มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 559
เผชิญหน้ากับมกุฎยุทธ์ทั้งสองด้วยผลการฝึกตนแดนจักรพรรดิยุทธ์ขั้น 9 สามารถพูดได้ว่านางแทบไม่มีโอกาสชนะ

แต่ในเวลานี้ ระหว่างคิ้วของนางมีเครื่องหมายห้าสีเป็นประกายก็ปรากฏขึ้น

“นี่…นี่คือ…”

ออร่าในร่างกายของเหยียนเยว่เอ๋อร์ขณะนี้ ทำให้สีหน้าของเฟิ่งหงเสว่และเฟิ่งเยียนหรานทั้งสองคนเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน

ขณะที่พวกเขากำลังประหลาดใจ ร่างของเหยียนเยว่เอ๋อร์ก็หายไปแล้วปรากฏตัวต่อหน้าเฟิ่งหงเสว่ หอกรบเปลวเพลิงปรากฏขึ้นมาอยู่ในมือของนาง

บูม!

ตำหนักไท่เสวียนสั่นสะเทือน ร่างๆหนึ่งกพุ่งออกมาจากประตูตำหนักพร้อมกระอักเลือดออกจากปาก

“กฎเบญจธาตุ! แล้วเจ้ายังฝึกร่างเบญจธาตุวิเศษณ์ได้สำเร็จด้วย?”

เสียงอุทานดังขึ้นจากตำหนักไท่เสวียน จากนั้นร่างของเฟิ่งหลิงก็บินออกมา ปกป้องเฟิ่งเยียนหรานให้อยู่เบื้องหลัง

เรืองแสงห้าสีพุ่งออกไป กลายเป็นรูปร่างของเหยียนเยว่เอ๋อร์ บนร่างกายของนาง เดิมทีเปลวไฟสีแดงกลายเป็นเปลวไฟห้าสี

คนจากเผ่าหงส์ มีความเชี่ยวชาญด้านธาตุพลังแห่งไฟ แม้ว่าจะฝึกฝนจนถึงระดับที่สัมผัสได้ถึงกฎ ส่วนใหญ่ฝึกฝนทำความเข้าใจด้านกฎแห่งไฟ

แต่เหยียนเยว่เอ๋อร์ฝึกฝนผ่านทางชิ้นส่วนกฎเบญจธาตุ ใช้พลังแห่งกฎในการช่วยชุบร่างเนื้อ ฝึกร่างแห่งเบญจธาตุได้สำเร็จ

แค่อาศัยพลังแห่งกฎเบญจธาตุ เหยียนเยว่เอ๋อร์จึงสามารถโจมตีเฟิ่งหงเสว่ซึ่งอยู่ในระดับแดนมกุฎยุทธ์ขั้น 5 ด้วยผลการฝึกตนจักรพรรดิยุทธ์ขั้น

ในตอนนี้สีหน้าของเฟิ่งหงเสว่ขรึมลงไปมาก เขาคาดไม่ถึงว่าแค่กองกำลังขนาดเล็กระดับสาม จะทำให้ตัวเองเสียเปรียบสองครั้งติดต่อกัน

และในดวงตาของเขายังคงมีความอิจฉาริษยาแผดเผาอยู่ด้วย โชคของนางผู้นี้ดีเกินไปแล้ว ไม่ต้องพูดถึงการปลุกพลังของเลือดหงส์โบราณขึ้นมาได้ แล้วยังได้พลังแห่งกฎเบญจธาตุด้วย?

ในฐานะที่เป็นคนของเผ่าหงส์ เฟิ่งหงเสว่คุ้นเคยกับพลังแห่งกฎมาก

“เรากลับไป!”

