บทที่ 1234 เชิญตามสบาย

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

บทที่ 1234 เชิญตามสบาย โดย Ink Stone_Fantasy

เหมียวอี้ก็ไม่ใช่คนโง่เช่นกัน เมื่อเห็นสายตาของคนพวกนี้ ก็รู้แล้วว่าพวกเขามีความเห็นบางอย่างต่อตน

ในใจเขาก็มีความคิดเห็นเหมือนกัน แต่จนใจที่อีกฝ่ายกล้าแสดงออกมา แต่เขากลับไม่กล้าเปิดเผย ยังต้องทำสีหน้ายิ้มโง่ๆ กำลังของทั้งสองฝ่ายก็เห็นๆ กันอยู่ ไม่มีโอกาสชนะเลยแม้แต่น้อย ทำได้เพียงอดทนไว้

จินม่านในตอนนี้กลับแสดงท่าทีเคารพ เชิญให้เขาขึ้นนั่งบนเบื้องสูง

เมื่อเห็นเหมียวอี้เดินขึ้นบันไดไปอย่างไม่ตื่นเต้นลนลาน ในใจจินม่านก็เคลือบแคลงเหมือนกัน มองไม่ออกเลยว่าเจ้าหมอนี่จะไม่ประหม่าเลยสักนิด นักพรตบงกชทองคนหนึ่งที่เผชิญหน้ากับยอดฝีมือมากมายขนาดนี้ แต่กลับไม่ตื่นเต้นกังวลเลยสักนิด

เมื่อเดินมาถึงข้างบัลลังก์ จินม่านก็ยื่นมือเชิญเขานั่งอีกครั้ง

เหมียวอี้ไม่สนใจ ตราบใดที่ไม่ส่งผลต่อความปลอดภัยของเขา พวกเจ้าบอกให้ทำอย่างไรข้าก็ทำอย่างนั้น ทำตามความต้องการของพวกเจ้า คาดว่าคงจะไม่เกิดเรื่องอะไร ถึงได้เอามือค้ำเข่านั่งลงอย่างมั่นคง

จินม่านเหลือบมองเขาแวบหนึ่ง แต่ยังไม่ได้ออกไปไหน เพียงยืนอยู่ข้างๆ บัลลังก์ หันหน้าไปหาทุกคน กวาดสายตามองเบื้องล่าง เมื่อเห็นคนเอียงหน้ามองไปด้านข้าง ทำสีหน้าเหมือนทนมองไม่ไหว นางก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วครุ่นคิด ก่อนจะพูดเสียงดังว่า “ประมุขปราชญ์เหมียวอี้สืบทอดตำแหน่ง ลัทธิอู๋เลี่ยงยอมรับประมุข ขุนพลทุกคนคารวะ!”

ชายหญิงยี่สิบกว่าคนเบื้องล่างที่อายุแตกต่างกันมองหน้ากันไปมองหน้ากันมา ไม่มีใครทำความเคารพสักคน

จินม่านที่ยืนอยู่ด้านบนถลึงตาจ้องสืออวิ๋นเปียนข้างล่างแวบหนึ่ง ทำให้สืออวิ๋นเปียนเม้มริมฝีปากแน่น นำคุกเข่าอย่างช้าๆ ก่อนเป็นคนแรก ก้มหน้ากล่าวเสียงต่ำว่า “คำนับประมุขปราชญ์!” พูดจบแล้วไม่เห็นคนอื่นมีปฏิกิริยาอะไร จึงมองซ้ายมองซ้ายครู่หนึ่ง แล้วยื่นมือดึงชายเสื้อคนที่อยู่ทางซ้ายและขวา

ชายชราสองคนที่ยืนอยู่ทางซ้ายและขวาสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง จากนั้นสะบัดชายเสื้อคุกเข่าลงอย่างช้าๆ คุกเข่าลงด้วยท่าทางกดดันไร้ที่เปรียบ ก้มหน้ากล่าวว่า “คารวะประมุขปราชญ์!”

