เรื่องพวกนี้ล้วนง่ายดาย หวงฝู่อวี้ไม่ได้คัดค้านอย่างไร หลังจากได้ยินเมิ่งเชี่ยนโยวกำชับอีกไม่กี่คำ ก็เอามือไขว้หลัง ทำทีเดินวางมาดออกไป
เมิ่งเชี่ยนโยวกำชับเฮ่ออี “ในโรงงานล้วนเป็นคนงานทั้งสิ้น ไม่มีอันตรายอย่างแน่นอน เจ้าไม่จำเป็นต้องตามติดคุณชายรองตลอดเวลา แค่อารักขาอยู่หน้าประตูก็พอ ถ้าหากเขามีเรื่องต้องออกไป เจ้าค่อยตามไป”
เฮ่ออีรับคำ แล้วไปยังประตูโรงงาน
เมิ่งเชี่ยนโยวหาเสี่ยวซืออีกครั้ง พูดกับเขาด้วยรอยยิ้มว่า “คนนั้นเป็นน้องชายของเพื่อนข้าคนหนึ่ง อยากจะให้เขามาเรียนรู้ที่นี้บ้าง ท่านไม่ต้องใส่ใจนะ ทำงานของตัวเองให้ดีก็พอแล้ว”
เสี่ยวซือใจชื้นขึ้น เมื่อเห็นว่าเป็นเวลาไม่เช้าแล้ว จึงออกจากโรงงานไปซื้อวัตถุดิบสำหรับอาหารกลางวัน
หลายวันแล้วที่ไม่ได้ไปเยี่ยมเปาอีฝาน พอดีวันนี้มีเวลาว่าง และเมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่ได้นั่งรถม้า จึงมายังหน้าประตูจวนเปาพร้อมกับชิงหลวนและจูหลี
ทหารเฝ้าประตูเห็นนาง ก็รีบเข้ามาทักทายด้วยความยินดี “แม่นางเมิ่ง ท่านมาแล้ว”
“นายน้อยบ้านท่านเป็นอย่างไรบ้าง” เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มถาม
“เพราะได้แม่นางเนี่ยแหละขอรับ ตอนนี้นายน้อยสามารถลุกจากเตียงได้แล้ว แม่นางเข้าไปเห็นแล้วก็จะรู้”
เป็นเวลากว่าหนึ่งเดือนแล้วที่เปาอีฝานได้รับบาดเจ็บ ก็น่าจะลุกจากเตียงขยับตัวเดินได้บ้างแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวเดินเข้าไปในจวน แล้วตรงเข้าไปยังเรือนของเปาอีฝาน เมื่อสาวใช้ที่เฝ้าประตูอยู่เห็นนาง ก็รีบรายงานเสียงดังทันที “นายน้อย นายหญิง แม่นางเมิ่งมาแล้วเจ้าค่ะ”
ม่านประตูเปิดจากข้างในอย่างรวดเร็ว ซุนฮุ่ยยิ้มเดินออกมาต้อนรับ พลางพูดอย่างยิ้มแย้มว่า “น้องโยวเอ๋อร์ไม่ได้มาเสียนาน มั่วเอ๋อร์คิดถึงเจ้ามากเลยนะ” พลางเดินเข้ามาต้อนรับและโอบแขนของนางเดินเข้าไปในห้อง
“ท่านแม่ทัพใหญ่จะแต่งงาน ที่จวนของท่านไม่มีใครเลย พระชายาจึงเรียกให้ข้าไปช่วยทุกวัน เลยไม่มีเวลาว่างมาหาเลย” เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มอธิบาย
