บทที่ 604 สาเหตุ

บัลลังก์พญาหงส์

พอออกมาจากตำหนักของไทเฮา ถาวจวินหลันก็รู้สึกเท้าเบาหวิว และแข้งขาอ่อนยวบไปหมด 

 

 

นางกลับไปยังจวนอ๋องด้วยท่าทีไม่เข้ารูปเข้ารอยนี้ 

 

 

บรรดาบ่าวเห็นนางมีท่าทีเช่นนี้ ก็พากันประหลาดใจ แต่ก็ไม่กล้าถาม จึงพากันมองไปทางหงหลัวที่เข้าวังไปพร้อมถาวจวินหลัน 

 

 

หงหลัวทำเป็นไม่เห็นสายตาพวกนั้น จงใจส่ายหน้าอย่างเล่นแง่ เพียงแค่รับใช้ถาวจวินหลันให้ดื่มชา 

 

 

ชาร้อนลงท้องไปจอกหนึ่ง ถาวจวินหลันถึงได้สติกลับมา จากนั้นก็คิดถึงคำพูดของไทเฮา อดสั่นสะท้านไม่ได้ เรื่องนี้ไทเฮายอมสนับสนุนนาง แต่ใช่ว่าฮ่องเต้จะชอบใจ 

 

 

ฮ่องเต้นคงไม่ชอบนางนัก โดยเฉพาะหลังจากเกิดเรื่องนั้น บางทีอาจจะเลือกพระชายาองค์รัชทายาทคนใหม่ให้กับหลี่เย่ และอาจถึงขั้นไม่แต่งตั้งองค์รัชทายาทเลยด้วยซ้ำไป 

 

 

เหมือนกับที่ไทเฮาตรัสไว้ ‘ฮ่องเต้คงไม่ยินยอม’ 

 

 

ในหัวของถาวจวินหลันมีความคิดหนึ่งลอยขึ้นมาฉับพลัน แต่เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่คิดหาวิธีมารับมือได้ง่าย หลี่เย่มาถึงข้างหน้าแล้ว นางก็ยังคงเหม่อลอย 

 

 

หลี่เย่ตั้งใจเย้าแหย่ ไม่ให้บ่าวส่งเสียง เพียงแค่แอบเดินไปเบื้องหน้านาง แล้วส่งเสียงไอใส่แรงๆ “นั่งเหม่ออะไรกัน?” 

 

 

ถาวจวินหลันตกใจ ถลึงตามองเขาอย่างกล่าวโทษ “มาทำให้ตกใจเช่นนี้ทำไมเพคะ? ไม่เห็นหรือว่าข้ากำลังใช้ความคิด?”  

 

 

           หลี่เย่หุบยิ้ม “คิดอะไรถึงได้เหม่อเช่นนี้? ใช่เรื่องที่ไทเฮาเรียกเจ้าเข้าคุยในวังหรือไม่?” เขาก็รู้เรื่องที่ถาวจวินหลันวันนี้เข้าวังไปพบไทเฮาวันนี้ 

 

 

           “ไทเฮาพูดกับข้าว่า หากแต่งตั้งองค์รัชทายาทคนใหม่ ก็จะต้องแต่งตั้งพระชายาองค์รัชทายาทขึ้นมาด้วย ท่านคิดว่าอย่างไรเพคะ?” ถาวจวินหลันจงใจพูดไม่หมด เพียงแค่เลิกคิ้วมองไปทางหลี่เย่เป็นเชิงถาม อยากเห็นว่าหลี่เย่จะพูดอย่างไร 

 

 

           หลี่เย่กลับตอบอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย “หากข้าเป็นองค์รัชทายาท พระชายาองค์รัชทายาทย่อมต้องเป็นเจ้า” 

 

 

           หลี่เย่พูดอย่างมั่นใจ ไม่ลังเลแม้แต่น้อย ท่าทีเช่นนั้นกลับทำให้ถาวจวินหลันเงียบไป ผ่านไปครู่ใหญ่นางก็เพียงแค่ส่ายหน้า “ก็แค่ความยินยอมพร้อมใจฝ่ายเดียวเท่านั้นเพคะ คนอื่นอาจจะไม่คิดเช่นนี้” 