ขนาดขุนพลสามคนที่อยู่ข้างหน้าสุดยังคุกเข่าลงแล้ว หลังจากทุกคนที่อยู่ข้างหลังมองหน้ากันเลิกลั่กพักหนึ่ง ก็ทยอยกันคุกเข่าข้างเดียวตามเช่นกัน “คำนับประมุขปราชญ์!”

เสียงคำนับดังแบบไม่พร้อมเพียง เรียกได้ว่าดังเป็นหย่อมๆ เห็นได้ชัดว่าไม่สมัครใจสุดๆ

เหมียวอี้ที่นั่งอยู่เบื้องสูงโค้งมุมปากเล็กน้อย ในใจแอบรู้สึกตลก กลุ่มคนที่สามารถมาโผล่อยู่ตรงนี้ได้คงจะวรยุทธ์ไม่ต่ำ โดยเฉพาะสามคนที่อยู่หน้าสุด แม้แต่ยอดฝีมือระดับสำแดงฤทธิ์ก็ยังมาคุกเข่าอยู่ตรงหน้าตัวเองเลย ตอนให้นอนฝันเขาก็ไม่เคยคิดว่าจะมีวันนี้ได้ รสชาติแบบนี้ทำให้คนแอบสะใจไม่หยุดจริงๆ

“มัวอึ้งอะไรอยู่ ยังไม่รีบให้ทุกคนลุกขึ้นมาอีก อยากจะให้พวกเขาคุกเข่านานๆ จนโมโหรึไง?” จินม่านกระซิบถ่ายทอดเสียงข้างหูท่านประมุขปราชญ์เหมียว

เหมียวอี้ถ่ายทอดเสียงถามทันที “ข้าต้องพูดอะไรสักหน่อยรึเปล่า?”

จินม่านแอบตำหนิว่า “เจ้าดูไม่ออกเหรอว่าเขาทนความรำคาญไม่ได้แล้ว? ถ้าพูดมากต่อไประวังพวกเขาจะทำให้เจ้าหาทางลงไม่ได้นะ ถ้ามีคำพูดไร้สาระอะไรก็ค่อยเอาไว้พูดตอนหลัง ให้พวกเขาคุกเข่าผ่านด่านนี้ไปก่อน ต่อไปถ้าอยากจะพูดอะไรก็ยังมีโอกาส”

เหมียวอี้แอบด่าในใจว่า เป็นบ้าไปแล้วสินะ ในไม่เอทุกคนไม่เต็มใจ แล้วจะฝืนใจไปทำไม

ภายนอกยังคงเจียดรอยยิ้มออกมา ยกสองมือให้กลุ่มคนที่นั่งคุกเข่า “ทุกคนยืนเถอะ”

พวกเขายืนขึ้นอย่างรวดเร็วฉับไวมาก ไม่ได้ชักช้ายืดยาดเหมือนตอนจะคุกเข่า พอสิ้นเสียงเหมียวอี้ ทุกคนก็ยืนขึ้นอย่างรวดเร็ว

หลังจากยืนขึ้น ชายชราที่อยู่ทางซ้ายมือของสืออวิ๋นเปียนก็กุมหมัดคารวะจินม่านทันที “ประมุขขุนพล ถ้าไม่มีอะไรอย่างอื่นจะกำชับแล้ว พวกเราขอตัวก่อน”

ไม่ขอคำชี้แนะจากเหมียวอี้ แต่กลับขอคำชี้แนะจากจินม่าน เห็นได้ชัดว่าไม่เห็นเหมียวอี้อยู่ในสายตา ถ้าท่านประมุขปราชญ์เหมียวอยากจะกุมอำนาจทางทหารของลัทธิอู๋เลี่ยง ก็เห็นได้ชัดว่าไม่ได้ง่ายขนาดนั้น ต่อให้ตอนนี้จะอยู่ในตำแหน่งแล้ว แต่อำนาจทางทหารก็ยังอยู่ในมือจินม่านเหมือนกัน สิ่งนี้ไม่ใช่ว่าใครอยากจะรับช่วงต่อแล้วจะรับช่วงต่อได้

