของเขาก็ยังเหนือชั้นเกินกว่าที่เซียนดาบชิงเหมิงจะรับมือได้อยู่ดี

เป็นแบบนี้ก็ดีแล้ว*! เราต้องยับยั้งมันไม่ให้ประสบความสำเร็จในการทำให้กระบี่ปีศาจยอมจำนน*… จางเซวียนยังคงครุ่นคิดอยู่ว่าจะยับยั้งแม่ทัพได้อย่างไร แต่ในเมื่ออีกฝ่ายยังทำให้กระบี่ปีศาจยอมจำนนไม่ได้ เรื่องนี้ก็ง่ายขึ้นมาก

แคร่ก! แคร่ก!

ขณะที่แม่ทัพกำลังทุ่มเทพละกำลังทั้งหมดเพื่อรับมือกับกระบี่ปีศาจ จางเซวียนก็ขยับกล้ามเนื้อและกระดูกของเขาอีกครั้ง ในชั่วพริบตา เขาก็กลายเป็นตัวตนใหม่

…..

ท่ามกลางค่ายกลที่ประกอบไปด้วยกระจกเงามากมาย แม่ทัพจ้องมองกระบี่ปีศาจที่อยู่ตรงหน้าอย่างระแวง

เขารู้ดีว่ากระบี่ปีศาจทรงพลังแค่ไหน จึงไม่ออมมือแม้แต่น้อย แม่ทัพขับเคลื่อนพลังปราณจนเต็มพิกัดและปล่อยการโจมตีอย่างหนักหน่วงครั้งแล้วครั้งเล่าเข้าใส่กระบี่เล่มนั้น

เขารู้สึกได้ว่าการต่อสู้ออกจะเป็นใจให้เขา นี่เป็นช่วงเวลาที่พอเหมาะพอดี เขาจะปล่อยให้สมาธิของตัวเองวอกแวกไม่ได้ หากเขาเดินหน้าเต็มที่ ก็มั่นใจว่าจะทำให้กระบี่ปีศาจยอมรับเขาเป็นเจ้านายได้สำเร็จ

แต่ในช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานนั้นเอง แม่ทัพก็ได้ยินเสียงฝีเท้าเร่งร้อนอยู่ด้านนอก

จากนั้นร่างหนึ่งก็ปรากฏ คือบุคคลที่เขาเพิ่งสั่งให้ออกไปเมื่อครู่นี้, นายพลอ้าววั่ว อีกฝ่ายเดินตรงเข้ามาหาเขา จากนั้นก็ประสานมือและโค้งคำนับ “ท่านแม่ทัพ ผมถ่ายทอดคำสั่งของคุณให้กับคนของเราแล้ว จะไม่มีใครเข้ามารบกวนคุณอีก คุณฝึกฝนวรยุทธได้ตามสบาย!”

“….” ร่างของแม่ทัพกระตุกเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำนั้น

นักรบที่มีวรยุทธขั้นนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ส่วนมากจะแข็งแกร่งพอที่จะทำภารกิจพร้อมกันทีเดียวหลายๆอย่างได้ แต่การรับมือกับกระบี่ปีศาจนั้นไม่เหลือช่องไว้ให้เขาใส่ใจเรื่องอื่น ไม่เพียงแต่เขา จะต้องเผชิญกับการโจมตีอันดุเดือดของมัน ที่สำคัญกว่านั้น เขายังต้องปัดป้องรังสีอันตรายของกระบี่ไม่ให้เข้าทำลายจิตใจของเขาด้วย ดังนั้น ในช่วงเวลาแบบนี้ ความเงียบจึงเป็นสิ่งสำคัญสูงสุด

นี่คือเหตุผลที่แม่ทัพสั่งการให้นายพลอ้าววั่วกำชับทุกคนว่าไม่ให้มารบกวนเขา แต่เจ้าโง่นั่นก็พรวดพราดเข้ามาเพื่อรายงานเขาว่าถ่ายทอดคำสั่งเรียบร้อยแล้ว…