เมิ่งเชี่ยนโยวกับแม่ทัพฉู่รู้จักกันมาหลายปีแล้ว ไปช่วยเขาก็เป็นเรื่องสมเหตุสมผล ซุนฮุ่ยพยักหน้า
เปาอีฝานกำลังฝึกขยับตัวเดินในห้อง ร่างกายมีเหงื่อไหลโซม เห็นนางเข้ามาในห้อง ก็พูดอย่างยิ้มแย้มว่า “ฮุ่ยเอ๋อร์ กับมั่วเอ๋อร์บ่นคิดถึงเจ้าทุกวัน จนหูของข้าใกล้จะตายด้านแล้ว”
พอพูดถึงเจ้าตัวเล็ก เมิ่งเชี่ยนโยวถึงพบว่าเขาไม่ได้อยู่ในห้อง จึงยิ้มถามว่า “มั่วเอ๋อร์ล่ะเจ้าคะ”
“ท่านแม่ของข้าพาเขาไปเที่ยวตลาดแล้ว เพิ่งไปเมื่อกี้ ก่อนเวลากลางวันก็คงกลับมาแล้ว”
ซุนฮุ่ยสั่งสาวใช้ให้มารินน้ำชา
เปาอีฝานหยุดเดิน นั่งเป็นเพื่อนเมิ่งเชี่ยนโยวบนเก้าอี้ที่อยู่ข้างโต๊ะ ซุนฮุ่ยหยิบผ้าขนหนู ซับเหงื่อที่อยู่บนหน้าผากให้เขาอย่างนุ่มนวล
เปาอีฝานยกถ้วยน้ำชาขึ้น ดื่มสองสามคำ แล้วถามอย่างแปลกใจว่า “เหตุใดท่านแม่ทัพใหญ่ถึงแต่งงานเร็วเช่นนี้เล่า”
“ท่านไม่ได้ยินเรื่องซุบซิบของผู้คนในเมืองหลวงจริงๆ หรือเจ้าคะ ท่านแม่ทัพใหญ่ได้เห็นฮูหยินครั้งแรกก็เกิดความรักขึ้นทันที จึงรีบไปสู่ขอโดยไม่ลังเล” เมิ่งเชี่ยนโยวพูดอย่างติดตลก
เปาอีฝานส่ายศีรษะ “ข้าติดตามท่านแม่ทัพใหญ่อยู่หลายปี นิสัยของเขา ข้าก็พอรู้อยู่บ้าง ถ้าบอกว่าเขามีรักแรกพบกับสาวน้อยก็คงเป็นไปไม่ได้ นอกเสียจากว่าจะเป็นเพราะความรับผิดชอบเขาถึงจะแต่งงานกับหญิงสาวที่มีอายุน้อยกว่าเขามากๆ”
เมิ่งเชี่ยนโยวถลึงตาโตด้วยความตกตะลึง ผ่านไปชั่วครูถึงจะยกนิ้วโป้งให้เขา และพูดอย่างยิ้มแย้มว่า “ท่านพูดได้ถูกต้องจริงๆ”
เปาอีฝานเดาไปอย่างมั่วๆ คิดไม่ถึงว่าจะเดาถูกจริง ใบหน้าก็แสดงความประหลาดใจออกมาแล้วยิ่งไม่ต้องพูดถึงซุนฮุ่ย นางจึงถามตรงๆ อย่างสงสัยว่า “ตกลงแล้วเรื่องมันเป็นอย่างไรกันแน่”
เมิ่งเชี่ยนโยวมองในห้องแวบหนึ่ง
ซุ่นฮุ่นรู้สึกได้ จึงสั่งว่า “พวกเจ้าออกไปก่อน และออกห่างไปไกลๆ หน่อย หากไม่ได้ยินคำสั่งของข้าก็ไม่อนุญาตให้เข้ามา”
สาวใช้ทั้งในและนอกห้องที่เฝ้าอยู่ต่างรับคำ แล้วออกไปนอกเรือนทั้งหมด
เมิ่งเชี่ยนโยวเล่าให้พวกเขาฟังด้วยเสียงเบา ถึงเรื่องที่ทั้งแม่ทัพใหญ่และฮูหยินของแม่ทัพตอนที่กินยาเสน่ห์เข้าไปพร้อมกัน และจับพลัดจับผลูจนเกิดความสัมพันธ์ขึ้น