และแน่นอน เหมียวอี้เองก็ไม่ได้โมโหเลย เดิมทีเขาก็ไม่คิดว่าตัวเองควรจะได้ตำแหน่งนี้อยู่แล้ว และไม่เคยคิดเพ้อฝันว่าตัวเองจะได้นั่งตำแหน่งนี้อย่างมั่นคงด้วย

เมื่ออยู่ต่อหน้าคนจำนวนมาก จินม่านไว้หน้าเหมียวอี้เต็มที่ หันตัวมาขอคำชี้แนะจากเหมียวอี้ว่า “ไม่ทราบว่าประมุขปราชญ์ยังจะให้โอวาทอะไรอีกหรือไม่ ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ก็ให้ทุกคนแยกย้ายไปทำงานของตัวเองได้”

เหมียวอี้พยักหน้า โบกมือให้ทุกคนที่อยู่ข้างล่างด้วยรอยยิ้มว่า “ทุกคนเชิญตามสะดวก เชิญตามสะดวก!”

มีคนไม่น้อยที่ไม่พูดพร่ำทำเพลง สะบัดแขนเสื้อหันตัวเดินออกไปอย่างคล่องแคล่วปราดเปรียว

เหมียวอี้พึมพำในใจว่า พิธีขึ้นครองตำแหน่งครั้งนี้ช่างเรียบง่ายจริงๆ แม้แต่ฉากหน้าก็ยังขี้เกียจจะรับมือ จับข้าขึ้นมาอยู่ตำแหน่งนี้เพราะคิดจะทำอะไรกันแน่?

จินม่านที่ยืนอยู่ข้างกันพลันตะคอกว่า “สืออวิ๋นเปียน อ๋าวเถี่ย กงซุนลี่เต้า พวกเจ้าสามคนอยู่ก่อน” สีหน้าเจือควาฒโกรธเคือง

ทุกคนที่เดินออกจากตำหนักใหญ่มาแล้วหันกลับมามองแวบหนึ่ง แล้วก็ทยอยอกันจากไป อีกสองคนที่มากับสืออวิ๋นเปียนหันตัวกลับมาพร้อมกัน พอทั้งสามคนหันตัวมา ชายชราผมขาวหนึ่งในนั้นก็ถามเสียงเรียกว่า “ประมุขขุนพลยังมีอะไรจะกำชับขอรับ?”

ชุดกระโปรงสีทองปลิวสะบัด จินม่านทิ้งเหมียวอี้เอาไว้ ก้าวเนิบนาบเดินลงมาจากบันได เข้าประชิดพร้อมจ้องทั้งสามด้วยแววตาแฝงความดุร้าย พร้อมถ่ายทอดเสียงบอกว่า “หลักการที่ควรจะพูดข้าก็พูดกับพวกเจ้าไปแล้ว เหตุผลที่ควรจะพูดข้าก็อธิบายกับพวกเจ้าไปแล้ว พวกเจ้าตอบตกลงเสียดิบดี ทำไมพอใกล้ถึงเวลาแล้วกลัวโค้งเอวไม่ลง? เห็นศักดิ์ศรีส่วนตัวสำคัญกว่า หรือเห็นชีวิตของพี่น้องหลายล้านสำคัญกว่า? ขนาดพวกเจ้าสามคนยังไม่ให้ความร่วมมือ แล้วกำลังพลเบื้องล่างจะยอมจำนนได้ยังไง?”

ทั้งสามเงียบงันไม่พูดอะไร เหมียวอี้ที่สัมผัสได้ถึงคลื่นพลังอิทธิฤทธิ์แอบครุ่นคิดว่าหัวโจกโจรกบฏพวกนี้กำลังวางแผนลับอะไรกัน

เมื่อเห็นทั้งสามไม่พูดอะไร จินม่านที่เดินมาถึงข้างกายพวกเขาก็หันตัวไปเผชิญหน้ากับเหมียวอี้ที่นั่งอยู่เบื้องสูง แล้วอธิบายให้ฟัง

นางชี้ไปที่สืออวิ๋นเปียน “สืออวิ๋นเปียน ขุนพลใหญ่สือ ประมุขปราชญ์รู้จักอยู่แล้ว”

