SD:บทที่ 89 หลี่จิงเหอ
หลังจากที่กลับมายังวิวล่า ซูฉิวไป่ ดูตัวจับเวลาที่นับถอยหลังงานของเขา 3 วันแล้วยังไม่มีความคืบหน้า
ทุกคนคงเหนื่อยมากเพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงเช้าดังนั้นหลังจากอาหารเย็น จักรพรรดิทุกคนก็ขึ้นไปพักผ่อนในขณะที่ ซูฉิวไป่ นั่งอยู่ในห้องนั่งเล่น
เมื่อเปิดระบบนำทางเขาวางแผนที่จะดูอีกครั้ง เผื่อว่าเขาสามารถคิดวิธีดีๆได้ แต่ ซูฉิวไป่ ก็พบว่า ซูเซี่ยวเซี่ยว เดินลงมาชั้นล่าง
เมื่อเห็นว่า ซูเซี่ยวเซี่ยว เดินลงมาเขาจึงพาเธอไปนั่งที่โซฟา
“พี่..พี่กำลังเจอปัญหาหรือเปล่า?” ซูเซี่ยวเซี่ยว รู้สึกลังเลสักครู่ก่อนที่จะถามในขณะที่เธอนั่งลง
ซูฉิวไป่ จ้องมองน้องสาวของเขาและคิดว่าเธออาจจะรู้ความลับของเขา
“เธอไม่ต้องกังวล ดูแลตัวเองให้ดี พี่จะส่งเธอไปเรียนที่เป่ยตูหลังจากที่เธอรักษาตัวดีแล้ว”
ซูฉิวไป่ ยิ้มและลูบหัวเล็กๆของเธอ เขาชอบที่จะลูบหัวเธอตั้งแต่ยังเด็ก ซูเซี่ยวเซี่ยว พยายามหลีกเลี่ยงมือของเขาจากนั้นเธอยิ้มและพูดว่า
“พี่หรือว่าคุณกังวลว่าพี่สาวหรงหรงจะไม่ชอบอย่างนั้นหรอ?”
เมื่อได้ยินคำพูดของ ซูเซี่ยวเซี่ยว ในที่สุด ซูฉิวไป่ ก็เข้าใจว่าทำไมเธอถึงถามคำถามก่อนหน้านี้
นั่นคือเหตุผลที่เธอกำลังถามฉันว่าฉันกำลังประสบปัญหาใดๆหรือเปล่า!
อย่างไรก็ตามมันก็เป็นเพียงเพราะคำพูดของน้องสาวของเขาทำให้เขานึกถึงเสน่ห์ของ เซี่ยหรงหรง และใบหน้ากับความรู้สึกแปลกๆที่กระเพื่อมอยู่ในใจของเขา เขาเคยมีความรู้สึกแบบนี้กลับหลิวโม่มาก่อน แต่มันก็หายไปในไม่ช้า
“เซี่ยวเซี่ยว เธอคิดว่าเขาชอบพี่อย่างนั้นหรอ?”
เพราะความล้มเหลวของเขาก่อนหน้านี้ในเรื่องความสัมพันธ์ใดส่งผลกระทบต่อเขาและทำให้เขารู้สึกลังเล นอกจากนี้เซี่ยหรงหรงยังไม่ใช่คนธรรมดาดังนั้นเขาจึงอดถามเธอไม่ได้
“แน่นอน!ฉันรู้สึกว่าพี่สาวหรงหรงนั้นสนใจพี่ พี่มั่นใจได้เลย!”
เมื่อมองไปที่พี่ชายของเธอที่กำลังทำใบหน้าเคร่งเครียด ซูเซี่ยวเซี่ยว โบกมือของเธอเพื่อที่จะให้กำลังใจเขา
ซูฉิวไป่ หัวเราะ แต่เขายังไม่แน่ใจในสิ่งที่เขารู้สึกจริงๆและนอกจากนี้เขายังต้องทำการทดสอบ หากเขาทำไม่สำเร็จภายใน 10 วันเขาจะตายทันที!
และทุกอย่างก็จะจบ!
