ส่วนที่ 3 ภาคก่อกำเนิดพายุโหมอัสนีคลั่ง ตอนที่ 23 ข้ามารับคน

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

เรือนหลังเล็กเงียบเป็นเป่าสาก

เมื่อก่อนเฉินฉางเซิงเคยเห็นโจวทงมาก่อน และไม่ใช่แค่ครั้งเดียว

แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้พบกับโจวทงจริงๆ

ได้พบตัวตนที่แท้จริงของโจวทง

เขามองใบหน้าซีดขาวของโจวทง ริมฝีปากทั้งสองที่บางราวใบมีด ชุดขุนนางสีแดงสดราวกับโลหิต รับรู้ได้ถึงกลิ่นอายน่าหวาดกลัวที่ยากจะจินตนาการ ได้กลิ่นคาวเลือดที่คละคลุ้งขึ้นเรื่อยๆ ราวกับว่าเป็นความจริงก็ไม่ปาน

สุดท้ายสายตาของเขาไปหยุดอยู่ที่มือของโจวทง

มือคู่นั้นของเขาเรียวยาวอย่างมาก เล็บมือถูกตัดแต่งอย่างเรียบร้อย ไม่เห็นถึงเศษสกปรกแม้แต่น้อย และยิ่งไม่มีรอยเลือดให้เห็น

แต่เขารู้ว่า มือคู่นี้เคยฆ่าคนในราชตระกูลเฉินและขุนนางที่ภักดีต่อราชวงศ์ไปมากมาย ทั้งยังควักดวงตาและหัวใจของคนเป็นๆ มาไม่น้อย

เฉินฉางเซิงรู้สึกว่าหัวใจของตนเต้นเร็วขึ้นเรื่อยๆ หลังจากนั้นก็เกิดความคิดหนึ่งขึ้นมา มือคู่นี้ของโจวทงช่างเหมาะสมกับการจับกระบี่อย่างมาก

ดังนั้นเขาจึงพูดตอบกลับไป “ตลอดทางผู้อาวุโสซูหลียังเคยสอนเพลงกระบี่ให้กับข้าด้วย”

กระบี่นั้นใช้สำหรับฆ่าคน คำพูดเป็นดั่งกระบี่ และทำลายพลังของอีกฝ่ายลง

เฉินฉางเซิงไม่เข้าใจเรื่องพวกนี้แต่กลับทำการรับมือออกมาอย่างเป็นธรรมชาติ

ตลอดทางลงใต้นับหมื่นลี้ สิ่งที่ซูหลีเคยสอนให้กับเขาเหล่านั้น ยังหลงเหลืออยู่ในตัวของเขามาโดยตลอด และไม่หยุดที่จะสร้างประโยชน์ออกมา

ถังซานสือลิ่วกับเซวียนหยวนผ้อได้สติขึ้นมาใบหน้าเผยให้เห็นความระแวดระวัง

โจวทงยิ้มโดยที่ไม่พูด

ดอกที่เหลืออยู่บนต้นไห่ถังค่อยๆ ร่วงลงมา มีอยู่หลายกลีบที่ร่วงลงบนไหล่ของเฉินฉางเซิง

ความมืดมิดที่กดดันในเรือนหลังเล็กหายไปอย่างไร้ร่องรอยในทันที กลิ่นคาวเลือดที่คละคลุ้งนั่นก็ยิ่งไม่รู้ว่าหายไปไหน เหลือไว้เพียงกลิ่นดอกไม้จางๆ

ไม่มีใครพูดจา

หลังจากนั้นไม่นาน โจวทงก็มองไปที่เฉินฉางเซิงแล้วพูดขึ้น “ไม่ทำความเคารพข้า ไร้มารยาทนัก”

เกิดความเงียบขึ้น เฉินฉางเซิงกำลังคิดอยู่ว่าควรจะรับมืออย่างไร ถังซานสือลิ่วที่นิ่งเงียบไม่พูดไม่จามาโดยตลอดพลันเอ่ยปากพูดขึ้นอย่างกะทันหัน “เจ้ามีสถานะอะไร มีตำแหน่งอะไร”

ตอนที่ถามคำถามนี้ขึ้นมา เขาจ้องไปที่ดวงตาของโจวทง ก็เหมือนกับจ้องไปยังงูพิษที่อันตรายตัวหนึ่ง

โจวทงหรี่ตาลงเขาคิดไม่ถึงว่าคุณชายน้อยตระกูลถังผู้นี้จะถึงกับกล้าตั้งคำถามกับตน อีกทั้งยัง…ไร้มารยาทเช่นนี้