จากนั้นก็ย้ายไปชี้ที่ชายชราผมขาว “คนนี้คือกงซุนลี่เต้า ขุนพลใหญ่กงซุน”

จากนั้นก็ชี้ไปที่ชายชราชุดดำอีกคนที่รูปร่างผอมแห้ง “คนนี้คืออ๋าวเถี่ย ขุนพลใหญ่อ๋าว”

สุดท้ายก็เก็บมือแล้วกล่าวสรุปว่า “ลัทธิอู๋เลี่ยงของพวกเรา มีขุนพลใหญ่ทั้งหมดห้าคน ยังมีอีกสองคนที่กำลังเฝ้าบัญชาการเพื่อป้องกันไม่ให้โจรกบฏลอบโจมตี ตอนนี้จึงยังไม่สะดวกจะมาคารวะประมุขปราชญ์ คนหนึ่งชื่อซือถูฉิงหลัน อีกคนชื่อไห่ยวนเค่อ ขุนพลใหญ่ทั้งห้าล้วนเป็นยอดฝีมือระดับสำแดงฤทธิ์ เป็นเสาหินที่แข็งแกร่งของลัทธิอู๋เลี่ยง ระดับรองลงมาก็มีขุนพลอีกยี่สิบแปดคน ล้วนเป็นกำลังหลักของอู๋เลี่ยงที่มีคุณสมบัติในการเข้าร่วมประชุมที่ตำหนักปราชญ์ ทั้งหมดเป็นยอดฝีมือระดับบงกชกลายเช่นกัน วันนี้มาไม่ครบก็เพราะรับมือกับโจรกบฏ วันหลังถ้ามีเวลาค่อยให้พวกเขามาเข้าพบและคารวะประมุขปราชญ์”

จุจุ! เรามีลูกสมุนเป็นยอดฝีมือตั้งเยอะแยะราวกับเมฆที่ลอยบนท้องฟ้า! เหมียวอี้ที่นั่งอยู่เบื้องบนแอบสะใจ แล้วโบกมือกล่าวกลัวหัวเราะว่า “ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร”

ท่าทางเหมือนพระ ‘อามิตาพุทธ’ ที่ว่าอย่างไรก็ว่าตามนั้นของเขาทำให้พวกสืออวิ๋นเปียนต่างคนต่างเบี่ยงหน้าไปทางอื่น ยิ่งดูถูกท่านประมุขปราชญ์เหมียวมากขึ้นเรื่อยๆ

จินม่านเหลือบมองพวกเขาแวบหนึ่ง แล้วพูดต่อว่า “ตอนนี้ลัทธิอู๋เลี่ยงมีกำลังพลเหือบหนึ่งล้านสี่แสน แต่ที่ปะรกาศบอกกำลังพลเบื้องล่างคือทักใหญ่หกล้าน มีเพียงขุนพลที่อยู่ในตำหนักปราชญ์เท่านั้นที่รู้จำนวนกำลังพลที่แท้จริง รวมหกลัทธิมีกำลังพลทั้งหมดประมาณแปดล้านกว่า แต่สิ่งที่บอกกับทั้งภายในและภายนอกก็คือทัพใหญ่สี่สิบล้าน”

เหมียวอี้ตะลึงนิดหน่อย ภายใต้ความอยากรู้อยากเห็น เขาอดไม่ได้ที่จะถามว่า “ทำไมต้องรายงานเท็จเรื่องกำลังพล?”

