ส่วนที่ 6 ข้ารักครอบครัวข้า ตอนที่ 12 ความเจ็บแค้นใจเรื่องกาน้ำชา

เจาะเวลาสู่ต้าถัง

หลี่ซื่อหมินนั่งอยู่บนระเบียงที่ชั้นสองในพื้นที่สำนักงานของสำนักศึกษา นั่งจิบชาอย่างสบายอกสบายใจมองดูฉากที่วุ่นวายอยู่ด้านนอกของสำนักศึกษาอย่างมีความสุข กระดาษม้วนหนึ่งวางอยู่บนโต๊ะที่อยู่ด้านข้างเขา การจัดสอบของสำนักศึกษาประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก เพียงแค่คำถามข้อเดียวก็สามารถแยกแยะความดีงามและความโง่เขลาออกมาได้ เป็นวิธีการที่ดี คำตอบอยู่ที่เจ้า การตัดสินอยู่ที่ข้า ผู้ที่ไม่ตอบนั้นเป็นผู้มีความดีงาม ผู้ที่ตอบคือผู้โง่เขลาที่ไม่ภักดี เยี่ยมมาก นี่สิจึงจะเป็นแหล่งรวบรวมยอดวีรบุรุษแห่งใต้หล้า

 

 

อู๋เสอปรากฎตัวอยู่ด้านหน้าอวิ๋นเยี่ย ทำให้ใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มของเขากลายเป็นน้ำค้างแข็งในทันที ขันทีที่ปกติไม่เปิดเผยตัวกลับปรากฏตัวอย่างชัดแจ้ง นั่นหมายความว่าหลี่ซื่อหมินนั้นอยู่ไม่ไกลจากที่นี่นัก เมื่อพืชผลสุกงอมแล้วแน่นอนว่าก็ถึงเวลาเก็บเกี่ยว

 

 

สวี่จิ้งจงพานักเรียนใหม่เหล่านี้ไปที่ที่พักด้านหลังของสำนักศึกษาเพื่อรับชุดเครื่องแบบของสำนักศึกษา รวมถึงแจกจ่ายของใช้ส่วนตัวของพวกเขาด้วย เมื่อเห็นผู้ปกครองและสมาชิกครอบครัวร้องเรียกลูกๆ ของตนเองแล้วนั้น สวี่จิ้งจงจึงยิ้มและให้เวลานักเรียนครึ่งชั่วยามเพื่อกล่าวคำอำลากับครอบครัวของพวกเขา

 

 

อาจารย์จินจู๋ไม่พอใจอย่างมากเพราะทำให้เขาเสียเวลาไปมากแล้ว การวิจัยอักษรโบราณในวันนี้ก็ต้องหยุดอีกแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเห็นเหล่าเศรษฐีอ้วนๆ ส่งแผ่นเงินไว้ให้ลูกชายนั้นก็ยิ่งชวนให้หัวเสียมากขึ้น

 

 

จึงดึงนักเรียนอ้วนเช่นเดียวกันคนนั้นออกมาแล้วพูดกับเขาว่า “นำของเหล่านี้คืนให้บิดาเจ้า ไม่เช่นนั้นสำนักศึกษาจะริบไว้ ในสำนักศึกษาทุกๆ เดือนจะมีเงินหนึ่งก้วนให้เจ้าซึ่งก็มากพอที่จะให้เจ้าใช้จ่ายได้ เงินที่มาจากภายนอกไม่มีค่าอะไรในสำนักศึกษา”

 

 

เศรษฐีเฒ่าหัวเราะจนมองไม่เห็นดวงตาเลย พลางเลียนแบบคนอื่นประสานมือคารวะ พลางพูดกับอาจารย์จินจู๋ว่า “อาจารย์ที่ดีของข้า ลูกข้าได้เข้าเรียนในสำนักศึกษาแล้วยังจะใช้เงินของสำนักศึกษาได้อย่างไรกัน นอกจากนี้เงินเพียงหนึ่งก้วนจะพอใช้อะไรได้ ตาเฒ่าได้เตรียมไว้ห้าก้วนแล้ว ไม่ทราบว่ามากพอจะใช้เป็นของขวัญพบหน้าของลูกชายได้หรือไม่ หากไม่พอข้าจะรีบกลับบ้านและขายที่นาหกหมื่นกว่าตารางเมตรบริเวณริมแม่น้ำออกไปเสีย หวังว่าอาจารย์จะช่วยผ่อนผันอีกสักสองสามวัน”