ไม่รอให้เขาตอบ ถังซานสือลิ่วก็พูดต่อ “เฉินฉางเซิงเป็นเจ้าสำนักฝึกหลวง พูดถึงสถานะแล้ว ในนิกายหลวงเขาอยู่ใต้เพียงแค่ใต้เท้าสังฆราช อีกทั้งใต้เท้าท่านก็เป็นเพียงขุนนางกรมอาญา เป็นเพียงขุนนางขั้นสอง ต่อให้จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เมตตา ประทานให้ใต้เท้ามีตำแหน่งบรรดาศักดิ์ขั้นสาม แต่จะมาเทียบกับเจ้าสำนักของข้าได้อย่างไร หากจะทำความเคารพ แน่นอนว่าควรจะเป็นใต้เท้าก่อน”

โจวทงมองถังซานสือลิ่วแล้วพูดขึ้นคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “ต่อให้เป็นบิดาของเจ้า ก็ยังไม่กล้าพูดกับข้าเช่นนี้”

“ดังนั้นท่านปู่จึงเคยพูดไว้ ว่าบิดาของข้าสู้ข้าไม่ได้”

“เช่นนี้แล้ว ก็ควรเป็นข้าที่ต้องทำความเคารพก่อนจริงๆ หรือ”

ใบหน้าของถังซานสือลิ่วไม่มีการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ใดๆ ไม่ยียวน ไม่หยิ่งยโส ไม่ถือดี เพียงแค่เรียบเฉยและตั้งใจอย่างถึงที่สุด และพูดขึ้น “แน่นอนอยู่แล้ว”

โจวทงเลิกคิ้ว แล้วพูดขึ้น “เช่นนี้แล้ว พวกเจ้าก็ควรทำก่อน”

“ข้ากับเซวียนหยวนผ้อเป็นนักเรียน จึงต้องรอตามหลัง”

“รอทำตามหลังใคร”

“รอทำตามหลังเจ้าสำนัก”

“ข้าก็คือเจ้าสำนัก” ในที่สุดเฉินฉางเซิงก็ไล่ตามจังหวะของทั้งสองคน และแนะนำตัวเองอย่างเป็นทางการ “ข้าคือเจ้าสำนักฝึกหลวง เฉินฉางเซิง”

โจวทงนิ่งเงียบไปเป็นเวลานาน หลังจากนั้นก็จัดชุดขุนนางเบาๆ

ชุดขุนนางสีแดงสด เมื่ออยู่ท่ามกลางดอกไห่ถังที่เหลืออยู่ ก็เด่นสะดุดตาเป็นอย่างมาก

หลังจากนั้น เขาก็ประสานมือ ทำความเคารพ และถามขึ้น

“ไม่ทราบว่าเจ้าสำนักเฉินมาในวันนี้ มีธุระอะไรกัน”

“วั่วฟูเจ๋อซิ่วเป็นนักเรียนของสำนักฝึกหลวง”

เฉินฉางเซิงมองเขาแล้วพูดขึ้น “ข้ามารับเขากลับ”

เรือนหลังเล็กเงียบสงบงดงาม กรมอาญาวางกำลังคนไว้อย่างแน่นหนา ที่นอกตรอกกองทัพเหนือซือเจิ้งก็มีคนมาอย่างนับไม่ถ้วนแล้ว

ทั่วทั้งจิงตู พลันอยู่ท่ามกลางบรรยากาศที่น่าอึดอัดกังวล

ทุกคนล้วนรู้ว่าเฉินฉางเซิงมาพบโจวทงในวันนี้เพื่ออะไร

แต่ทุกคนน่าจะคิดไม่ถึง ว่าเฉินฉางเซิงจะพูดข้อร้องขอของตนอย่างมากอย่างสงบและเป็นธรรมชาติขนาดนี้

เพราะว่าเขายืนยันถึงสถานะของตนเองแล้ว เขาเป็นเจ้าสำนักของสำนักฝึกหลวง เจ๋อซิ่วเป็นนักเรียนของสำนักฝึกหลวง เจ้าสำนักเฉินเป็นห่วงนักเรียนของตน ก็เป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว

เป็นเรื่องถูกต้องเสียจนแม้แต่โจวทงก็ยังถอนหายใจไปครั้งหนึ่ง ในใจคิดว่าเจ้าสัตว์ประหลาดซูหลีนั่นสอนสิ่งต่างๆ ให้กับเด็กหนุ่มผู้นี้ไปเท่าไหร่กัน

หลังจากนั้นเขาก็แย้มยิ้มแล้วพูดขึ้น “ตามคำร้องขอของราชสำนัก วั่วฟูเจ๋อซิ่วต้องถูกขัง หากจะให้ปล่อยคน เจ้าสำนักเฉินต้องขอราชโองการจากจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ หรือต้องขอหนังสือจบการไต่สวนจากกรมราชทัณฑ์”

ตั้งแต่ที่มีกรมอาญาเป็นต้นมา ศาลยุติธรรมกับกรมราชทัณฑ์ก็เป็นเพียงของประดับ หรืออาจพูดได้ว่าเป็นหน่วยย่อยของกรมอาญา