เมื่อทั้งคู่ฟังจบ ก็ตกใจจนไม่ได้พูดอะไรออกมาครู่ใหญ่ สักพัก เปาอีฝานถึงจะย่นหัวคิ้วถาม “ท่านแม่ทัพแต่งงานกับนางก็เพราะความรับผิดชอบจริงๆ ด้วย”
เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายศีรษะยิ้ม “ฮูหยินของแม่ทัพทั้งน่ารัก น่าเอ็นดู ท่านแม่ทัพก็มีใจหวั่นไหวบ้างแหละเจ้าค่ะ มิเช่นนั้นคงจะไม่รีบถ่อไปสู่ขอถึงบ้านหรอก”
“ไม่กี่วันก่อน ที่จู่ๆ พระชายารองของจวนอ๋องฉีตายลง ก็มีความเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ด้วยหรือไม่” ซุนฮุ่นกดเสียงให้เบาลง ถามอย่างสงสัย
เมิ่งเชี่ยนโยว พยักหน้าเบาๆ ไม่ได้พูดอะไรเพิ่มอีก แล้วเลี่ยงจากเรื่องหนักๆ มาพูดเรื่องเบาๆ บ้าง “พระชายารองกระทำเรื่องเลวร้ายเช่นนี้ และประสบกับจุดจบเช่นนี้ ก็ถือว่ากรรมตามสนองแล้ว อ๋องฉีเห็นแก่ที่นางตรากตรำทำงานให้จวนอ๋องเป็นเวลาหลายปี นับว่าเป็นการตายที่ให้เกียรตินางแล้ว”
ซุนฮุ่นสะอื้นไห้ไม่หยุด “เป็นหญิงที่จิตใจเ**้ยมโหดจริงๆ นึกไม่ถึงว่าพระชายารองจะทำเรื่องที่ไร้หัวใจเช่นนี้ เคราะห์ดีที่ท่านแม่ทัพใหญ่ได้สู่ขอฮูหยินของแม่ทัพแล้ว มิฉะนั้น ชีวิตของแม่นางผู้นั้นคงพังทลายแล้ว”
“ไม่เป็นเช่นนั้นหรอก” เปาอีฝานคัดค้านนาง “ท่านแม่ทัพใหญ่เป็นคนที่มีความรับผิดชอบคนหนึ่ง ต่อให้เขาไม่ชอบนาง ก็จะช่วยให้นางมีหน้าตามีตาบ้าง”
“ไม่ว่าอย่างไร ตอนนี้ทุกคนก็ต่างมีความสุข นี่แหละที่เป็นเรื่องดี” เมิ่งเชี่ยนโยวพูดเสียงดัง
เปาอีฝานกับซุนฮุ่ยพยักหน้าคล้อยตาม
จากนั้นเมิ่งเชี่ยนโยวตรวจดูอาการบาดเจ็บของเปาอีฝาน เห็นว่าขาของเขามีกล้ามเนื้อใหม่ขึ้นมา จึงพูดว่า “ฟื้นฟูได้ดีมากเจ้าค่ะ บางทีไม่จำเป็นต้องใช้เวลาถึงครึ่งปี ก็สามารถกลับไปเป็นเหมือนเดิมได้”
เมื่อที่ทั้งสองได้ยิน ก็รู้สึกยินดีขึ้นมาอีก
ผ่านไปหนึ่งชั่วยามกว่า เปาฮูหยินก็พามั่วเอ๋อร์กลับมา ทันทีที่เจ้าตัวเล็กเห็นนาง ก็ผายมือเล็กๆ ออก กระโจนเข้าไปยังอ้อมอกของนาง และร้องเรียก “คุณอา คุณอา” ไม่หยุด
เมิ่งเชี่ยนโยวอุ้มเขาให้นั่งลงบนตักของตน ถามเขาอย่างยิ้มแย้มว่าเมื่อครู่ไปที่ใดมา เจออะไรสนุกบ้างหรือไม่