 

 

ปากก็พูดไป ส่วนมือนั้นก็ไม่รอช้านำแผ่นเงินสิบตำลึงยัดเยียดใส่แขนเสื้อของอาจารย์จินจู๋อย่างเอาเป็นเอาตาย อาจารย์จินจู๋รับแผ่นเงินไว้ แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไร จู่ๆ เขาก็คิดถึงบิดาของเขาซึ่งเป็นคนเถรตรงมาตลอดชีวิต แบกตนเองที่ยังเป็นเด็กน้อยตัวเล็กๆ ไปที่ตระกูลจิ้นหยางเพื่อขอให้พวกเขาอนุญาตให้ลูกของตนได้เข้าศึกษาในตระกูลด้วย ความภาคภูมิใจและความหยิ่งในศักดิ์ศรีในอดีตได้หายไปหมด โค้งคำนับ หดศีรษะ หน้าตาดูไม่ได้ สีหน้าน่าสงสาร

 

 

ภายใต้การกลั่นแกล้งของอาจารย์ บิดาของเขาต้องมอบเงินสองก้วนที่ห่อด้วยผ้าป่านผืนใหม่ให้อาจารย์อย่างเคารพนบนอบ นี่เป็นน้ำพักน้ำแรงของบิดาที่ตื่นแต่ฟ้ายังไม่สางทุกวันเพื่อสานตะกร้าไม้ไผ่สีดำแล้วนำไปขายที่ตลาดตั้งแต่เช้า เป็นเวลาสามปีเต็มกว่าที่จะได้เงินที่แลกมาด้วยหยาดเหงื่อแรงกาย เพื่อที่จะซื้อรถเทียมวัว สุดท้ายเพราะตนเองพูดว่าอยากเรียนหนังสือ ท่านพ่อก็นำมันออกมาโดยไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อยและวิงวอนให้อาจารย์รับไว้

 

 

หลังจากที่อาจารย์รับปาก บิดาของเขาก็หัวเราะเหมือนเด็ก แบกจินจู๋วิ่งกลับบ้านมาตลอดทาง ในขณะที่วิ่งก็พลางตะโกนเสียงดังว่า “ตระกูลจินของข้าจะมีผู้ที่มีความรู้แล้ว ลูกชายข้าจะได้เป็นผู้ที่มีความรู้แล้ว” เมื่อคิดถึงตรงนี้แล้วในใจของจินจู๋ก็เจ็บปวดรวดร้าวเหลือพรรณนา

 

 

จึงเบือนหน้าหนีเพื่อเช็ดน้ำตาจากหางตาและพูดกับเศรษฐีเฒ่าว่า “สำนักศึกษาเน้นคุณธรรม ไม่ใส่ใจต่อเงินทอง ท่านผู้เฒ่าในเมื่อบุตรชายของท่านเข้าศึกษาในสำนักศึกษาแล้ว ก็ต้องเตรียมตัวสำหรับความยากลำบาก สำนักศึกษาอวี้ซันไม่เก็บค่าเล่าเรียนทั้งยังให้เงินแก่นักเรียนทุกเดือนด้วย นี่คือราชบัณฑิตยสถาน ขอท่านผู้เฒ่าอย่าได้ทำลายกฎของที่นี่”

 

 

จากนั้นจึงนำแผ่นเงินในมือส่งคืนไว้ในมือของเศรษฐีเฒ่าและตบไหล่นักเรียนอ้วนเบาๆ แล้วพูดว่า “การเข้าเรียนในวันนี้ ต้องมีความกตัญญูมาก่อน จดจำความยากลำบากในการทำมาหากินของบิดาเอาไว้ ข้าวแต่ละชามอาหารแต่ละอย่างหามาด้วยความลำบาก จงจดจำย้ำคิดถึงความยากลำบากของการได้มาเอาไว้ เมื่อเจ้าเข้าสำนักศึกษาจะอยู่เพียงลำพัง การเล่าเรียนด้วยความมุมานะอย่างหนักสี่ปีจะทำให้เจ้าเชิดหน้าชูตาให้แก่วงศ์ตระกูลได้ เพื่อเป็นการตอบแทนบุญคุณบิดาที่เลี้ยงดู”

 

 