 

 

           หลี่เย่นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ลูบคางตัวเองไปมาเหมือนว่าเกิดเหตุการณ์นั้นจริงๆ “คิดว่าไทเฮาคงไม่ต่อต้านแล้ว ทางด้านเสด็จพ่อ คิดว่าเขาเองคงไม่ถึงขั้นทุ่มเทแรงใจมาจัดการเรื่องนี้ อีกอย่างขอแค่ไทเฮาตัดสินใจแล้ว เสด็จพ่อก็ต้องยอมถอยให้” 

 

 

           น้ำเสียงของหลี่เย่นั้นฟังดูมั่นใจ 

 

 

           ถาวจวินหลันพลันฉุกคิดได้ “ท่านรู้เรื่องนี้นานแล้วใช่หรือไม่เพคะ?” มิเช่นนั้นจะเอาความมั่นใจขนาดนี้มากจากไหน? 

 

 

           หลี่เย่เห็นเรื่องถูกเปิดเผย ก็ทำได้เพียงพูดเนิบช้า “ก็ไม่ถือว่ารู้นานแล้ว แต่เรื่องนี้ไทเฮาเองก็พูดกับข้าเช่นกัน” 

 

 

           “ท่านเข้าวังไปพบไทเฮาเมื่อไรเพคะ? ทำไมข้าไม่เห็นทราบ?” ถาวจวินหลันเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ ในใจหวนคิดถึงเรื่องช่วงนี้ เหมือนว่าหลี่เย่จะไม่ได้เข้าวังหลวงไม่ใช่หรือ? 

 

 

           “แอบไปมา ไม่ได้ให้ใครรู้” หลี่เย่พูดเสียงเบา ดูเป็นคลวามลับเล็กน้อย “อีกอย่างเรื่องแต่งตั้งองค์รัชทายาท ก็จะต้องคำนึงถึงด้านนอกด้านในตีขนานประสานกันมิใช่หรือ” 

 

 

           ถาวจวินหลันเข้าใจในทันใด เรื่องแต่งตั้งองค์รัชทายาทนั้นดูเหมือนจะเป็นเพียงความคิดฉุกละหุกของไทเฮาเท่านั้น แต่ความเป็นจริงแล้วกลับได้ปรึกษาหลี่เย่มานานแล้ว ซึ่งก็หมายความว่ายกเรื่องแต่งตั้งองค์รัชทายาทขึ้นมาตอนนี้ก็คือความคิดของหลี่เย่ 

 

 

           “ถ้าเช่นนั้นทำไมท่านถึงปิดบังข้าเล่าเพคะ?” ถาวจวินหลันไม่พอใจเล็กน้อย กลอกตามองหลี่เย่ 

 

 

           หลี่เย่ถอนหายใจ จับมือของนางเองไว้ “ในตอนนี้เจ้าเป็นเช่นนี้แล้ว ทำไมจะต้องให้เจ้าเหนื่อยอีก? ข้าเคยพูดไว้เรื่องด้านนอกอย่างไรก็ยังมีข้า เจ้าไม่จำเป็นต้องเหน็ดเหนื่อยจัดการทุกเรื่อง รักษาร่างกายให้ดี รีบคลอดลูกชายอีกสักคนให้พวกเราถึงจะเป็นเรื่องหลัก” 

 

 

           ถาวจวินหลันตะลึงไป จากนั้นใบหน้าก็เริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อ รีบชักมือกลับ และไม่สนใจเรื่องที่หลี่เย่ปิดบังตนเองอีก เพียงแค่กลอกตามองเขาและใช้ข้ออ้างว่าต้องไปเปลี่ยนชุดเดินเข้าห้องไป 

 

 

           ใครจะรู้ว่าหลี่เย่กลับแบกหน้าเดินตามเข้ามา แล้วยังห้ามบ่าวรับใช้ไม่ให้เข้ามาในห้อง 

 

 

           “ท่านคิดจะทำอะไรเพคะ?” ถาวจวินหลันควานหาเสื้อผ้าได้แล้ว เตรียมตัวจะไปเดินไปหลังฉากกั้นเพื่อเปลี่ยนชุด แต่สังเกตเห็นหลี่เย่เดินตามเข้ามาเหมือนเป็นเรื่องปกติ  

 

 

           หลี่เย่หยิบชุดของนางไปด้วยสีหน้าจริงจัง “ข้าจะช่วยแต่งตัวให้ฮูหยินเองเป็นอย่างไร?” 

