ตอนที่ 644 ไร้แสงสุริยา

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 644 ไร้แสงสุริยา

ฟู่เสี่ยวกวนมิรู้หรอกว่าบิดาอ้วนของตนได้กว้านซื้อที่ดินอย่างบ้าคลั่งในราชวงศ์อู๋

ที่ยังมิรู้ไปกว่านั้นก็คือบิดาผู้นี้มีเงินทองมากมายเท่าใด

เช้าวันรุ่งขึ้นฟู่เสี่ยวกวนตื่นตั้งแต่เช้าตรู่ หลังจากล้างหน้าล้างตาเรียบร้อยแล้ว ก็ได้เดินทางไปยังวังหลวงพร้อมกับสวี่ซินเหยียน

เรื่องของหยูเวิ่นชูนั้นจะเอ่ยขึ้นมาลอย ๆ ในเมืองจินหลิงมิได้ เขาต้องรีบไปให้ไวก่อนที่ฝ่าบาทจะเสด็จไปถึงท้องพระโรงเฉิงเทียนและทูลถามความคิดเห็นของฝ่าบาทเสียก่อน

เมื่อเข้าไปถึงวังหลวง เขาก็ตรงไปยังห้องทรงพระอักษรทันที

ประตูของห้องทรงพระอักษรยังมิถูกเปิดออก เขายืนรออยู่หน้าประตูอย่างใจเย็น กวาดสายตามองไปรอบ ๆ พระราชวังกว้างใหญ่ถึงเพียงนี้ อยู่ ๆ ก็รู้สึกว่ามันช่างว่างเปล่าเสียเหลือเกิน

ถ้าเช่นนั้นการได้เป็นฮ่องเต้มีสิ่งใดดีบ้างกัน ?

แต่ละวันมีแต่เรื่องราววุ่นวายเข้ามาเกี่ยวพัน ต่อให้มีเวลาว่างก็ทำได้เพียงอยู่ภายในพระราชวังที่มีกำแพงกว้างขวางล้อมรอบเอาไว้เท่านั้น

อยากไปดื่มสุราที่หอซื่อฟางก็มิสามารถไปได้

อยากไปชื่นชมหญิงงามที่กั๋วเซ่อเทียนเซียงก็มิสามารถไปได้

หากต้องการเดินทางไปยังแคว้นเพื่อนบ้านก็มิสามารถไปได้โดยแท้

หึ ! ความคิดเหล่านี้เป็นได้เพียงแค่ฝันเท่านั้น ต่อให้กุมอำนาจของแคว้นเอาไว้ได้ ก็มิมีผู้ใดรู้หรอกว่าแท้จริงแล้วอำนาจก็คือกรงนก

ทว่านับแต่โบราณกาลมา มิว่าราชวงศ์ใดก็มักจะมีแต่เรื่องเช่นนั้นและคนเช่นนี้

เมื่อพวกเขาได้เข้ามาอยู่ในกรงนกแล้ว ก็จะทำได้เพียงอยู่แต่ในกรง พวกเขาเคยคิดจะดิ้นรนหลบหนีบ้างหรือไม่ ?

คาดว่าคงมิมีผู้ใดคิดหนีเป็นแน่ เนื่องจากอำนาจอันเด็ดขาดและยิ่งใหญ่นี้ทำให้ทุกคนพากันหลงใหล

เมื่อฉลองพระองค์มังกรสีทองถูกสวมใส่เข้ามา พวกเขาก็จะลุ่มหลงมัวเมาจนหาทางออกมิได้

องค์ชายใหญ่หยูเวิ่นเทียนนับว่าโชคดีแล้วที่มิได้หลงเข้าไปในกรงนกนี้ บัดนี้เขาเสมือนได้เกิดใหม่อยู่ในกองทัพชายแดนตะวันออกและค้นพบความหมายที่แท้จริงในชีวิตของตนได้แล้ว

ส่วนองค์ชายสี่หยูเวิ่นชูช่างน่าเวทนายิ่ง เขาได้บุกเข้าไปและพยายามดิ้นรนจนถึงที่สุด แต่ท้ายที่สุดแล้วก็ถูกอำนาจทุบเข้าที่กลางศีรษะอย่างจัง ตัดขาดหนทางในอนาคตเข้าเต็มเปา แม้จะอายุยังน้อยก็คงจะเป็นการยากที่จะได้เห็นโลกภายนอกอีกครา

เขาจะถูกฝ่าบาทตัดสินประหารชีวิตหรือไม่ ?