ทันใดนั้นทั้งสองคนก็เงียบ ซูเซี่ยวเซี่ยว ดูเหมือนกำลังตกอยู่ในความคิด ในที่สุดเธอก็มอง ซูฉิวไป่ อย่างมุ่งมั่นและพูดขึ้นว่า
“พี่ น้าโทรหาแม่…”
ประโยคนี้ของเธอเหมือนไฟฟ้าช็อต ใบหน้าของ ซูฉิวไป่ เปลี่ยนไปทันทีหลังจากที่เธอพูดจบ ในความจริงหญิงสาวไม่เคยเห็นสีหน้าแบบนี้มาก่อน
“ทำไมน้่าถึงต้องการคุยกับแม่ พี่คิดว่าน้าตัดสินใจที่จะตัดความสัมพันธ์กลับแม่นานแล้ว”
เมื่อได้ยินความโกรธในน้ำเสียงของ ซูฉิวไป่ ซูเซี่ยวเซี่ยว ยังคงนิ่งเงียบอยู่สักพักก่อนที่จะพูดขึ้นว่า
“ฉันโทรหาแม่วันนี้ และบอกเธอว่าฉันจะไปเรียนต่อที่เป่ยตู จากนั้นเธอบอกฉันว่า น้าโทรหาเธอเมื่อ 2-3 วันก่อน…”
ในขณะที่พูด ซูเซี่ยวเซี่ยว ก็สังเกตสีหน้าของ ซูฉิวไป่ อย่างระมัดระวัง
เธอรู้ดีว่าพี่ชายของเธอนั้นโกรธแค้นมากแค่ไหนและเข้าใจว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในปีนั้นส่งผลกระทบใหญ่หลวงต่อ ซูฉิวไป่
“ งั้นหรอ?เธอวางแผนที่จะทำอะไรล่ะ?” ซูฉิวไป่ พูดจาอย่างเย็นชาสีหน้าของเขาแสดงออกอย่างเยือกเย็น
“ญาติของเรา……ดูเหมือนว่าเกิดอะไรบางอย่างกับลูกสาวของน้า เธอดูเหมือนจะมีชีวิตที่น่าสงสาร ดังนั้น…”
ซูเซี่ยวเซี่ยว หยุดกลางคันและไม่กล้าที่จะพูดต่อ
“มีชีวิตที่น่าสงสาร แล้วมันเกี่ยวอะไรกับพวกเรา ดังนั้นตอนนี้น้าเห็นแม่ของเราเป็นพี่สาวอีกครั้งอย่างนั้นหรอ?ถ้าเช่นนั้นทำไมเธอถึงตัดสัมพันธ์กับแม่ในอดีต?”เสียงของ ซูฉิวไป่ ดังขึ้นในขณะที่เขาลุกขึ้นยืน
“อย่าเพิ่งโกรธ ฉันแค่ต้องการบอกให้พี่รู้…ฉันไม่ได้หมายความอย่างอื่นเลย..”
เมื่อเห็น ซูฉิวไป่ ตอบโต้ด้วยวิธีนี้ ซูเซี่ยวเซี่ยว รู้สึกเป็นกังวลดังนั้นเธอจึงรีบดึงพี่ชายของเธอนั่งลง
“พี่รู้!เหตุผลเดียวที่แม่บอกเธอเรื่องนี้ก็เพราะแม่ต้องการให้เธอไปเยี่ยมน้า ในตอนที่พี่ส่งเธอไปยังเป่ยตูใช่ไหม?พี่ไม่เห็นด้วย!”
ซูฉิวไป่ ตะโกนออกมาอย่างไม่ลังเล คำพูดของ ซูฉิวไป่ คือสิ่งที่ ซูเซี่ยวเซี่ยว ไม่ได้พูดถึงเพราะมันคือความตั้งใจของแม่จริงๆ
“แต่…”
“ไม่ พี่ได้บอกเธอไปก่อนหน้านี้แล้วเราไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับพวกเขาอีก พวกเขาเป็นชนชั้นสูงและเราเป็นแค่คนธรรมดา พวกเขาเดินบนกองเงินกองทองในขณะที่เราเดินแค่สะพานไม้….เราจะไม่พูดเรื่องนี้อีกแล้ว พี่จะออกไปสูบบุหรี่”
หลังจากนั้น ซูฉิวไป่ หันหลังแล้วเดินจากไปปล่อยให้ ซูเซี่ยวเซี่ยว นั่งอยู่บนโซฟาพร้อมกับสีหน้าที่แสดงถึงความไม่สบายใจ สุดท้ายเธอก็ทำเพียงถอนหายใจยาว
เธอเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าทำไมพี่ชายของเธอถึงมีปฏิกิริยาเช่นนี้ หากเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นกับเธอในเวลานั้นปฏิกิริยาของเธออาจรุนแรงมากกว่านี้
น้าที่ ซูเซี่ยวเซี่ยว พูดถึงคือหลี่จิงเหอ เธอเป็นน้องสาวของแม่พวกเขา ฉิวชุนหยู เนื่องจากพวกเธอมีแม่คนเดียวกันแต่คนละพ่อ ฉิวชุนหยู มีอายุมากกว่า หลี่จิงเหอ 2 ปีและทั้งสองคนเติบโตมาพร้อมกัน
ครอบครัวของ หลี่จิงเหอ นั้นสมบูรณ์แบบทุกอย่าง แต่พ่อที่เป็นผู้ให้กำเนิดของ ฉิวชุนหยู เสียชีวิตตั้งแต่อายุยังน้อยอย่างนั้นแม่ของพวกเธอจึงแต่งงานกับพ่อของ หลี่จิงเหอ
ด้วยเหตุผลเหล่านี้ หลี่จิงเหอ จึงสามารถเรียนมหาวิทยาลัยและไปศึกษาต่อต่างประเทศในขณะเดียวกัน ฉิวชุนหยู แต่งงานกับชายที่อาศัยอยู่ในชนบทหลังจากเรียนจบมัธยม
หลังจากที่พ่อแม่เขาพวกเขาจากไป หลี่จิงเหอ แต่งงานกับเจ้าหน้าที่ระดับสูงและมีอำนาจเธอไม่เคยกลับมาเยี่ยมเยี่ยม ฉิวชุนหยู เลย
ในตอนแรกมันไม่ได้เป็นเรื่องสำคัญมากนัก แต่มีอยู่ช่วงหนึ่งที่การเก็บเกี่ยวของฟาร์มนั้นดีและ ฉิวชุนหยู จำได้ว่าน้องสาวของเธอนั้นชอบทานอาหารจานพิเศษจากชนบทเมื่อเธอยังเด็กดังนั้น ฉิวชุนหยู จึงไปเป่ยตูด้วยรถไฟในตอนนั้น ซูฉิวไป่ มีอายุเพียง 8 ขวบ
พวกเขาพยายามติดต่อและค้นหาบ้านของ หลี่จิงเหอ ที่เป่ยตู เป็นเวลานานที่พวกเขาจะพบเจอ จากนั้นพวกเขาไปเคาะประตูเพื่ออธิบายเหตุผลที่พวกเขามาถึง เพียงไม่นาน หลี่จิงเหอ ก็พุ่งออกมาหาพวกเขาเธอไม่รอคอยให้ ฉิวชุนหยู ได้ทันหยิบของพิเศษที่เตรียมมาออกจากกระเป๋า หลี่จิงเหอ ผลัก ฉิวชุนหยู ที่เพิ่งก้าวเข้ามาในบ้านออกไปทันที
เธอไม่แม้แต่จะมองมาที่ ซูฉิวไป่ เมื่อเธอกำลังขับไล่พวกเขา เธอยังบอกอีกด้วยว่า ฉิวชุนหยู ไม่สมควรที่จะมาเป่ยตู หากครอบครัวของเธอรู้ว่าเธอมีญาติแบบนี้ สถานะของเธอและอนาคตของลูกสาวเธอจะได้รับผลกระทบอย่างแน่นอน
เธอยังพูดอีกว่า ฉิวชุนหยู ควรจะหยุดติดต่อกับเธอและปฏิบัติราวกับว่าพวกเธอนั้นไม่รู้จักกัน!
จากนั้นเธอก็กระแทกประตูปิดทันที
แม่และลูกชายนั่งอยู่บนมานั่งที่สถานีรถไฟตลอดคืนเพื่อรอรถไฟกลับบ้านในเช้าวันรุ่งขึ้น
ฤดูหนาวนั้นเป็นฤดูหนาวที่หนาวที่สุดในความทรงจำของ ซูฉิวไป่ และเขาตัดสินใจว่าเขาจะไม่กลับไปยังเป่ยตูอีกเลย
ไม่มีใครรู้ว่าเหตุการณ์นั้นส่งผลกระทบต่อ ซูฉิวไป่ มากเพียงใด หลังจากเกิดเหตุการณ์นั้น ซูฉิวไป่ กลายเป็นคนไม่ค่อยพูด แม้แต่ในความฝันของเขาก็ยังคงเห็นประตูที่กระแทกปิดพร้อมกับใบหน้าเย็นชาของผู้หญิงคนนั้น
โชคดีที่ได้ความอบอุ่นของครอบครัวของเขาทำให้ ซูฉิวไป่ ค่อยๆเดินออกมาจากเงามืดและค่อยๆพูดออกมาในที่สุด แต่เขาไม่มีวันลืมเหตุการณ์นั้นเด็ดขาด!