 

 

           แม้นหน้าตาของเขาดูจริงจัง แต่ถาวจวินหลันกลับรู้สึกหน้าร้อนผ่าว รีบแย่งชุดมา ปากก็พูดว่า “ใครขอให้ท่านทำเพคะ?” 

 

 

           หลี่เย่กลับไม่ยอมปล่อยมือ ทั้งสองคนพัวพันกันอยู่ครู่หนึ่ง บรรยากาศก็เริ่มเป็นใจ ในที่สุดหลี่เย่ก็เป็นฝ่ายชนะ ยิ้มแย้มช่วยถาวจวินหลันถอดเสื้อผ้า แต่กลับไม่ได้รีบใส่เสื้อผ้าที่เตรียมเอาไว้ให้นาง 

 

 

… 

 

 

           ภายในวังหย่งโซ่ว หลังจากไทเฮาส่งถาวจวินหลันกลับไปแล้ว ก็สั่งจางหมัวหมัวว่า “ไปเชิญจวงผินมา” 

 

 

           จางหมัวหมัวย่อมไม่ได้ไปเชิญด้วยตนเอง เพียงสั่งให้นางกำนัลพอมีหน้ามีตาไปเชิญแทน ส่วนนางกลับดูแลปรนนิบัติข้างกายไทเฮาเหมือนเดิม 

 

 

           จางหมัวหมัวย่อมคาดเดาความคิดของไทเฮาได้บ้าง จึงเอ่ยปากถามว่า “ไทเฮาอยากให้จวงผินไปหาฮ่องเต้…” 

 

 

           “อืม” เวลาพูดคุยกับจางหมัวหมัวนั้นไทเฮาดูผ่อนคลายมากขึ้น ไม่ได้ปิดบังอะไร “ฮ่องเต้ไม่กินไม้แข็ง พวกเราก็ทำได้แค่ป้อนของอ่อนให้เขากิน อีกอย่างกู้ซีก็หน้าตาคล้ายกับเด็กคนนั้นจริง หวังว่ากู้ซีจะทำให้ฮ่องเต้คิดถึงเด็กคนนั้น แล้วสงสารตวนชินอ๋องสักครั้ง” 

 

 

           จางหมัวหมัวลังเล “ถ้าเช่นนั้นชายารองถาวเล่าเพคะ? พระองค์คิดจะให้ชายารองถาวเป็นพระชายาองค์รัชทายาทจริงหรือเพคะ?” 

 

 

           นางคิดมาเสมอว่า แม้ไทเฮาทำท่าทางไปเช่นนั้น แต่ความจริงแล้วก็ไม่ได้ชอบถาวจวินหลันนัก และคิดว่าไทเฮาจะต้องหาพระชายาองค์รัชทายาทคนใหม่ให้ตวนชินอ๋องแน่ แต่ตอนที่นางนั่งฟังไทเฮาพูดคุยกับถาวจวินหลัน นางก็แอบตกใจลึกๆ 

 

 

           ไทเฮาหัวเราะ “ทำไม ใช่เรื่องมาพูดโกหกหรืออย่างไร? เจ้าคิดว่าข้าหลอกถาวซื่ออย่างนั้นหรือ?” 

 

 

           จางหมัวหมัวอดหัวเราะไม่ได้ “จะเป็นไปได้อย่างไรเพคะ? เพียงอดแปลกใจไม่ได้ เหตุใดพระองค์ถึงเปลี่ยนความคิดกะทันหันเล่าเพคะ?” คิดถึงหลายวันก่อนหน้านี้ที่หลี่เย่แอบเข้าวังหลวงมา ทันใดนั้นนางก็เข้าใจ “เกี่ยวกับตวนชินอ๋องหรือเพคะ?” 