นักเรียนอ้วนคารวะจินจู๋และรับคำ จากนั้นนำเงินที่มีอยู่ในตัวทั้งหมดรวมถึงขนมกุ้ยฮัวห่อใหญ่อีกหนึ่งห่อออกมาวางไว้แล้วคุกเข่าที่พื้นโขกศีรษะคำนับบิดาสามครั้งแล้วจึงเดินไปที่ประตูสำนักศึกษาเพื่อรอเข้าไป บิดาที่อ้วนท้วนของเขานั้นได้ร้องไห้เหมือนเด็กทารกในเดือนไปเสียแล้ว

 

 

ภาพเหตุการณ์นี้ได้ถูกนักเรียนคนอื่นเห็นเข้า จึงได้หยิบเอาทุกอย่างที่ติดตัวมาออกมาจนหมดแล้วทำตามนักเรียนอ้วนคนนั้นโขกศีรษะคำนับบิดามารดาตนเองสามครั้ง ดึงชายเสื้อขึ้นแล้วกลับไปเข้าแถวรอ

 

 

สถานการณ์ดังกล่าวนี้ได้อยู่ในสายตาของผู้อาวุโสของสำนักศึกษา เหลาหลี่ลูบเคราหัวเราะเสียงดัง อาจารย์หยวนจางก็ปรบมืออยู่ลำพัง อาจารย์อวี้ซันกล่าวว่า “มันเป็นความยินดีอย่างยิ่งในชีวิตที่ได้ถ่ายทอดความรู้ให้กับยอดคน”

 

 

มีเพียงสวี่จิ้งจงที่รู้สึกหดหู่ใจอย่างยิ่ง ตนเองเป็นผู้เปิดทางแห่งความสะดวกสบายให้กับนักเรียน สุดท้ายไม่มีใครรู้สึกซาบซึ้งยังพอว่า แต่ยังถูกอาจารย์หยวนจางมองค้อนอีก สวี่จิ้งจงผู้มีใจคอคับแคบมองหลิวเซี่ยนที่ดุดันราวกับเทพมรณะที่ยืนอยู่ที่ประตูในใจก็คิดว่า “เจ้าพวกเด็กไม่เอาไหนที่ไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี ลองไปเผชิญหน้ากับความร้ายกาจของยมบาลเถอะ หลังจากผ่านเงื้อมมือของเขาแล้วพวกเจ้าจะรู้ว่าข้านั้นใจดีแค่ไหน”

 

 

อวิ๋นเยี่ยปีนขึ้นไปบนอาคารสำนักงาน สิ่งแรกที่เขาเห็นไม่ใช่หลี่หลี่ซื่อหมินแต่เป็นกาน้ำชาที่เขาถืออยู่ในมือ ในใจก็รู้สึกเหมือนถูกมีดกรีด เจ็บปวดจนสั่นเทาไปทั้งตัว กาน้ำชาที่ทำจากดินแดงนั้นแม้แต่ตนเองยังเสียดายไม่กล้าใช้ แต่ละวันจะชงชาในกาน้ำชาเท่านั้น ซึ่งไม่ได้ชงไว้ดื่มแต่ใช้เพื่อปรับสภาพกาน้ำชา เป็นเวลาสองปีแล้วสีดินแดงดั้งเดิมตอนนี้หายไปแล้วหลงเหลือไว้แต่สีน้ำตาลแดงที่ดูเรียบๆ อาจารย์หลี่กังมาถามสองครั้งตนเองยังอาวรณ์ไม่ยอมมอบให้ กาน้ำชาชั้นดีของข้า ตอนนี้แม้ไม่ได้ชงชาเพียงแค่เทน้ำเปล่าก็ยังมีกลิ่นชาหอมๆ เลย ตนเองนั้นเห็นมันเป็นของรักของหวง แม้แต่ตอนที่เดินทางไปทุ่งหญ้าก็ยังไม่ลืมที่จะสั่งให้หั่วจู้คอยชงชาทุกวัน

 

 

ตอนนี้ของรักของหวงอยู่ในมือของหลี่ซื่อหมิน ถูกยกซดชาจนส่งเสียงแจ๊บๆ ไร้สิ้นซึ่งความสง่างาม ช่างน่าเสียดายของยิ่งนัก อวิ๋นเยี่ยจ้องมองหลี่ไท่ด้วยสายตาอันดุร้ายที่ยืนประจบประแจงอยู่ข้างๆ เหมือนพวกผีนักแปลอยู่แวบหนึ่ง เจ็บแค้นจนกัดฟันกรอด

 