ฟู่เสี่ยวกวนมิได้เสียเวลาคิดถึงปัญหานี้และมิได้สงสารหยูเวิ่นชูสักเท่าใดนัก เนื่องจากเขาเคยกล่าวกับหยูเวิ่นชูไว้ถึงสองคราแล้วว่า “หากทำผิดก็จะต้องชดใช้ ! ”

ฟู่เสี่ยวกวนเงยหน้าขึ้นมองท้องนภาสีเทามืดครึ้ม เมื่อคืนนี้หยูเวิ่นชูกล่าวว่าให้ไปรับเขาตอนที่สุริยาขึ้น… คงต้องการเห็นแสงสุริยาส่องสว่างอีกครา ต้องการเดินอยู่ภายใต้แสงสุริยาอันเจิดจรัสราวกับผู้มีอิสระอย่างสง่าผ่าเผยเป็นคราสุดท้าย แต่ทว่าท้องนภาวันนี้ดูเหมือนจะไร้ซึ่งแสงสุริยาสาดส่องเสียแล้ว

ดังนั้นสุริยาจึงมิใช่สิ่งที่ต้องการพบก็สามารถพบได้ หรือบางทีองค์ชายสี่อาจจะทำได้เพียงนึกถึงแสงสุริยาไปตลอดชีวิต

ฮ่องเต้เสด็จมาถึงห้องทรงพระอักษรแล้ว ฟู่เสี่ยวกวนรีบเดินเข้าไป ขันทีเจี่ยมองไปทางเขาแล้วครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนจะหันหลังกลับไปทูลต่อฝ่าบาทว่า “ทูลฝ่าบาท ติ้งอันป๋อรอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ”

“…หยุดราชรถ ! ”

ฮ่องเต้ก้าวพระบาทลงจากราชรถมังกร ขันทีเจี่ยเดินไปเปิดประตูห้องทรงพระอักษรให้พ่อตาและลูกเขยได้เดินเข้าไปด้านใน

“ทูลฝ่าบาท หยูเวิ่นชูถูกกุมตัวกลับมายังเมืองจินหลิงเมื่อวานตอนค่ำ เนื่องจากเป็นเวลาดึกมากแล้ว กระหม่อมจึงมิได้เดินทางมารบกวนฝ่าบาท และได้จัดให้หยูเวิ่นชูพักผ่อนอยู่ในหงซิ่วจาว ในวันนี้ที่กระหม่อมมาขอเข้าเฝ้าก็เพื่อต้องการทูลถามพระประสงค์ของฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”

ฮ่องเต้นิ่งเงียบไปชั่วครู่ “ไอ้ลูกอกตัญญูผู้นั้น…มีความปรารถนาสุดท้ายหรือไม่ ? ”

“องค์ชายกล่าวว่าให้กระหม่อมไปรับช้าสักหน่อย เนื่องจากหลายวันมานี้เหนื่อยล้ามากยิ่งนักจึงอยากจะนอนพักผ่อนให้เต็มที่พ่ะย่ะค่ะ”

ฮ่องเต้ตกตะลึงงัน คาดมิถึงว่าหยูเวิ่นชูจะร้องขอเช่นนี้

“เขาได้ขอให้เจ้าช่วยอ้อนวอนต่อข้าหรือไม่ ? ”

“ทูลฝ่าบาท คือ…มิมีเลยพ่ะย่ะค่ะ”

ฮ่องเต้แย้มพระสรวลออกมาด้วยโทสะ “นับว่ารู้ตัวดี นับว่ายังไว้หน้าตนเองอยู่บ้าง…” ฝ่าบาทสูดหายใจเข้าลึก พระหัตถ์ทั้งสองข้างไพล่หลังแล้วก้าวพระบาทวนไปเวียนมาทั่วทั้งห้อง “เช่นนั้นก็ให้เขานอนพักผ่อนไปก่อน เมื่อถึงตอนสายจงพาตัวเขามาพบข้าที่นี่ ! ”