 

 

           ไทเฮาถอนหายใจ “ว่ากันว่า โตแล้วก็ไม่ใช่ลูกแม่อีกต่อไป หลานเองก็เช่นเดียวกัน เย่เอ๋อร์พบเจอความยากลำบากมาตั้งแต่เด็ก กลายเป็นเด็กมีนิสัยอดกลั้น และอบอุ่นตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา น้อยครั้งที่จะร้องขออะไร แต่ตอนนี้เขากลับยืนหยัดอย่างยากจะหาได้ หากเจ้าต้องเห็นท่าทีมุ่งมั่นของเขา เจ้าก็คงไม่อาจใจแข็งต่อไปได้” 

 

 

           วันนั้นหลี่เย่พูดด้วยท่าทางมาดมั่น “เสด็จย่า พระชายาและว่าที่ฮองเฮาของกระหม่อมต้องเป็นถาวจวินหลันเท่านั้น ขอให้พระองค์สนับสนุนด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

           ทุกครั้งที่คิดถึงภาพนี้ ไทเฮาก็สะท้อนใจนับไม่ถ้วน น้อยครั้งที่หลี่เย่ดื้อรั้นและมาดมั่นเช่นนี้ และยิ่งไม่เคยให้ใจกับผู้หญิงคนไหนมากเท่านี้มาก่อน 

 

 

           ก่อนหน้านี้นางคิดว่าหลี่เย่ไม่ให้ความสำคัญกับสตรี แต่ตอนนี้ดูแล้วหลี่เย่ไฉนเลยจะไม่ให้ความสำคัญกับสตรี? เป็นคนที่หลงหัวปักหัวปำเท่านั้นเอง! ไม่รู้ว่าถาวจวินหลันมีบุญพาวาสนามาจากที่ใด ถึงได้ทำให้หลี่เย่ลุ่มหลงได้เพียงนี้! 

 

 

           ไทเฮาแอบเสียใจเล็กน้อย คิดว่าหากนำถาวจวินหลันไป…ตั้งแต่แรก บางทีวันนี้คงไม่มีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้น แต่เรื่องมาถึงตอนนี้แล้วนึกเสียใจก็ไร้ประโยชน์ 

 

 

           ยังดีที่ถาวจวินหลันไม่ใช่หญิงล่มเมือง แท้จริงแล้วก็ยังถือได้ว่าบริสุทธิ์เที่ยงธรรม ถือว่าเป็นโชคดีในความโชคร้าย 

 

 

           จางหมัวหมัวคิดจะพูดชื่นชมถาวจวินหลัน จึงพูดยิ้มๆ ว่า “ที่จริงหากให้บ่าวพูด ชายารองถาวนับว่าดีมากเพคะ หลายปีมานี้เกิดเรื่องมากมาย แต่นางก็จัดการได้อย่างดี อีกทั้งยังช่วยเหลือตวนชินอ๋องไว้มากมาย นางย่อมเหมาะสมกับตำแหน่งพระชายาองค์รัชทายาท ต่อให้มีส่วนขาดตกบกพร่อง แต่หากไทเฮาสั่งสอนเสียหน่อย ย่อมต้องเหมาะสมแน่เพคะ” 

 

 

           ไทเฮายิ้มมองจางหมัวหมัวทีหนึ่ง อ่านความคิดของนางออก แต่ก็ไม่ได้พูดเจาะประเด็น “แต่ยังมีปัญหาเรื่องชาติกำเนิด” แม้ว่าตระกูลถาวเป็นตระกูลที่ไม่เลว อีกไม่นานก็คงฟื้นกลับมาได้ แต่ตอนนี้ยังให้ความช่วยเหลือหลี่เย่ได้ไม่มากขนาดนั้น 

 

 

           จางหมัวหมัวไม่รู้ว่าจะรับต่ออย่างไร สุดท้ายแล้วก็ถอนหายใจ “ทำไมถาวจื้ออู้ถึงได้รับโทษ ไทเฮาก็ทราบดีมิใช่หรือเพคะ?” 

 

 

           ไทเฮาถอนหายใจเบาๆ  

 

 

           นายบ่าวสองคนพูดคุยกันเสียงเบาอยู่ครู่หนึ่ง จวงผินก็ยังไม่มาสักที สุดท้ายแล้วไทเฮาก็ฉุกคิดเรื่องนี้ได้ “เหตุใดจวงผินยังไม่มาเล่า?” 