ดวงตาของเฟิ่งหลิงเป็นประกาย ไม่ได้พูดอะไรอีก เขามองเหยียนเยว่เอ๋อร์ชั่วขณะ แล้วหันหลังกลับและจากไป

แม้ว่าเขาจะเป็นผู้แข็งแกร่งระดับมกุฎยุทธ์ขั้น 9 แต่ก็รู้ดีว่าวันนี้เป็นไปไม่ได้ที่จะบังคับพาเหยียนเยว่เอ๋อร์ไปด้วย

เกาเหลียนหงไม่ได้ควบคุมค่ายกลขัดขวาง แม้ว่าเขาจะสามารถกักขังคนสามคนไว้ที่สำนักได้ แต่สำนักใหญ่ของเผ่าหงส์

ต้องมีผู้ที่แข็งแกร่งกว่านี้แน่

เขารู้ดีว่าเรื่องนี้ยังไม่จบ

“เจ้าสำนัก หนึ่งปีกว่าแล้ว ท่านไปที่ไหนแล้ว?” เกาเหลียนหงแสดงความกังวลออกมา จ้องมองไปที่คนสามคนของเผ่าหงส์ที่จากไป

“เยว่เอ๋อร์…”คนจากเผ่าหงส์ทั้งสามคนจากไปแล้ว แต่เจ้าตระกูลเหยียนไม่ได้จากไป หันความสนใจไปที่เหยียนเยว่เอ๋อร์

“เจ้าเป็นผู้ที่พาคนของเผ่าหงส์มาใช่ไหม?” เหยียนเยว่เอ๋อร์ดับเปลวไฟห้าสีบนร่างกายของนางและขมวดคิ้วมองไปยังเจ้าตระกูลเหยียน

เจ้าตระกูลเหยียนเป็นพี่ใหญ่ของนาง เมื่อตอนที่ยังเป็นเด็กเล็ก เขารักนางมาก ตั้งแต่พ่อแม่เสียชีวิต เขาดูแลนางเป็นอย่างดี

แต่เมื่อเวลาผ่านไป คนจะเปลี่ยนไปเสมอ หัวใจของผู้คนก็เปลี่ยนได้เช่นกัน

“สำหรับพี่ใหญ่ สำนักใหญ่ของเผ่าหงส์เป็นสถานที่ที่ดีที่สุดที่จะไป”

เจ้าตระกูลเหยียนไม่ได้ตอบออกมาโดยตรง แต่เหยียนเยว่เอ๋อร์รู้คำตอบแล้ว

นางรู้ว่าพี่ใหญ่คนนี้ของนาง ต้องการทำให้ตระกูลเหยียนพัฒนาขึ้นมาโดยตลอด และหากนางสามารถพึ่งพลังของสำนักใหญ่ของเผ่าหงส์ได้ จะเป็นประโยชน์อย่างมากต่อการพัฒนาของตระกูลเหยียนอย่างไม่ต้องสงสัย

“สำหรับพี่ใหญ่ ผลประโยชน์ของตระกูลอยู่เหนือทุกสิ่งจริง ๆหรือ? แม้แต่น้องสาวคนนี้ของพี่ใหญ่ สามารถเป็นได้แค่เครื่องมือที่ใช้แลกผลประโยชน์ของพี่ใหญ่?”

เหยียนเยว่เอ๋อร์ยิ้มอย่างเศร้าๆ “เมื่อก่อน พี่ใหญ่รู้ว่าตำหนักจื่อฆ่าท่านพ่อท่านแม่ของเรา แต่พี่ใหญ่ยังจะให้ข้าหมั้นหมายกับเจ้าสำนักน้อยของตำหนักจื่อ”

“พี่ใหญ่อยากจะแก้แค้นให้ท่านพ่อท่าน ก็ต้องอดกลั้น แต่พี่ใหญ่เคยคิดถึงความรู้สึกข้าบ้างไหม?”

“ตอนนี้ตำหนักจื่อไม่มีอยู่แล้ว ความแค้นของท่านพ่อท่านแม่ก็ได้ล้างแค้นแล้ว แต่พี่ใหญ่ยังเป็นแบบนี้ ข้ามองพี่ใหญ่ผิดไปจริงๆ!”

มองพี่ใหญ่ที่เป็นสายเลือดเดียวกันที่อยู่ตรงหน้า สีหน้าของเหยียนเยว่เอ๋อร์ก็ยิ่งเย็นชามากขึ้นเรื่อยๆ “จากนี้ไป ข้าไม่ใช่คนของตระกูลเหยียนอีกต่อไป พี่ใหญ่ก็ไม่ต้องมาหาข้าอีก พี่ใหญ่และข้าเลิกเป็นพี่น้องกัน!”

ก่อนที่จะพูดจบ เหยียนเยว่เอ๋อร์ได้หันหลังเดินออกไปแล้ว และบินไปยังตำแหน่งสูงสุดของตำหนักวัฏสงสาร