บทที่****156: การต่อสู้เขย่าสวรรค์

“ฉุ่ยจิ้งเกิดอะไรขึ้น? ทำไมพวกเจ้าจึงเดินออกมาจากประตูนี้? แล้วเหล่าศิษย์ปีศาจอยู่ที่ใด?” นักบวชฮัวอวิ๋นถามออกมาด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสับสน

“ท่านอาจารย์ลุง พวกเราทั้งหมดซุ่มโจมตีผู้ฝึกตนปีศาจในจุดที่พวกเขารวมตัวกัน หลังจากสังหารผู้ฝึกตนปีศาจนับสามสิบคน พวกเราไม่มีเวลามากพอที่จะถอยกลับ ดังนั้นพวกเราจึงใช้ประตูเคลื่อนย้ายของพวกเขากลับออกมา!” ฉุ่ยจิ้งอธิบาย

เมื่อฉุ่ยจิ้งกล่าวดังนั้น เกิดความปั่นป่วนขึ้นทันทีภายในบริเวณนั้น ผู้ฝึกคนชอบธรรมต่างพากันโห่ร้องอย่างยินดี แต่ทว่าฝ่ายผู้ฝึกตนปีศาจกำลังส่งเสียงคำรามอย่างโกรธแค้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้เฒ่าเฟิงซึ่งไม่อาจเชื่อในคำอธิบายของฉุ่ยจิ้ง เขาคำรามออกมา “โกหก ยู่เฟิงของเราครอบครองภาพวาดแห่งหญิงงามทั้งเก้าซึ่งเป็นสมบัติวิญญาณขั้นเก้า เป็นไปไม่ได้ที่พวกเจ้าจะซุ่มโจมตีที่จุดรวมตัวของพวกเราได้!”

“ข้าขอแสดงความเสียใจด้วย!” ฉุ่ยจิ้งกล่าวอย่างเงียบสงบ “ศิษย์พี่ยู่เฟิงถูกสังหารโดยดาบเทวะไร้ผู้ต้านเมื่อไม่กี่วันก่อน ดังนั้นเขาจึงไม่ได้เข้าร่วมในการต่อสู้ครั้งสุดท้าย!”

“อะไรนะ?” ผู้เฒ่าเฟิงคำรามออกมาอย่างไม่เชื่อคำพูดนั้น “เจ้ากำลังบอกว่าศิษย์ที่ไร้สมบัติวิญญาณสังหารยู่เฟิงที่ครองครองภาพวาดแห่งหญิงงามทั้งเก้างั้นหรือ?”

“เป็นความจริง!” ฉุ่ยจิ้งกล่าวอย่างสงบ “ดาบเทวะไร้ผู้ต้านกำลังรับความทุกข์ทรมานจากคำสาป เขาไม่สามารถนอนหลับได้ และไม่อาจเข้าร่วมการต่อสู้ครั้งสุดท้ายได้! ตอนนี้เขาอยู่กับศิษย์พี่ผู้หนึ่งกำลังดูแลเขาอยู่ ซึ่งอยู่ที่ประตูเคลื่อนย้ายของผู้ฝึกฝนชอบธรรม!”

บุคคลรอบข้างตาสว่างขึ้นมาทันที เขานึกได้ว่ามีผู้ฝึกตนชอบธรรมสองคนอยู่ที่ประตูเคลื่อนย้าย แน่นอนว่ามีคนหนึ่งที่กำลังนอนอยู่บนพื้นนั่นเป็นเพราะเขาถูกคำสาปเล่นงาน ในขณะนี้ดาบเทวะไร้ผู้ต้านได้พบกับเหล่าศิษย์คนอื่นแล้ว พวกเขาหันกลับมามองดาบเทวะไร้ผู้ต้านที่ใบหน้าเต็มเปี่ยมไปด้วยปราณจิตวิญญาณสีดำ ‘เด็กคนนี้น่ะหรือที่สังหารยู่เฟิงและฉกฉวยเอาภาพวาดแห่งหญิงงามทั้งเก้าไป?’ เมื่อคิดถึงความสวยงามของภาพวาดแห่งหญิงงามทั้งเก้า ผู้คนโดยรอบอดไม่ได้ที่จะรู้สึกตื่นเต้น