 

“ท่านคณบดีให้เกียรติมาเยือน ไม่ได้ออกไปต้อนรับเสียมารยาทแล้ว โปรดอภัยให้ด้วย” อวิ๋นเยี่ยรู้ว่าในเวลานี้เรียกหลี่ซื่อหมินว่าคณบดีจะเหมาะกับสถานการณ์มากที่สุด หลี่ซื่อหมินไม่ตอบอะไร ข้างๆ ก็มีเห็บหมัดก้าวขึ้นมาออกหน้าแทน “บังอาจ เจ้ากล้าถือวิสาสะเปลี่ยนคำเรียกขานฝ่าบาทตามใจชอบหรือ นี่เป็นโทษดูหมิ่นเบื้องสูง ขอฝ่าบาททรงลงพระอาญาอย่างรุนแรงด้วย”

 

 

หลี่ซื่อหมินตั้งชื่อให้เจ้าว่าอู๋เสอ[1] ก็หมายความว่าอย่าพูดมาก นี่มันคือสถานการณ์อะไรยังจะก้าวเข้ามาสอด ไม่เท่ากับรนหาที่เจ็บตัวหรือ

 

 

เป็นจริงดังคาด หลี่ซื่อหมินเหลือบมองอู๋เสอด้วยความไม่พอใจและพูดว่า “ใครบอกว่าเขาดูหมิ่น เราเป็นฮ่องเต้แห่งต้าถังและยังเป็นคณบดีของสำนักศึกษาด้วย ในสำนักศึกษาเขาไม่เรียกเราว่าคณบดี แล้วจะให้เรียกว่าอะไร สอดความเสียจริง”

 

 

พูดจบก็ไม่สนใจอู๋เสอที่คุกเข่าอยู่ที่พื้นด้วยความกลัวแล้วถามอวิ๋นเยี่ยว่า “การสอบของสำนักศึกษาเสร็จสิ้นแล้วหรือ ผลเป็นอย่างไร”

 

 

“เรียนท่านคณบดี มีผู้เข้าสอบทั้งสิ้นสามร้อยยี่สิบหกคนซึ่งได้ผ่านการสอบทั้งหมด ไม่มีใครเลือกที่จะตอบอย่างขอไปที การให้การศึกษาของต้าถังนั้นเผยแพร่ไปทั่วหล้า กระหม่อมขอแสดงความยินดีกับฝ่าบาทและต้าถังไว้ ณ โอกาสนี้” อวิ๋นเยี่ยย่อมรู้ว่าอยู่ในสถานการณ์ไหนต้องพูดเช่นไร

 

 

หลี่ซื่อหมินหัวเราะฮ่าๆ เสียงดังอย่างมีความสุข หลังจากหัวเราะอยู่ครู่หนึ่งสีหน้าก็กลับมาเย็นชาอีกครั้ง เปลี่ยนสีหน้าราวกับพลิกหน้าหนังสือ พูดด้วยเสียงเย็นชาว่า “ทำไมการสอบโดยปกปิดชื่อช่างเป็นวิธีการที่ดีอะไรเช่นนี้ เหตุใดไม่เขียนฎีกาสักฉบับถึงราชสำนักว่าสำนักศึกษานั้นสงบเรียบร้อยดี มีแต่เสียงหัวเราะอยู่ร่ำไป ในราชสำนักกลับมีแต่การโจมตีและแฉความผิดซึ่งกันและกัน เสียงถกเถียงไม่สิ้นสุด อวิ๋นเยี่ยเจ้าชอบดูเรื่องตลกของราชสำนักมากอย่างนั้นหรือ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เช่นนั้นก็จงเข้าร่วมประชุมเช้าทุกครั้ง เราจะให้เจ้าได้ดูจนพอ”

 

 

การเข้าประชุมเช้าเป็นหายนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด อวิ๋นเยี่ยไม่เคยมีนิสัยชอบทรมานตนเองจึงรีบพูดขึ้นอย่างรวดเร็วว่า “ท่านคณบดีคำพูดนี้กล่าวประหลาดไปแล้ว กระหม่อมเป็นคนของสำนักศึกษา แน่นอนว่าต้องคำนึงถึงสำนักศึกษา ดังคำกล่าวที่ว่า หากไม่ได้อยู่ในตำแหน่งนั้นก็จะไม่ก้าวก่ายหน้าที่นั้นๆ ในราชสำนักมีขุนนางที่ฉลาดหลักแหลมแม่ทัพที่เก่งกล้าสามารถมากมายมีหรือจะมาถึงกระหม่อมที่จะได้ออกความเห็น นอกจากนี้การสอบโดยปกปิดชื่อก็ใช้เป็นครั้งแรกในสำนักศึกษา ซึ่งหากยังไม่รู้ว่าผลลัพธ์แล้วก็รีบเร่งไปกราบทูลรายงาน มันไม่ใช่หลักการดำเนินงานของกระหม่อม”