 

 

           จางหมัวหมัวเองก็ไม่แน่ใจ “อาจจะมีเรื่องขัดจังหวะก็ได้เพคะ” 

 

 

           ผ่านไปอีกครู่หนึ่งจวงผินก็ยังไม่มา แต่นางกำนัลจากตำหนักของจวงผินกลับมาแทน นางกำนัลคนนั้นมีสีหน้าหวาดระแวง “จวงผินเหนียงเหนียงบอกว่าต้องปรนนิบัติฮ่องเต้ อาจจะมาช้าหน่อยเพคะ” 

 

 

           ไทเฮานิ่งเงียบไปนาน สุดท้ายก็พยักหน้า “ข้ารู้แล้ว” 

 

 

           ต่อหน้านั้นจางหมัวหมัวไม่ได้แสดงท่าทีอะไรออกมา แต่ในใจลึกๆ กลับไม่พอใจ จวงผินยุ่งมากขึ้นเรื่อยๆ ช่วงนี้มาหาน้อยครั้งไม่ต้องพูดถึง คิดไม่ถึงว่าวันนี้ไปเชิญมาก็ยังปฏิเสธ 

 

 

           ปรนนิบัติฮ่องเต้อะไรกัน ต่อให้มาหาไทเฮาจริง ไปหาฮ่องเต้ช้าหน่อยก็ไม่เป็นไร หรือว่าฮ่องเต้กล้ากล่าวโทษนางอย่างนั้นหรือ? ต่อให้ฮ่องเต้ทราบ ก็ต้องบอกให้นางมาหาไทเฮาก่อนมิใช่หรือ! 

 

 

           “ให้คนไปเชิญจากทางฮ่องเต้ดีหรือไม่เพคะ?” จางหมัวหมัวยังถามอย่างไม่ยอมแพ้ 

 

 

           ไทเฮาส่ายหน้า “หากนางไม่อยากมา จะฝืนไปก็ไร้ประโยชน์ จำเป็นอะไรอีกเล่า? ช่างเถิดๆ เด็กโตแล้วก็ปีกกล้าขาแข็งเช่นนี้ ไฉนเลยจะมาเชื่อฟังกันตลอดชีวิต? ลูกหลานย่อมต้องมีชีวิตของตัวเอง” 

 

 

           ไทเฮามองขาดแล้ว จึงไม่ได้เก็บไปคิดเล็กคิดน้อย 

 

 

           จางหมัวหมัวเห็นไทเฮาเป็นเช่นนี้ก็รู้สึกเจ็บปวดในเป็นยิ่ง นางคิดว่าจวงผินเริ่มอกตัญญูเสียแล้ว 

 

 

           บรรยากาศภายในห้องพลันเงียบสงบและหนักอึ้ง ฉับพลันก็มีนางกำนัลทางนั้นเข้ามารายงาน “อี๋เฟยเหนียงเหนียงขอเข้าเฝ้า บอกว่ามาทำความเคารพไทเฮาเพคะ” 

 

 

           ไทเฮาตกใจเล็กน้อย “นางมาทำอะไร?” อี๋เฟยเหนียงเหนียงเป็นฝ่ายเดียวกับฮองเฮา ตอนแรกนางก็เคยข่มอี๋เฟยเพื่อยกตำแหน่งกู้ซี อี๋เฟยน่าจะแค้นนางถึงจะถูก อีกทั้งนางยังเคยพูดว่าไม่มีธุระก็ไม่ต้องมาทำความเคารพ อย่ามาทำลายความสงบสุขของนางอีก ดังนั้นบรรดาพระสนมภายในวังหลังจึงไม่ได้มากัน 

 

 

           อี๋เฟยมาหากะทันหันเช่นนี้ หรือว่าจะมาเพื่อทำความเคารพ? ไทเฮาคิดว่าไม่ใช่ แต่ก็ไม่เข้าใจ จึงพยักหน้า “ให้เข้ามาเถิด” ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไร พบหน้าก็จะเข้าใจเอง