จินม่านอธิบายว่า “ประการแรกก็เพื่อจะเพิ่มขวัญกำลังใจทหาร รักษาความเชื่อใจของทุกคนเอาไว้ ให้พี่น้องกำลังพลเบื้องล่างรู้ว่าพวกเรายังมีศักยภาพที่จะผงาดขึ้นมาอีกครั้ง ประการต่อมา ถึงอย่างไรมากคนก็มากปาก ไม่กล้ารับประกันว่าในหกลัทธิมีสายลับของโจรกบฏซ่อนอยู่หรือไม่ การประกาศว่ามีทัพใหญ่สี่สิบล้านก็เป็นการทำให้ทำให้โจรกบฏเกรงกลัวอย่างหนึ่งเหมือนกัน ทำให้โจรกบฏไม่กล้าบุกเข้ามาง่ายๆ เพื่อรับประกันว่าข่าวจะไม่รั่วไหล ปกติแล้วกำลังพลทัพใหญ่จะถูกแบ่งควบคุมโดยขุนพลแต่ละคน พี่น้องทหารระดับล่างมองไม่เห็นจำนวนกำลังพลโดยรวม ก็ย่อมไม่รู้ความจริงชัดเจน และของวิเศษที่ใช้ติดต่ออย่างพวกระฆังดาราก็ถูกจำกัดใช้อย่างเข้มงวด แจกให้ตอนออกรบ หลังจากรบเสร็จก็เก็บกลับมารวบรวมไว้ทันที”

“อ้อ!” เหมียวอี้พยักหน้าซ้ำๆ เหมือนเข้าใจ แต่ในใจกลับสงสัย ว่าโจรกบฏกลุ่มนี้คิดจะก่อเรื่องแบบไหนกันแน่ ขนาดความลับแบบนี้ยังเอามาบอกข้า อย่าบอกนะว่าเห็นข้าเป็นประมุขปราชญ์อะไรนั่นแล้วจริงๆ? อีกประเดี๋ยวถ้าสืบเจอว่าข้าเป็นผู้บัญชาการของตำหนักสวรรค์ จะไม่ถลกหนังข้าทั้งเป็นเหรอ

หลังจากจินม่านแนะนำสถานการณ์คร่าวๆ ของที่นี่ให้ฟังแล้ว นักพรตเต๋าชรากงซุนลี่เต้าก็ถามว่า “ประมุขขุนพล ถ้าไม่มีเรื่องอื่นแล้ว พวกเราขอตัวก่อนนะ”

จินม่านไม่สนใจอีก หันตัวมามองเหมียวอี้ที่นั่งอยู่เบื้องสูง เขาไม่พูดอะไร ให้ทั้งสามจัดการเองตามสะดวก

พวกสืออวิ๋นเปียนมองหน้ากันครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ยังต้องแข็งใจกุมหมัดคารวะเหมียวอี้ “ประมุขปราชญ์ ถ้าไม่มีอะไรกำชับแล้ว พวกข้าน้อยก็ขอตัวก่อน”

เหมียวอี้หรี่ตายิ้มแสดงความปรารถนาดีทันที พยักหน้าเหมือนไก่จิกข้าวสาร “ตามสบายๆ เชิญตามสบาย”

ทั้งสามถอยออกไปพร้อมกันตามธรรมเนียม เสร็จแล้วถึงได้หันตัวเดินออกไปอย่างแน่วแน่

หลังจากมองคล้อยทั้งสามคนนั้นเดินออกไปแล้ว เหมียวอี้ถึงได้ลุกขึ้นยืนอย่างโล่งอก แล้วสาวเท้าเดินลงบันได กุมหมัดคาระวะจินม่าน “ประมุขขุนพล ยังมีอะไรจะกำชับอีกมั้ย?”

“เจ้า…” จินม่านพยายามข่มไฟโกรธเอาไว้ ทำหน้านิ่งพร้อมขบเขี้ยวเคี้ยวฟันบอกว่า “ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เจ้าต้องจำเอาไว้ เจ้าคือประมุขปราชญ์อู๋เลี่ยง ประมุขปราชญ์ก็ต้องมีมาดของประมุขปราชญ์ที่มองลงมาจากที่สูง อย่าเห็นใครก็เกรงใจเหมือนตัวเองเป็นคนต่ำต้อย อย่าลดฐานะตัวเอง ไม่อย่างนั้นจะทำให้ทั้งลัทธิเต๋าอู๋เลี่ยงเสียหน้า ฟังเข้าใจหรือยัง?”