 

 

“หากมีเจตนาไม่บริสุทธิ์ เจ้าคิดว่าเราไม่มีเหตุผลที่จะจัดการเจ้าอย่างนั้นหรือ เจ้ารอก่อน ขอเพียงเราไม่พอใจแล้วเจ้าจะได้เพลิดเพลินกับผลลัพธ์ที่เลวร้าย ตอนนี้ปล่อยให้เจ้าโอหังอวดดีไปก่อน นำเราไปเยี่ยมชมสำนักศึกษา”

 

 

ไม่รู้ว่าหลี่ซื่อหมินกุมจุดอ่อนอะไรของตนเองเอาไว้ได้ ช่วงที่ผ่านมานี้ตนเองก็ระมัดระวังมากแล้ว ก็ดูเหมือนจะไม่ได้ล่วงเกินอะไรเขา เรี่องขององค์หญิงโซ่วหยางก็ไม่มีใครรู้นอกจากขันทีน้อยคนนั้น

 

 

เมื่อเขาเห็นเขาเอ่ยปากจึงได้แต่ต้องไปเยี่ยมชมสำนักศึกษาเป็นเพื่อนเขา เนื่องจากหลี่ซื่อหมินแต่งกายในชุดลำลอง ทุกคนที่รู้จักเขาต่างก็หลบอยู่ให้ห่างเพราะเกรงว่าจะไปล่วงเกินเขา คนที่ไม่รู้จักเขาแน่นอนว่าย่อมไม่หวาดกลัวเขา ทั้งยังมีบางคนที่ไม่รู้จักคำว่าตายเตะบอลเข้ามาแล้วตะโกนโหวกเหวกให้เตะบอลกลับไปให้ด้วย

 

 

ความนึกสนุกของหลี่ซื่อหมินนั้นมีมากจนเขาไม่รู้สึกขุ่นเคืองเลยว่าถูกล่วงเกิน เขาจึงยกเท้าขึ้นเตะบอลหนังอย่างเต็มแรง แต่เตะเบี้ยวไปบอลจึงกระเด็นเข้าไปในป่า นักเรียนโกรธจนวิ่งไปเก็บลูกบอลและกลับมายื่นนิ้วกลางใส่เขา

 

 

“นี่หมายความว่าอย่างไร” หลี่ซื่อหมินแปลกใจมาก เขาไม่เคยเห็นการกระทำนี้มาก่อน อวิ๋นเยี่ยปาดเหงื่อและกระซิบว่า“ นี่เป็นการชมว่าฝีมือการเตะบอลของคณบดียอดเยี่ยมมาก” ทำให้หลี่ไท่ที่ยืนฟังอยู่ข้างหลังงงงวยไปหมด แต่ก็ไม่กล้าที่จะอธิบายให้ชัดเจน ได้แต่หน้าแดงก่ำ

 

 

หลี่ซื่อหมินรีบดื่มชาอีกหนึ่งอึกแล้วยื่นนิ้วกลางโยกย้ายไปมาอยู่ใส่หน้าอวิ๋นเยี่ย ก่อนจะพูดว่า “เจ้าเห็นเราเป็นคนโง่หรือ เจ้าคิดว่าเราไม่เคยเป็นวัยรุ่นมาก่อนหรือ ลูกบอลถูกเตะเบี้ยวไปทำให้เขาต้องวิ่งไปตั้งไกล เขามีหรือจะชื่นชมเรา แม้ว่าจะไม่รู้ความหมายแฝง แต่ต้องไม่ใช่ความหมายที่ดีแน่ ชั่วชีวิตข้าไม่เคยเสียเปรียบใคร บอลที่ถูกเตะเบี้ยวออกไปเป็นความผิดเรา เขาด่าเรา เราจะไม่ไปถือสาหาความเขา จึงได้แต่ต้องมอบคืนให้เจ้าแทน ใครใช้ให้เจ้าเป็นอาจารย์เขา”