แต่ผู้เฒ่าเฟิงดูจะเป็นคนที่กระวนกระวายใจมากที่สุดในตอนนี้ เพราะสถานะของยู่เฟิงนั้นมีความสำคัญอย่างมาก อีกทั้งภาพวาดแห่งหญิงงามทั้งเก้ายังหายไปภายใต้การดูแลของเขาอีก ปัญหานี้ใหญ่เกินไป เขาอาจจะไม่ได้ใช้ชีวิตต่อไปถ้าหากกลับไปถึงสำนัก

แต่ในขณะนั้นนักบวชฮัวอวิ๋นไม่ปล่อยให้โอกาสนี้ผ่านไป เขาเริ่มการถากถางทันที “ฮ่าฮ่า ตาเฒ่าเฟิง เจ้ายอมรับหรือยังว่าเจ้าพ่ายแพ้?” เมื่อผู้เฒ่าเฟิงได้ยินเช่นนั้น เขาแทบตายตกไปเพราะโกรธจัด เขามาจากสำนักปีศาจและไม่มีอารมณ์จะรักษาสัญญา สถานการณ์ต่างๆได้บังคับให้เขาดื้อดึงที่จะเดินต่อไป

ไม่มีคำกล่าวใดต่อจากนั้น เขาหยิบดาบดำของตนเองออกมาพร้อมคำรามอย่างบ้าคลั่ง “สารเลว!”

ขอบคุณสวรรค์ที่นักบวชฮัวอวิ๋นเข้าใจธรรมชาติของเหล่าผู้ฝึกตนปีศาจอยู่แล้ว เขาคาดการณ์ไว้แล้วว่าจะต้องเกิดเรื่องเช่นนี้ จากนั้นเขาหยิบดาบเทวะมังกรอัคคีออกมาเพื่อตั้งรับการโจมตีทันที

การกระทำที่ไร้ยางอายของผู้เฒ่าเฟิงทำให้นักบวชฮัวอวิ๋นโกรธจัดโดยสมบูรณ์ เขาตะโกนออกมา “ตาเฒ่าเฟิง เจ้าไม่ยอมรับความพ่ายแพ้งั้นหรือ?”

ผู้เฒ่าเฟิงไม่สนใจสิ่งที่นักบวชฮัวอวิ๋นตำหนิเขา แน่นอนว่าเขาไม่ยอมรับความพ่ายแพ้และจะไม่ยอมสูญเสียสิ่งใด เรื่องพวกนี้สำคัญมากเกินไป เหล่าศิษย์ของเขาได้ตายตกไปจนหมดสิ้น แต่เหล่าศิษย์ของฝ่ายชอบธรรมเดินทางกลับมาพร้อมกับรางวัลมากมาย ถ้าหากปล่อยพวกเขาไปแน่นอนว่ามันจะสร้างปัญหาใหญ่ให้กับเขาในอนาคต! สถานะของเขาในตอนนี้ไม่ได้มีพลังมากพอที่จะสรรหาเหล่าศิษย์ที่มีพรสวรรค์เช่นนี้อีกแล้ว อีกทั้งยังไม่สามารถปล่อยให้ผลไม้วิญญาณที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวในรอบหนึ่งร้อยปีหลุดไปได้อีกด้วย

ดังนั้นเพื่อป้องกันไม่ให้เหล่าสำนักอันชอบธรรมก้าวหน้ามากไปกว่านี้ในอนาคต หนทางเดียวคือต้องสังหารพวกเขาทั้งหมด

เขาตะโกนออกมาอย่างรวดเร็วใส่นักบวชฮัวอวิ๋น “เหล่าศิษย์จากสำนักปีศาจทั้งหมดได้ตายตกไป ศิษย์ชอบธรรมก็ไม่อาจมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ ถ้าไม่เช่นนั้นเหล่าคนสารเลวพวกนี้จะก้าวหน้าขึ้นอีกมากในอนาคต ซึ่งจะสร้างปัญหาใหญ่ให้กับเราในอนาคต!”