ขอเพียงแค่โจวทงไม่พยักหน้า ศาลยุติธรรมกับกรมราชทัณฑ์ก็ไม่สามารถรับคดีใดได้

“ตั้งแต่เด็กข้าก็อ่านคัมภีร์ลัทธิเต๋าจนแตกฉาน” อยู่ๆ เฉินฉางเซิงก็พูดขึ้น

ถังซานสือลิ่วกับเซวียนหยวนผ้อมองเขาแวบหนึ่ง ในใจคิดว่าทำไมต้องพูดเรื่องนี้ในตอนนี้ด้วย

โจงทงรู้ว่าเขายังพูดไม่จบ จึงรอฟังอย่างสงบ

เฉินฉางเซิงมองเขาแล้วพูดต่อ “ข้าได้ยืนยันมาแล้ว ใต้เท้าได้รับเอาคดีสวนโจวมาทำต่อจากพระราชวังหลีโดยตรง กรมราชทัณฑ์กับศาลยุติธรรมไม่ได้สืบคดีเลย”

“เช่นนั้นแล้วอย่างไร”

“ข้าอ่านคัมภีร์ลัทธิเต๋าจนแตกฉาน กฎหมายของต้าโจวเองก็ท่องได้อย่างคล่องแคล่ว ข้ามั่นใจอย่างมาก ไม่มีกฎหมายข้อไหนที่สนับสนุนให้ใต้เท้าขังวั่วฟูเจ๋อซิ่วต่อ”

โจวทงมองเขาแล้วแย้มยิ้มโดยที่ไม่ได้พูดอะไร

“ขอให้ใต้เท้าปล่อยคน”

โจวทงล้วงหยิบผ้าเช็ดหน้าสีขาวราวหิมะผืนหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อ เช็ดไปที่ริมฝีปากเบาๆ การเคลื่อนไหวสง่างามอย่างมาก แต่คำพูดที่พูดออกมากลับแสนจะถากถาง

“ว่าที่ใต้เท้าสังฆราชของพวกเรา ถึงกับไม่รู้จักอดทนขนาดนี้ นี่ช่างทำให้คนต้องเป็นห่วงอนาคตของนิกายหลวงเสียจริง”

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะการเคลื่อนไหวของโจวทง หรือเป็นเพราะคำพูดนั้น ถังซานสือลิ่วถึงได้ขมวดคิ้วขึ้นมา

“ข้าเคยรับปากใต้เท้ามุขนายก ว่าจะรออีกสองวัน แต่ว่า…” เฉินฉางเซิงนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วถึงได้พูดต่อ “เขาตายแล้ว ดังนั้นข้าจึงไม่ต้องรออีก”

โจวทงมองเขาแล้วพูดขึ้นอย่างสงบ “ข้าคิดว่าเจ้าคงลืมไปเรื่องหนึ่ง ความผิดของเจ๋อซิ่วคือการร่วมมือกับเผ่ามาร ขอเพียงแค่มีความผิดข้อนี้อยู่ ข้าคิดจะขังเขาไว้นานเท่าไหร่ ก็สามารถขังไว้ได้นานเท่านั้น”

“ดูเหมือนว่าใต้เท้าเองก็ลืมไปเรื่องหนึ่ง ผู้ที่ถูกกล่าวหาว่าร่วมมือกับเผ่ามารในสวนโจวมีอยู่สามคน เจ๋อซิ่ว ชีเจียน…แล้วก็ข้า”

เฉินฉางเซิงมองเขาแล้วพูดขึ้นอย่างจริงจัง “ถ้าหากใต้เท้าคิดว่าเจ๋อซิ่วร่วมมือกับเผ่ามารจริงๆ เช่นนั้นในตอนนี้ท่านก็ต้องทำเรื่องเรื่องหนึ่ง ซึ่งก็คือจับข้าขังคุกไปด้วย ถ้าหากไม่ เช่นนั้นเจ้าก็ควรจะปล่อยเขาได้แล้ว”

เรือนหลังเล็กเงียบเชียบอย่างหาใดเปรียบ กระทั่งสามารถพูดได้ว่าเงียบเป็นเป่าสาก

ได้ยินเพียงแค่เสียงดอกไม้ที่ร่วงหล่นกับเสียงลมหายใจเท่านั้น

นี่ก็คือตัวเลือกที่เขาเหลือไว้ให้กับโจวทง…ปล่อยเจ๋อซิ่ว หรือ จับตัวเขาไปด้วย

ดวงตาของโจวทงค่อยๆ หรี่ลงมา ดูคล้ายกับใบหลิว และก็เหมือนกับมีดใบหลิวที่เขาเชี่ยวชาญ

เสียงที่ลอดออกมาจากริมฝีปากบางของเขาก็เป็นเช่นนี้ ทั้งยังเพิ่มความเหน็บหนาวขึ้นมาอยู่หลายส่วน

“นี่เจ้า…กำลังข่มขู่ข้าหรือ”