มั่วเอ๋อร์เล่าเรื่องตั้งแต่ที่เขากับเปาฮูหยินออกจากบ้าน ไปจนถึงสิ่งได้เห็นและได้ยินตลอดทางที่กลับมาอย่างใสซื่อ
เมิ่งเชี่ยนโยวตั้งใจฟัง ถามคำถามเขาตลอด มั่วเอ๋อร์ก็ค่อยๆ ตอบทีละคำถาม
เปาฮูหยินอาศัยช่วงเวลานี้ เข้าไปในครัว แล้วสั่งให้ทำอาหารดีๆ สองสามอย่าง
ก่อนอาหารกลางวัน เปาชิงเหอกลับมาบ้าน เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวก็พูดขอบคุณไม่หยุด “แม่นางเมิ่ง ฤดูหนาวปีนี้ คนส่วนใหญ่ในเป่ยเฉิงจะไม่หิวโซแล้ว ต้องขอบคุณเจ้าเป็นอย่างมาก”
เมิ่งเชี่ยนโยวโบกมือปฏิเสธ “ใต้เท้าเปาเกรงใจเกินไปแล้วเจ้าค่ะ พวกเขาออกแรง ข้าออกเงิน ทุกคนก็ได้ตามที่ต้องการ” พูดจบ ก็พูดต่อว่า “พื้นที่รกร้างยังบุกเบิกไม่เสร็จ หลังจากต้นฤดูใบไม้ผลิปีหน้า ก็ยังต้องจ้างพวกเขาต่ออีกเจ้าค่ะ”
เปาชิงเหอพยักหน้ายิ้มให้ “ข้าได้ยินมาแล้ว ตอนนี้มีหลายคนเฝ้ารอให้ปีนี้รีบผ่านไปโดยเร็ว”
กินข้าวกลางวันเสร็จแล้ว ก็สนทนากันอีกสักพัก เมิ่งเชี่ยนโยวก็ลุกขึ้นบอกลา กลับไปยังโรงงาน เมื่อเห็นหวงฝู่อวี้ยังดูมีความสุขดี ไม่ได้แสดงอารมณ์เบื่อหน่ายแม้แต่น้อย จึงวางใจขึ้น สั่งให้กัวเฟยควบรถม้ากลับไปยังหนานเฉิง
ไม่กี่วันถัดจากนั้น หวงฝู่อวี้ตามเมิ่งฉีและเหล่าทหารองครักษ์สามสี่คนออกเช้าเย็นกลับ และทุกวันที่กลับมากินข้าวเย็นเสร็จ ก็จะนำเรื่องที่ตัวเองทำในโรงงานทั้งวันมาเล่าให้แก่เมิ่งเชี่ยนโยวฟัง
เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นว่าเขาดูมีความสุขกับสิ่งนี้ จึงหายห่วงเป็นปลิดทิ้ง ทุกๆ วันนางจะสั่งให้คนที่เหลือในจวนช่วยนางตำยาสมุนไพร นางผสมและเตรียมยาเม็ดอย่างตั้งใจ ไม่เพียงแต่ผสมยารักษาแผลเป็นแล้ว ยังผสมยารักษาแผลบาดเจ็บภายนอก และยาช่วยเลือดไหลเวียนที่ห้ามเลือดได้ แล้วแบ่งส่งให้เหวินซื่อส่วนหนึ่ง เหวินซื่อดีใจเป็นอย่างยิ่ง รีบสั่งให้คู่ค้าส่งยาสมุนไพรให้แก่เมิ่งเชี่ยนโยวอีกหนึ่งคันรถ
ไม่รู้ว่า หวงฝู่อี้เซวียนยุ่งหรือว่าเพราะมีเหตุอันใด หลายวันมานี้ไม่เคยมาหาแม้แต่ครั้งเดียว
เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร สั่งให้ผู้คนในจวนบดยาสมุนไพร ผสมยาเม็ดต่อไป
หลายวันผ่านไป หวงฝู่อวี้ไม่ได้สร้างเรื่องอะไรเลย เมิ่งเชี่ยนโยวก็วางใจลง
วันนี้ก็เป็นเหมือนวันปกติทั่วไป เมิ่งเชี่ยนโยวพาผู้คนเข้ามาในห้องเพื่อทำยาเม็ด ทหารรักษาการณ์คนหนึ่งที่ทำงานและดูแลธุระเล็กน้อยในโรงงาน ขี่ม้าเร็วมาถึงหน้าประตูบ้าน เขาลงจากม้าอย่างรวดเร็ว พอทิ้งบังเ**ยน ก็รีบเร่งเข้ามาในเรือนของเมิ่งเชี่ยนโยว และรายงานอย่างร้อนรนว่า “นายหญิง มีคนจำนวนหนึ่งไปที่โรงงาน ตามหาผู้จัดการหวงฝู่อวี้ เถ้าแก่เนี้ยให้ข้ารีบมาเรียกท่านให้ไปหา”
เมิ่งเชี่ยนโยว ชิงหลวน จูหลี และกัวเฟยลุกขึ้นยืน ล้างมือให้สะอาด พลางสั่งคนที่เหลือว่า “พวกเจ้าตำยาสมุนไพรต่อไป ส่วนพวกเขาจะตามข้าไป”
พูดจบ ก็เดินออกไปนอกเรือนแล้ว
พวกชิงหลวนไปลากม้าที่หลังสวน ทหารองครักษ์ออกจากประตูตามหลังเมิ่งเชี่ยนโยว ชิงหลวนคล้องม้าไว้ และส่งให้แก่เมิ่งเชี่ยนโยว เมิ่งเชี่ยนโยวลอยตัวขึ้นบนม้า และควบไปยังตอนเหนือของเมืองไป สี่คนที่เหลือตามอยู่ด้านหลัง
เป่ยเฉิงกับหนานเฉิงค่อนข้างห่างไกลกัน กว่าพวกเขาจะมาถึง เมิ่งฉีก็ได้พาทหารองครักษ์หลายคนกันที่ประตูข้างหน้า และตรงข้ามพวกเขาเป็นคุณชายเศรษฐีที่สวมเสื้อผ้าราคาแพง และนั่งบนม้าตัวใหญ่ แต่ไม่เห็นเงาของหวงฝู่อวี้
เมื่อถึงหน้าประตูโรงงาน ก็หยุดและลงจากม้า นำบังเ**ยนส่งให้ชิงหลวน เมิ่งเชี่ยนโยวเดินมาถึงหน้าประตูโรงงาน หันไปเผชิญหน้ากับพวกเขา และถามอย่างเกรงอกเกรงใจ “ข้าคือเจ้าของโรงงานนี้ ไม่ทราบว่าพวกท่านขวางอยู่หน้าประตูโรงงานเพราะเหตุอันใดหรือเจ้าคะ”
คนเหล่านั้นได้ปะทะกับเมิ่งฉีแล้ว จึงรู้สึกหงุดหงิดก่อนแล้ว เมื่อเห็นเมิ่งเชี่ยนโยวออกมาพูด หนึ่งในนั้นที่เป็นวัยรุ่นอายุราวสิบห้าสิบหกปี ประเมินดูนางสองสามครั้ง แล้วเบ้ปากเล็กน้อย พูดขึ้นด้วยความดูแคลน “พวกข้าทั้งหลายมาหาหวงฝู่อวี้ หากรู้ว่าอะไรเป็นอะไร ก็รีบไปเรียกเขาออกมาพบกับพวกข้า มิเช่นนั้น จะพังโรงงานนี้ของเจ้า”
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้โกรธ และยังสอบถามอย่างสุภาพว่า “พวกท่านคือใคร เหตุใดจึงมาตามหาคุณชายรองหรือเจ้าคะ”