 

 

เมื่อพูดจบก็หัวเราะเสียงดัง หลี่ไท่ก็หัวเราะตาม แม้แต่อู๋เสอก็เอามือปิดปากแอบหัวเราะซึ่งดูเหมือนว่ามีความสุขมาก

 

 

ทุกคนที่มาสำนักศึกษาต่างก็คิดว่าตนเองฉลาดกว่าคนอื่นซึ่งต่างก็ต้องการอยากจะลองฝ่าค่ายกลลวงวิญญาณที่เป็นตำนานของสำนักศึกษา ภรรยาหลวงของหลี่ซื่อหมินก็เช่นกันซึ่งนางได้ลองฝ่าค่ายสามครั้งและทั้งสามครั้งจะออกมาจากประตูฝั่งตรงข้าม สุดท้ายหงุดหงิดแล้วจึงให้อวิ๋นเยี่ยนำทางหนึ่งครั้งโดยเข้าทางประตูใหญ่ จึงได้บอกว่ามองออกตั้งนานแล้วเพียงแค่ต้องการพิสูจน์ดูเท่านั้น อวิ๋นเยี่ยอยากให้นางลองฝ่าค่ายกลด้วยตัวเองอีกครั้งเป็นอย่างมาก

 

 

ภรรยาน้อยสองคนของเขานั้นมีนิสัยที่ดื้อรั้น แม้กระทั่งอาหารเที่ยงก็ยังยอมกินอาหารที่ตรอกข้างประตูใหญ่เพื่อฝ่าค่ายกลอยู่วันหนึ่งเต็มๆ สุดท้ายแล้วก็เป็นหลี่ไท่เข้าไปพาพวกนางออกมา ตามที่หลี่เค่อเล่าให้ฟังเท้าของมารดาเขาเดินจนเป็นตุ่มพองแต่กลับพูดอย่างเต็มปากว่าสะใจมาก

 

 

หลี่ซื่อหมินนั้นยืนอยู่หน้าประตูใหญ่พิจารณาศัตรูวิเคราะห์ค่ายกลก่อนแล้วจึงส่งทัพหน้าอย่างอู๋เสอเข้าไปก่อน เพียงช่วงเวลาสั้นๆ อู๋เสอก็ออกมาจากประตูฝั่งตรงข้ามอย่างงงๆ ถามอะไรไปก็ไม่รู้เลยสักอย่าง หลี่ไท่อยากแสดงความสามารถอธิบายให้พ่อฟังอย่างถี่ถ้วน สุดท้ายถูกเตะออกไปด้านข้าง หลี่ซื่อหมินยังคงโกรธอยู่มาก

 

 

หลังจากตรวจสอบประตูอย่างละเอียดอยู่เป็นเวลานาน หลี่ซื่อหมินก็ปรบมือและก้าวเท้ายาวๆ เดินเข้าประตูใหญ่ไป อู๋เสอที่จงรักภักดีได้ตามหลี่ซื่อหมินเข้าไปอีกครั้ง ทั้งยังเดินนำหน้าด้วยท่าทีที่ต้องการปกป้องเจ้านายด้วยความภักดี

 

 

หลี่ไท่เต้นผางและบ่นอุบว่าเขาควรจะเป็นคนที่เข้าไปกับพ่อของเขา อู๋เสอจะไปรู้อะไร ด้วยท่าทีที่เต็มไปด้วยความรู้สึกหงุดหงิดผิดหวังที่ละทิ้งคนเก่งไปอาศัยคนไม่รู้เรื่องอะไร อวิ๋นเยี่ยนั่งอยู่บนบันไดตบพื้นข้างๆ ที่ว่างอยู่บอกให้หลี่ไท่มานั่งตรงนี้ อย่าเพิ่งวิตกกังวลไป หลี่ซื่อหมินรักหน้าของเขาเป็นอย่างมาก คิดว่าคงจะต้องเสียเวลาอยู่สักหน่อย

 

 

หลี่ไท่เพิ่งจะนั่งลงเขาก็ถูกอวิ๋นเยี่ยจับกดไว้บนบันไดและกระหน่ำต่อย ในที่สุดก็หาโอกาสระบายความคับแค้นใจเรื่องกาน้ำชาออกมาได้แล้ว

 

 

 

 

 

 

——

 

 

[1] อู๋เสอ แปลว่า ไม่มีลิ้น หรือ ไม่ต้องมีปากมีเสียง