เหล่าผู้ฝึกตนปีศาจไม่ได้เป็นคนโง่งม พวกเขาเข้าใจประโยคนี้อย่างรวดเร็ว อีกทั้งการสูญเสียเหล่าอัจฉริยะของพวกเขานับว่ามากเกินไป ในขณะที่ผู้เฒ่าเฟิงตะโกนเช่นนั้นออกมา ทุกคนเตรียมพร้อมเข้าสู่การสู้รบอย่างรวดเร็ว “ถูกต้องแล้ว พวกเราควรสังหารพวกเขาทั้งหมด!”

“เป็นเช่นนั้น ข้าเห็นด้วย!”

“แล้วพวกเรารอสิ่งใดอยู่ โจมตีพร้อมกัน!” หลังจากการคำรามของเหล่าผู้ฝึกตนปีศาจ การต่อสู้ครั้งใหญ่ได้เกิดขึ้นทันที

ผู้ฝึกตนระดับหยวนหยินทั้งเจ็ดคนจากสำนักปีศาจและเหล่าคนรับใช้ระดับจินตันเปิดฉากการต่อสู้กับเหล่าผู้ฝึกตนชอบธรรมทันที ผู้ฝึกตนชอบธรรมไม่รอช้า พวกเขาเตรียมพร้อมเข้าสู่การต่อสู้อย่างรวดเร็วพร้อมกับปกป้องเหล่าศิษย์นับสามสิบคน

สำหรับสำนักที่เป็นกลาง พวกเขาทั้งหมดรีบพาศิษย์ของตนเองออกจากประตูเคลื่อนย้ายและหนีไปอย่างรวดเร็ว แน่นอนว่าพวกเขาไม่สนใจที่จะเข้าร่วมการต่อสู้ครั้งนี้

เหตุการณ์นี้ทำให้เจ้าอ้วนและทุกคนร่วมกันเป็นสักขีพยานในการต่อสู้ที่เขย่าฟ้าดินนี้ทันที ผู้ฝึกตนระดับหยวนหยินสิบสี่คนและผู้ฝึกตนระดับจินตันยี่สิบหกคนกำลังต่อสู้กัน การต่อสู้ของผู้ฝึกตนระดับหยวนหยินนับเป็นปรากฏการที่ยิ่งใหญ่ การโจมตีของพวกเขาทุกท่วงท่านั้นเปรียบได้กับสิ่งที่สะเทือนฟ้าสะเทือนดินได้ ผู้ฝึกตนหยวนหยินทั้งเจ็ดคนได้ทำการร่ายอาคมเพื่อปกป้องเจ้าอ้วนและเหล่าศิษย์คนอื่น ๆ ในรัศมีหนึ่งร้อยฟุตอีกด้วย

สำหรับผู้ฝึกตนปีศาจที่อยู่ด้านนอก พวกเขาเริ่มทำลายลำแสงเทวะต่าง ๆ ทั่วทั้งท้องฟ้าเต็มไปด้วยเสียงกรีดร้องของเหล่าปีศาจ ทั้งแมลงพิษและสมบัติวิเศษ พวกเขารวมพลังกันและโจมตีไปที่ผู้ฝึกตนชอบธรรมพร้อมกันอย่างน่าเกรงขาม

อสรพิษที่อยู่บนไม้เท้าของผู้เฒ่าเฟิงได้ถูกเปลี่ยนเป็นอสูรกายขนาดใหญ่กำลังโจมตีลำแสงเทวะอย่างบ้าคลั่ง สำหรับนักบวชฮัวอวิ๋น เขาควงดาบเทวะมังกรอัคคีพร้อมกับส่งลำแสงมังกรนับร้อยฟุตออกไปทั่วท้องฟ้า ทั้งสองฝ่ายโจมตีกันอย่างรุนแรง อสรพิษพ่นพิษออกมาทำให้เกิดหลุมขนาดใหญ่บนพื้นกัดกร่อนทุกสิ่งที่มันได้ผ่าน อุปกรณ์ระดับต่ำถูกทำลายลงอย่างรวดเร็ว

สมบัติวิเศษของนักบวชฮัวอวิ๋นนั้นไม่ธรรมดา มันเป็นสมบัติวิเศษขั้นเก้าซึ่งแข็งแกร่งอย่างมาก พลังของมันสามารถได้รับชัยชนะจากการต่อสู้สองต่อหนึ่งได้ไม่ยากเย็นนัก