แกมีสามัญสำนึกสักนิดไหม*?*

ไม่รู้หรือไงว่าคำสั่งของฉันก็รวมถึงตัวแกด้วย*? ฉันจะฝึกฝนวรยุทธตามสบายได้อย่างไรถ้าแกยังป้วนเปี้ยนอยู่แถวนี้?*

“คุณก็ออกไปได้แล้ว!” แม่ทัพระงับความอยากตบหน้านายพลอ้าววั่วเอาไว้ จากนั้นก็ตวาดด้วยเสียงเย็นเยียบ

อารมณ์ที่ปั่นป่วนขึ้นมาอย่างกะทันหันของเขาเปิดช่องให้รังสีอันตรายของกระบี่ปีศาจซึมซาบเข้าสู่จิตใจของเขาได้ ทำให้สติสัมปชัญญะของแม่ทัพพร่าเลือนไปเล็กน้อย การเคลื่อนไหวของเขาจึงออกจะงุ่มง่าม

“ขอรับ ท่านแม่ทัพ!” นายพลอ้าววั่วตอบเสียงดังก่อนจะถอยไปก้าวหนึ่ง ดูเหมือนพร้อมจะออกจากห้อง แต่ขณะที่กำลังจะก้าวออกไป ก็ชะงักฝีเท้าราวกับนึกอะไรขึ้นมาได้บางอย่าง เขาหันกลับมาและตั้งคำถาม “ท่านแม่ทัพ ใกล้ถึงเวลาอาหารกลางวันแล้ว คุณอยากได้บะหมี่เนื้อวัวหรือไข่เจียว? ผมจะบอกโรงครัวให้เตรียมให้คุณเป็นพิเศษ”

“บะหมี่เนื้อวัว? ไข่เจียว?” แม่ทัพถึงกับชะงัก

เรามีอาหารพรรค์นั้นอยู่ที่นี่ด้วยหรือ?

ขอแค่มีพลังจิตวิญญาณมากพอ นักรบที่มีวรยุทธระดับเดียวกับเขาสามารถอดอาหารได้ยาวนานกว่า 10 ปี และในเมื่อตอนนี้เป็นช่วงเวลาแห่งสงคราม ใครจะไปมีแก่ใจนั่งกินบะหมี่เนื้อวัวหรือไข่เจียวอยู่ได้ หรือต่อให้จะเป็นอะไรก็ตามเถอะ!

“ไสหัวไป!”

เขากำลังอยู่ในช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานของกระบวนการทำให้อาวุธยอมจำนน และต้องการความเงียบอย่างมาก แต่หมอนี่ก็อ้อยอิ่งและพูดจาเพ้อเจ้อไม่หยุดหย่อน แม่ทัพเกิดความเครียดอย่างหนัก เส้นเลือดปูดโปนออกมาด้วยความโกรธเกรี้ยว

การเข้ามาขัดจังหวะของนายพลอ้าววั่วทำให้กระบี่ปีศาจซึ่งเมื่อครู่นี้ยังอยู่ในภาวะเสียเปรียบกลับมาถือไพ่เหนือกว่าอีกครั้ง มันปล่อยรังสีอันตรายเข้าใส่แม่ทัพ ทำให้สติสัมปชัญญะของเขาพร่าเลือน อาการปวดหัวที่เกิดจากรังสีอันตรายนั้นทำให้เหงื่อท่วมใบหน้าของเขา

“เอ๊ะ? ดูเหมือนคุณจะอารมณ์ไม่ดีเท่าไหร่นะ อยากได้น้ำเย็นๆเพื่อให้อารมณ์เย็นลงไหม?” นายพลอ้าววั่วถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงเป็นใย “ดูสิ คุณเหงื่อแตกขนาดนี้ รู้สึกไม่สบายหรือเปล่า?”