คุณชายอีกคนที่วัยไล่เลี่ยกันก็พูดจาสบประมาทว่า “บ่าวชนชั้นต่ำเช่นเจ้าไม่ควรค่าที่จะรู้หรอกว่าพวกข้าเป็นใคร รีบปล่อยหวงฝู่อวี้ออกมาเสีย พวกข้ากำลังรอเขาไปล่าสัตว์ด้วยกันอยู่นะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวยังคงไม่รีบร้อน และถามอย่างสุภาพอีกครั้ง “ไม่ทราบว่า พวกท่านรู้ได้อย่างไรเจ้าคะ ว่า คุณชายรองอยู่ที่โรงงานของข้า”
เสียงเต็มไปด้วยความระอาของคุณชายท่านหนึ่งที่สวมเสื้อสีฟ้า โยกตัวไปมาบนหลังม้า ทำท่าทางคล้ายกับว่าจะพุ่งเข้าไปในโรงงานให้ได้ทุกเมื่อ พูดขึ้น “เจ้าตัวอ่อนชั้นต่ำ ข้าไว้หน้าแล้ว แต่เจ้าก็ยังจะหน้าด้านอีก มีที่ไหนกันที่จะให้เจ้ามาถามไถ่คุณชายอย่างพวกเราได้ รีบไปเรียกหวงฝู่อวี้ออกมา มิเช่นนั้นข้าจะเหยียบโรงงานของเจ้าให้แบนราบ”
สีหน้าของเมิ่งเชี่ยนโยวนิ่งลง เสียงเริ่มเย็นชา “ถูกต้องเจ้าค่ะ หวงฝู่อวี้อยู่ที่โรงงานของข้า แต่ข้าจะไม่อนุญาตให้เขาพบพวกท่าน พวกท่านทั้งหลายจงกลับไปเสียเถิดเจ้าค่ะ”
“เจ้าว่าอะไรนะ” คุณชายเสื้อฟ้าฉุนเฉียว ใช้แส้ม้าชี้ไปที่เมิ่งเชี่ยนโยว “ในเมืองหลวงนี้ ยังไม่เคยมีใครกล้าหาเรื่องกับคุณชายอย่างพวกเรา ข้าว่าเจ้าคงเบื่อหน่ายกับชีวิตแล้วสินะ!”
เมิ่งเชี่ยนโยวหรี่ตาลง มีความโกรธอยู่ในเสียง “คุณชายท่านนี้ ก่อนทำอะไรก็ลองคิดถึงผลที่ตามมาก่อน ถ้าหากท่านยังใช้แส้นั้นชี้ที่ข้าอีก ข้าจะหักท่อนแขนของท่านโดยไม่เกรงใจก่อนนะเจ้าคะ”
คุณชายเสื้อฟ้าคงไม่เคยมีใครพูดใส่แบบนี้ จึงอึ้งไปชั่วครู่ แล้วความโกรธก็พลุ่งพล่านขึ้น ปากร้องด่าว่า “เจ้าของชั้นต่ำ บังอาจพูดจาเช่นนี้กับข้า วันนี้ข้าจะตีเจ้าให้ถึงตายเลยคอยดู” แส้ม้าฟาดตรงมายังเมิ่งเชี่ยนโยว
กลุ่มคนที่มุงดูรอบๆ ร้องเสียงตกใจ
เมิ่งเชี่ยนโยวยืนอยู่ที่เดิม ไม่หลบไม่เลี่ยง
ชิงหลวนกับจูหลีกระโจนเข้ามาในเวลาเดียวกัน คนหนึ่งคว้าแส้ม้าไว้ และใช้แรงกระชาก ส่วนอีกคนยกขากระโดดลอยตัว และถีบคุณชายเสื้อฟ้าตกลงมาจากหลังม้า
คุณชายอีกสามคน ไม่คาดคิดว่าพวกนางจะโต้กลับเช่นนี้ จึงร้องตกใจเป็นเสียงเดียวกันว่า “จิงเหิง!”