ผู้ฝึกตนหยวนหยินคนอื่นเข้าร่วมการต่อสู้ที่รุนแรงเช่นนี้ด้วย ทุกสิ่งที่ถูกร่ายออกมาทำให้เกิดหลุมมากมายและเสียงการปะทะอย่างรุนแรง ประตูเคลื่อนย้ายถูกทำลายลงอย่างรวดเร็วด้วยฝีมือของเหล่าผู้ฝึกตนหยวนหยินเหล่านี้

การต่อสู้ครั้งนี้ไม่เพียงแค่รุนแรงเท่านั้น แม้แต่นาวายักษ์ที่จอดอยู่ยังเข้าร่วมการสู้รบครั้งนี้ด้วย หลังจากที่ด้านล่างเริ่มต่อสู้กัน เหล่าศิษย์ที่อยู่ด้านบนจึงเริ่มใช้งานระบบป้องกันทันที สิ่งประดิษฐ์ยักษ์เหล่านี้ไม่เคยมีโอกาสได้สู้รบเลย พวกมันมีไว้ใช้เคลื่อนย้ายคนจำนวนมากเท่านั้น แต่พลังอำนาจการสู้รบของมันนั้นแข็งแกร่งไม่น้อย ในครั้งนี้พวกมันจึงได้แสดงความสามารถที่มี

นาวายักษ์ของสำนักเสวียนเทียน หลังจากการต่อสู้เริ่มต้นขึ้น นาวายักษ์พลันถูกปกคลุมไปด้วยแสงสีเขียว จากนั้นหอคอยที่อยู่บนเรือเริ่มดูดซึมปราณจิตวิญญาณโดยรอบทันที เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมมันจะปล่อยลูกบอลสีเขียวออกมาจากปืนที่อยู่ด้านบนสุดของเสากระโดงเรือ

บอลสายฟ้าแห่งสวรรค์นี้นามว่าสายฟ้าแห่งเทพไท่อี้ สิ่งที่ให้กำเนิดสายฟ้าเป็นเจดีย์ทั้งหลายซึ่งถูกเรียกขานว่า เจดีย์เทพไท่อี้ มันถูกสร้างขึ้นโดยนักบวชเต๋าที่ยึดหลักของเทพเจ้าไท่อี้ จากนั้นจึงค่อยใช้ปราณจิตวิญญาณไท่อี้สร้างขึ้นเป็นสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ดังกล่าว ภายหลังได้ปรากฏช่างฝีมือระดับปรมาจารย์ช่วยชักนำปราณจิตวิญญาณสร้างขึ้นเป็นสายฟ้าแห่งเทพไท่อี้จนออกมาเป็นสมบัติวิเศษดังกล่าว

สมบัติประเภทนี้ภายหลังถูกนำมาใช้กันอย่างแพร่หลายเพราะขนาดที่เหมาะสมและพลังอำนาจที่มหาศาล นาวาสีขาวของสำนักเสวียนเทียนก็บรรจุเจดีย์เทพเจ้าไท่อี้เอาไว้จำนวนไม่น้อย

สายฟ้าแห่งเทพไท่อี้นับว่าเกินกว่าธรรมดา เพียงเจดีย์ขนาดหนึ่งจ้างก็สามารถสร้างสายฟ้าแห่งเทพไท่อี้ออกมาได้ไม่ต่ำกว่าสามฟุต พลังนับว่าทัดเทียมได้กับผู้ฝึกตนระดับจินตันที่โจมตีออกอย่างสุดแรง กระทั่งว่าเป็นเจดีย์ที่ขนาดเล็กลง มันก็ยังสามารถปลดปล่อยพลังระดับปฐมภูมิออกมาได้