“….” แม่ทัพ

ไปตายซะ ไปตายซะ ไปตายซะ ทำไมเราถึงไม่เคยรู้มาก่อนว่าเจ้างั่งนี่ปากมากขนาดนี้*?*

แกเป็นนายพล ไม่ใช่พ่อครัวหรือพนักงานต้อนรับ อีกอย่าง ก็เห็นๆอยู่ไม่ใช่หรือว่าตอนนี้ฉันยุ่ง มันเรื่องอะไรที่แกจะต้องเข้ามารบกวนฉันตอนนี้*?*

“ผมบอกให้คุณออกไป! ไปได้แล้ว!” เมื่อทนไม่ไหวอีกต่อไป แม่ทัพตะโกนก้องด้วยน้ำเสียงที่เจือทั้งความโกรธเกรี้ยวและความสิ้นหวัง

แต่ดูเหมือนความน่าเกรงขามของเขาจะใช้ไม่ได้ผล เพราะอีกฝ่ายพูดขึ้นอีก “เอ่อ ไม่เห็นต้องโมโหเลย บอกผมก็ได้ว่าคุณไม่ได้กระหายน้ำ ถ้าอย่างนั้น…กินซุปเสียหน่อยดีไหม? ผมได้ยินว่าโรงครัว เพิ่งต้มซุปกระดูกหมูที่รสชาติดีมาก ผมนำมาให้คุณถ้วยหนึ่งนะ?”

ฟึ่บ!

อะไรบางอย่างในตัวแม่ทัพลั่นฉับทันที พริบตาต่อมา รังสีอันตรายนั้นก็ทะลุปราการที่ป้องกันจิตใจของเขาไว้ ทำให้แม่ทัพหน้าซีดเผือดและกระอักเลือดออกมา

ไอ้สารเลว*! แกจะพอได้หรือยัง?*

แกตาบอดหรือไง*? ไม่เห็นหรือว่าฉันกำลังทำให้กระบี่ปีศาจยอมจำนน?*

ใช้หัวสมองคิดเสียบ้าง เจ้างั่ง!

แม่ทัพสูดหายใจลึก พยายามข่มความเดือดพล่านในตัวไว้ เขาวางท่าสุขุมด้วยความยากลำบากและพูดเสียงลอดไรฟัน “ผมไม่ต้องการอาหาร ไม่ต้องการน้ำ ไม่ต้องการซุปด้วย เอาล่ะ ตอนนี้ออกจากห้องไปซะ แล้วหยุดรบกวนผมเสียที!”

“ท่านแม่ทัพ คุณไม่ต้องกังวลนะ ผมสั่งการคนของเราไว้อย่างเคร่งครัดแล้ว คุณแน่ใจได้เลยว่าจะไม่มีใครกล้าเข้ามารบกวนคุณแน่ มีแต่เจ้างั่งที่รนหาที่ตายเท่านั้นแหละที่จะกล้าขัดคำสั่งของคุณ และต่อให้คุณไม่พูดอะไร ผมก็จะจัดการเจ้าทึ่มนั่นด้วยมือของผมเอง!” นายพลอ้าววั่วโบกมืออย่างวางมาดขณะพูดด้วยทีท่าที่ชวนให้ยำเกรง

ท่านแม่ทัพรู้สึกเจ็บแปลบที่อก

หัวสมองของแกมันผิดเพี้ยนไปแล้วหรือเปล่า*? อะไรที่ทำให้แกคิดว่าฉันหมายถึงคนอื่น? คนที่รบกวนฉันน่ะคือแก!*

ขณะที่แม่ทัพกำลังจะพรั่งพรูคำผรุสวาทสำหรับความปัญญานิ่มของลูกน้อง นายพลอ้าววั่วก็หันมามองเขาด้วยแววตาจริงใจและตั้งคำถามอีก “ท่านแม่ทัพ มันไม่น่าเบื่อไปหน่อยหรือที่จะอยู่แถวนี้โดยไม่ทำอะไรเลย? เราร้องเพลงด้วยกันดีไหม? ถ้าคุณเขินล่ะก็ ผมไม่ถือหรอกที่จะร้องเพลงเป็นเพื่อนคุณ!”

“พลั่ก!” แม่ทัพกระอักเลือดออกมาอีกกองหนึ่ง