ฟู่เสี่ยวกวนโค้งคารวะ “น้อมรับบัญชาพ่ะย่ะค่ะ ! ”

……

……

ราชรถมังกรได้ถูกใช้งานอีกคราโดยมุ่งหน้าไปยังท้องพระโรงเฉิงเทียน ฟู่เสี่ยวกวนนิ่งเงียบอยู่เนิ่นนาน เมื่อเดินออกมาจากพระราชวัง ก็ได้ขึ้นไปบนรถม้าที่จอดรออยู่ก่อนแล้ว จากนั้นก็เอ่ยกับสวี่ซินเหยียนว่า “ไปหอซื่อฟาง”

“…ตั้งแต่เช้าตรู่เลยเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

ฟู่เสี่ยวกวนฉีกยิ้มกว้าง “เตรียมตัวไว้ก่อนย่อมดีกว่า เพราะการเลี้ยงสุราเขาสักขวดเป็นสิ่งเดียวที่ข้าสามารถทำได้”

“เข้าใจแล้ว ! ”

สวี่ซินเหยียนบังคับรถม้ามุ่งตรงไปยังหอซื่อฟาง เมื่อประตูของหอซื่อฟางถูกเคาะก็ได้ปรากฏหลงจู๊เดินงัวเงียออกมา… “ไอหยา สวรรค์ ! ติ้งอันป๋อ ท่าน…มากินมื้อเช้าเยี่ยงนั้นหรือขอรับ ? ”

ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะหึหึ “ช่วยเตรียมอาหารที่ดีที่สุดให้ข้าด้วย จงจำไว้ว่าจะต้องเป็นอาหารชั้นเลิศและวางไว้เต็มโต๊ะ ข้าให้เวลาเจ้า 1 ชั่วยาม ! ”

หลงจู๊อ้าปากค้างอย่างตกตะลึงก่อนจะตอบว่า “ข้าน้อยจะรีบไปปลุกพ่อครัวทุกคนประเดี๋ยวนี้ขอรับ ! ”

ฟู่เสี่ยวกวนเดินขึ้นไปบนรถม้าอีกครา หลงจู๊มองตามแผ่นหลังอันเลือนรางโดยมิรู้ว่าจะเกิดเรื่องใหญ่อันใดขึ้น รู้เพียงแค่ว่าจะต้องเป็นเรื่องใหญ่โตอย่างแน่นอน

ฟู่เสี่ยวกวนตรงไปยังแม่น้ำฉินหวาย เนื่องจากเวลากระชั้นชิดคงมิมีเวลามากพอให้หยูเวิ่นชูนอนหลับอีกต่อไป

ท้องนภาเริ่มสว่างขึ้นเล็กน้อยบัดนี้ได้กลายเป็นสีคราม สายน้ำเขียวใสปรากฎฝูงปลาแหวกว่าย อีกทั้งต้นหลิวที่พลิ้วไสวเป็นฉากของเรือหงซิ่วจาวที่จอดเทียบท่าอยู่ริมฝั่ง แสงสีแดงทำให้ภาพตรงหน้านี้ดูโดดเด่นมากยิ่งขึ้น

ทั้งด้านในและด้านนอกเรือเต็มไปด้วยผู้คุ้มกัน ฟู่เสี่ยวกวนเดินขึ้นไปบนเรือ จากการนำทางของมดงานตัวเดิม เขาเดินขึ้นไปที่ชั้นสองและเคาะประตูห้องของหยูเวิ่นชู

“สุริยาส่องแสงแล้วเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

“วันนี้เกรงว่าจะไร้แสงสุริยาอย่างแท้จริง”

“…อืม น่าเสียดายยิ่ง”