การเคลื่อนไหวของชิงหลวนและจูหลีเร็วเกินไป ต่อให้คุณชายจิงเหิงจะมีความสามารถการต่อสู้บ้าง แต่ก็แสดงออกมาไม่ทัน เห็นอีกทีก็ใกล้จะตกจากหลังม้า แล้วต้องล้มจนใบหน้าเกิดรอยบวมเขียวเสียแล้ว คนสองคนที่อยู่ข้างๆ ก็กระโจนเข้ามา ด้วยการเคลื่อนไหวที่รวดเร็ว และรับตัวเขาได้พอเหมาะพอดี
คุณชายสามท่านที่อยู่บนม้าถอนหายใจโล่งอกพร้อมกัน กลุ่มคนที่มุงดูอยู่ก็พลอยโล่งใจราวกับได้ดึงหัวใจที่ทะลุออกจากอกกลับเข้ามา
คุณชายจิงเหิงยืนบนพื้นด้วยความตื่นตระหนกจนสติหลุด ใบหน้าขาวซีด ท่าทียโสจองหองเมื่อครู่หายไปหมด
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มมุมปาก ถามด้วยเสียงที่เบิกบานว่า “คุณชายท่านนี้ รู้สึกอย่างไรบ้างเจ้าคะ”
แน่นอนว่าคำถามนี้ก็คือการราดน้ำมันลงบนไฟดีๆ นี่เอง สีหน้าที่ซีดเผือดของคุณชายจิงเหิงเปลี่ยนเป็นสีแดงทันใด มือชี้ไปที่ชิงหลวนกับจูหลี แล้วออกคำสั่งแก่สองคนนั้น “พวกเจ้าไปกำจัดนังบ่าวรับใช้เฮงซวยสองคนนี้”
ทั้งสองคนรับคำ ร่างกายแยกกันไปอย่างรวดเร็ว บุกเข้าไปโจมตีนางสองคน
ชิงหลวนกับจูหลีตั้งรับอย่างใจเย็น
เมิ่งเชี่ยนโหยวไม่พอใจเสียแล้ว สั่งกัวเฟยกับทหารองครักษ์ที่กลับไปรายงาน “ไม่ได้ขยับมือขยับเท้ามาหลายวัน พวกเจ้าทั้งสองก็ไปออกแรงเสียหน่อย”
ทั้งสองเป็นองครักษ์ส่วนตัว ดังนั้นฝีมือของพวกเขาก็ไม่เลวเช่นกัน หากสู้กันตัวต่อตัว ก็ไม่แน่ว่าชิงหลวนกับจูหลีสองคนจะชนะไหว แต่ตอนนี้มีกัวเฟยกับทหารองครักษ์หนึ่งคนมาเข้าร่วม สถานการณ์ก็ต่างกันแล้ว สิ่งที่ชัดเจนคือ ฝั่งที่คนเยอะกว่า จะได้เปรียบกว่า ยังไม่ทันลงมือได้ถึงยี่สิบกระบวนท่า องครักษ์ทั้งสองก็โดนเตะกระเด็นออกไป
ผู้คนโห่ร้องไม่ขาดสาย
คุณชายจิงเหิงโมโหอย่างมาก ตวาดด่าทั้งสองคน “พวกเศษสวะไร้ประโยชน์ ยังไม่รีบลุกขึ้นอีก ทำคุณชายอย่างข้าต้องมาอับอายขายขี้หน้าเสียเปล่า”
เขาพูดอย่างสบายๆ แต่องครักษ์ทั้งสองดิ้นรนอยู่หลายครั้ง ก็ไม่ได้ลุกขึ้นมา
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า ชื่นชมพวกเขาอย่างไร้กังวล “ทำได้ไม่เลว เย็นนี้ข้าจะเข้าครัวลงมือทำอาหารอร่อยๆ ให้พวกเจ้าสักสามสี่อย่างนะ”