ในใจเหมียวอี้ทักทายบรรพบุรุษของนางสิบแปดรุ่นแล้ว เขาเองก็อยากจะแข็งกร้าวเหมือนกัน แต่จะให้นักพรตบงกชทองอย่างเขาวางมาดกับนักพรตพลังอิทธิฤทธิ์อนันตภาพยังไงล่ะ? ทั้งยังมีกลุ่มชายชราที่มีวรยุทธ์ระดับพลังอิทธิฤทธิ์อนันตภาพด้วย แต่ละคนมองเขาแบบไม่ถูกชะตา อยากจะวางมาดหรืออยากจะรนหาที่ตายกันแน่? เห็นข้าเป็นคนโง่รึไง?

เหมียวอี้ก็ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะอยากจะให้ตนเป็นประมุขปราชญ์อะไรนั่นจริงๆ หรอก พยักหน้าอย่างรู้สถานการณ์มากว่า “เข้าใจๆ เมื่ออยู่ต่อหน้าคนอื่นข้าเป็นประมุขปราชญ์ เมื่อไม่มีคนอื่น เหมียวอี้จะเชื่อฟังคำสั่งประมุขขุนพลแน่นอน ถ้าประมุขขุนพลมีอะไรจะยืมปากเหมียวอี้ให้พูดก็บอกมาได้เลย เหมียวอี้จะเชื่อฟัง…” เขาเข้าใจความหมายผิดแล้ว ขณะเดียวกันก็กำลังแสดงจิตใจที่ซื่อสัตย์ แสดงว่าตัวเองเป็นคนไร้อำนาจ เจ้าต่างหากที่มีอำนาจตัดสินใจเกี่ยวกับลัทธิเต๋าอู๋เลี่ยงนี้

เพื่อที่จะมีชีวิตรอด ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่มีผลกระทบร้ายแรงต่อภาพรวม เจ้าเวรนี่ก็รียกได้ว่าค่อนข้างอยู่เป็น กลับไม่รู้สึกเสียหน้าสักนิดเมื่อลดตัวต่อหน้าคนพวกนี้ รอให้ข้าหาทางกลับไปได้ก่อนเถอะ แล้วค่อยคิดหาทางนำทัพของตำหนักสวรรค์มาล้อมปราบ จะคิดบัญชีทุกรายการอย่างดีเลย

ดังนั้นคำพูดจึงเงียบลงกะทันหัน จินม่านดึงคอเสื้อของเขาเอาไว้ ในแววตาเต็มไปด้วยความโกรธเคือง เหมือนอยากจะตบเหมียวอี้ให้ตายด้วยฝ่ามือเดียว แต่พอเห็นชุดจักรวาลบนตัวเหมียวอี้ นางก็สะบัดแขนเสื้อออกอย่างแรง ฝืนระงับความโกรธเอาไว้ พูดเน้นย้ำต่อหน้าทีละคำว่า “ข้าจะบอกเจ้าแบบจริงจังเลยนะ เจ้าคือประมุขปราชญ์ที่อยู่เหนือคนหมื่นนับล้าน ไม่มีใครควบคุมอยู่ด้านบนของเจ้า ตรงนี้ไม่มีใครคิดจะใช้ประโยชน์เจ้าทั้งนั้น!”

เหมียวอี้ที่รู้สึกเหมือนหนีพ้นจากความตายพยักหน้าตอบทันที “เข้าใจๆ”

เข้าใจบ้าอะไรล่ะ แค่ดูจากท่าทางก็รู้แล้วว่าตอบแบบขายผ้าเอาหน้ารอด ความสุภาพอ่อนโยนของจินม่านหายไปหมดสิ้นทันที แทบจะคำรามถามออกมาว่า “เจ้าเข้าใจอะไร?”

เหมียวอี้ไม่เข้าใจจริงๆ จะพูดอะไรก็ผิดไปหมด ถ้าอ้อมค้อมต่อไปจะต้องโดนปลิดชีพแน่ จึงถอนหายใจแล้วถามทันที “ประมุขขุนพล ท่านบอกมาตรงๆ เถอะ เจ้าอยากจะให้ข้าทำอะไรกันแน่ เดี๋ยวข้าทำตามก็สิ้นเรื่องแล้ว”

…………………………