หยูเวิ่นชูรับอาภรณ์ที่ฟู่เสี่ยวกวนส่งให้แล้วหันหลังไปเปลี่ยนชุด เขาล้างหน้าล้างตาอย่างเรียบง่ายแล้วเดินออกมา “เขาต้องการพบข้าในยามเช้าตรู่เช่นนี้เลยหรือ ? ”

ฟู่เสี่ยวกวนยิ้ม “ช้าสุดคือยามซื่อ ! ”

“บัดนี้เพิ่งจะยามเหม่า”

“ข้าคิดว่าที่เมืองจินหลิงช่างงดงามยิ่ง จึงอยากพาองค์ชายไปเดินชมรอบเมืองเสียหน่อย”

หยูเวิ่นชูหัวเราะร่าขึ้นมาแล้วส่ายศีรษะไปมาเล็กน้อย “หากพวกเราเป็นมิตรสหายกันคงดีมิน้อย…” เขาสูดหายใจเข้าลึกแล้วมองออกไปด้านนอกหน้าต่าง “จะว่าไปแล้วข้ารู้จักเมืองจินหลิงดีกว่าพ่อค้าที่ดินแห่งหลินเจียงเยี่ยงเจ้าเสียอีก แต่ในวันนี้คงต้องให้เจ้าพาชมเมืองแล้วล่ะ”

“พระองค์อยากไปที่ใดเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

“หลานถิงจี๋”

“ได้ ! ”

……

……

รถม้ามุ่งหน้าไปยังหลานถิงจี๋

ด้านในของรถม้าปรากฏหยูเวิ่นชูที่แง้มม่านเพื่อมองออกไปยังนอกหน้าต่างราวกับว่าต้องการจดจำภาพเหล่านี้เอาไว้เป็นคราสุดท้าย

“จะว่าไปแล้วข้าแทบจะมิเคยเห็นเมืองจินหลิงในยามเช้าตรู่เลยว่าเป็นเยี่ยงไร…ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง”

เมืองจินหลิงเริ่มตื่นจากการหลับใหล ร้านค้าตลอดสองข้างทางเริ่มเปิดกิจการ มีเสียงร้องเพลง เสียงสนทนา เสียงบิดามารดาสั่งสอนบุตร และมีเสียงเด็กร้องไห้ดังจ้าละหวั่น

ฟู่เสี่ยวกวนยิ้มแล้วกล่าวว่า “รู้สึกครึกครื้นใช่หรือไม่ ? ”

“เพียงแต่หนวกหูไปสักหน่อย”

“นี่จึงจะเป็นการใช้ชีวิตที่แท้จริง”

“อืม… ชีวิตที่แท้จริง”

หยูเวิ่นชูหันกลับมาเอ่ยถามฟู่เสี่ยวกวนว่า “ข้ารบกวนเวลาทำธุระของเจ้าหรือไม่ ? ”

“มิได้รบกวนเลย”

“อืม… เช่นนั้นก็ดีแล้ว ข้าจำได้ว่าด้านหน้ามีร้านขายอาหารเช้าอยู่หนึ่งร้านชื่อว่าหมานโข่วเซียง อาหารที่นั่นรสชาติมิเลวเลย เจ้าอยากไปลองชิมดูหรือไม่ ? ”

“ตกลง เราลองไปชิมกัน”

สวี่ซินเหยียนจึงบังคับรถม้าให้มุ่งหน้าไปทางร้านหมานโข่วเซียง เมื่อไปถึงแล้วฟู่เสี่ยวกวนและหยูเวิ่นชูก็ได้เดินเข้าไป

หยูเวิ่นชูสั่งขนมนึ่งและฮะเก๋าอย่างละ 1 เข่ง สั่งโจ๊กหมูใส่ไข่อีกหนึ่งชาม

ฟู่เสี่ยวกวนสั่งอาหารมาสองอย่าง จากนั้นทั้งสองก็ลงมือทาน

“เมื่อราวสามปีก่อน…เฉินจั่วจวินเคยซื้อมาให้ข้าทาน”

“เนิ่นนานถึงเพียงนั้น ท่านยังจำได้อยู่หรือ มองดูแล้วท่านก็รักนางมากเช่นกันนี่”

“…มิถึงขนาดนั้น”