ตอนแรกเขาคิดว่าเขาจะไม่ต้องได้ยินเกี่ยวกับเรื่องนี้อีก เขาไม่คาดหวังว่าหลังจากผ่านไปหลายปี ซูเซี่ยวเซี่ยว จะต้องไปเรียนที่มหาลัยแห่งหนึ่งในเป่ยตู ซึ่งทำให้ ซูฉิวไป่ นึกถึงผู้หญิงอีกคนที่ชื่อ หลี่จิงเหอ
เขานั่งอยู่ในรถและสูบบุหรี่ หลังจากเวลาผ่านไปในที่สุดเขาก็สามารถสงบสติอารมณ์ได้ เขาเสียใจที่เสียงดังกลับ ซูเซี่ยวเซี่ยว แต่เมื่อนึกถึงผู้หญิงคนนั้นเขายังคงไม่สามารถควบคุมอารมณ์ของตัวเองได้ เมื่อเขาคิดจะกลับไปขอโทษน้องสาวโทรศัพท์ของเขาก็ดังขึ้น
เมื่อดูหมายเลขนั้น ซูฉิวไป่ รู้สึกสับสนเล็กน้อยเพราะจริงๆนั้นคือหมายเลขของ เซี่ยเซี่ยวโม
เขารับสายอย่างไม่ตั้งใจ
“คุณซู ฉัน เซี่ยเซี่ยวโม” เซี่ยเซี่ยวโม ใช้ความกล้าที่จะพูดขึ้นก่อน
“เกิดอะไรขึ้น?โรงพยาบาลไม่ยอมรับผู้ป่วยอย่างนั้นหรอ?”
นั่นเป็นปฏิกิริยาแรกของ ซูฉิวไป่ เพราะเขาไม่สามารถนึกถึงเหตุผลอื่นว่าทำไมตำรวจหญิงคนนี้ถึงโทรหาเขา
“ไม่ใช่แบบนั้น โรงพยาบาลรับผิดชอบดีมาก เราถูกย้ายมาที่โรงพยาบาลเมื่อวานและทุกอย่างเป็นไปด้วยดี มันเป็นเพียงอาการเจ็บป่วยของเด็ก…ยังไม่สามารถรักษาได้”เมื่อเธอพูดคำนี้ออกมา ซูฉิวไป่ รู้สึกถึงน้ำเสียงของ เซี่ยเซี่ยวโม ขาดหายไปและรู้สึกหมดหนทาง
“โรงพยาบาลตงไห่รักษาไม่ได้หรอ?หลิวเทียนหมิงเป็นยังไง เขาเป็นผู้อำนวยการแต่เขายังแก้ปัญหาไม่ได้อย่างนั้นหรอ?” ซูฉิวไป่ รู้สึกสับสนมากเขาจึงถามคำถามขึ้น เพราะท้ายสุดแล้วโรงพยาบาลตงไห่เป็นโรงพยาบาลที่มีชื่อเสียงในประเทศ พวกเขาจะไร้ความสามารถขนาดนั้นหรอ
ในความเป็นจริงเขาคิดว่าเขาจะรับฮัวโต๋มารักษาแต่ช่องมิติของเขาไม่สามารถเปิดได้ดังนั้น เขาทำได้เพียงปัดความคิดเหล่านี้
“ไม่ใช่ …ผู้อำนวยการหลิวมาหาซินเอ๋อเป็นการส่วนตัว แต่เขาไม่สามารถหาสาเหตุที่แท้จริงได้ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถทำอะไรได้” เซี่ยเซี่ยวโม อธิบายอย่างรวดเร็วเพราะกังวลว่า ซูฉิวไป่ จะเข้าใจผิด
“แล้วคุณวางแผนที่จะทำอะไรต่อจากนี้?” ซูฉิวไป่ รู้สึกกังวลเช่นกัน
ถ้าฉันสามารถเปิดช่องมิติได้ ทุกอย่างจะต้องดีขึ้นอย่างแน่นอน
“เอ่อ..คือว่า ผู้อำนวยการหลิวกล่าวไว้ว่าอาจมีใครสักคนที่สามารถรักษาได้” เซี่ยเซี่ยวโม พูดติดอ่างเสียงของเธอเต็มเรื่องความลังเล ซูฉิวไป่ เองรู้สึกสับสนเช่นกัน
“ใคร?”
“คุณ….”
——————————————