ในขณะที่มันถูกเปิดใช้งาน ลูกบอลสายฟ้าสีน้ำเงินนับสองร้อยลูกพุ่งโจมตีเข้าใส่เหล่าผู้ฝึกตนปีศาจราวกับอุกกาบาต ทั้งความยิ่งใหญ่และพลังการโจมตีถือได้ว่าเป็นสิ่งที่มหัศจรรย์อย่างมาก สิ่งประดิษฐ์ชิ้นนี้เต็มไปด้วยเครื่องมือที่ทรงพลัง นั่นทำให้มันแข็งแกร่งอย่างมาก! แน่นอนว่าไม่ใช่นาวายักษ์ของสำนักเสวียนเทียนเท่านั้นที่แข็งแกร่ง เหล่านาวายักษ์ของสำนักอื่นก็ไม่อ่อนด้อยเช่นกัน หอเฉวียนจี้มีนาวาวิญญาณวารีสายฟ้า ในขณะที่มันถูกเปิดใช้งาน สายฟ้าวารีนับร้อยจะพุ่งออกมา และพลังของมันยังสามารถสังหารผู้ฝึกตนระดับจินตันได้

ทางด้านผู้ฝึกตนปีศาจก็หาได้น้อยหน้าไม่ ไม่ว่าจะเป็นนาวายักษ์สีดำของสำนักพันปีศาจ นาวายักษ์กระดูกขาวของสำนักปีศาจโลหิต ทั้งสองสิ่งนี้ต่างแข็งแกร่งไม่แพ้กัน มันสามารถปลดปล่อยสายฟ้าได้ และยิงลูกศรวิญญาณซึ่งนับว่าเป็นพลังที่ชั่วร้ายอย่างมาก

หลังจากทั้งสองฝั่งเปิดศึกเต็มรูปแบบ สมบัติวิเศษขนาดใหญ่เหล่านี้ของแต่ละพรรคต่างสำแดงพลังอำนาจกันอย่างเต็มที่ อย่างไรแล้วสมบัติวิเศษขนาดยักษ์เหล่านี้ก็ยังมีความแข็งแกร่งไม่ใช่น้อย แต่หากไม่มีนายเหนือนั่งควบคุมการโจมตีพวกมันแม้มีแรงก็ไม่อาจกระทำออก ดังนั้นแล้วทั้งสองฝ่ายตอนนี้จึงต่างกินกันไม่ลง

ในตอนนี้ทั้งแสงสว่างและเสียงดังลั่นปรากฏทั่วทั้งสมรภูมิรบ รัศมีของสมรภูมิรบยิ่งผ่านไปยิ่งขยายกว้างขึ้นเป็นหลายลี้เกิดเป็นการสู้รบครั้งยิ่งใหญ่ เจ้าอ้วนและผู้อื่นทำได้เพียงแค่รับชมเรื่องราวพร้อมคาดหวังว่าสมบัติวิเศษของพวกตนจะได้มีโอกาสสำแดงพลังอันใดได้บ้าง แต่เรื่องราวครั้งนี้นับว่าเกินมือไปมาก

แต่แม้จะเป็นเช่นนั้น เจ้าอ้วนและพรรคพวกต่างก็ไม่คิดหวาดเกรงสงครามครั้งนี้ สถานการณ์ในสมรภูมิรบมีแต่จะขยายออกกว้างไม่มีทีท่าลดน้อยลงแม้สักนิด

กับสถานการณ์นี้กล่าวตามตรงคือแต่ละฝ่ายต่างไม่อาจทำร้ายอีกฝ่ายอย่างหมดจดได้ ทุกคนต่างมีพละกำลังที่ทัดเทียมกัน ในเมื่อสถานการณ์ค่อนข้างสมดุล การจะบอกว่าฝ่ายใดคือผู้ชนะก็นับเป็นเรื่องยากแล้ว

แต่ปัญหาก็คล้ายมีอยู่ ด้านผู้ฝึกตนชั่วร้ายลูกศิษย์ล้วนตายกันสิ้น พวกเขาไม่มีห่วงใดหลงเหลือจึงสามารถโจมตีออกได้โดยไม่ต้องกังวล แต่กับผู้ฝึกตนอันชอบธรรมต่างมีลูกศิษย์ให้ต้องปกป้อง เจ้าอ้วนและศิษย์สำนักเสวียนเทียนต่างก็ว้าวุ่นใจเพราะไม่อาจเป็นกำลังเสริมให้การศึกครั้งนี้ ทั้งยังเป็นตัวถ่วง ผู้ฝึกตนอันชอบธรรมต่างคล้ายโดนมัดมือมัดเท้าเอาไว้จนเริ่มโรยรากันไปทีละน้อย