ตอนที่ 257 โฮสเทล โดย Ink Stone_Fantasy
ในตอนกลางคืน ครอบครัวของคุณป้าสองของเยี่ยเทียนก็มายังเรือนสี่ประสานของเยี่ยเทียน ลานบ้านที่ดูเงียบเหงาก็พลันแปรเปลี่ยนเป็นครื้นเครงขึ้นมา หลิวหลันหลันกับถังเสวียเสวี่ยอายุพอกัน สองสาวคุยจุ๊กจิ๊กกันแป๊บเดียวก็เล่นด้วยกันแล้ว
หลังจากรับประทานอาหารค่ำแล้ว เยี่ยเทียนก็กลับห้องมาคนเพียงลำพัง เทยารักษาอาการบาดเจ็บจากขวดกระเบื้องที่วางอยู่ตรงกลางตู้หนังสือ จากนั้นก็นำอาวุธสิบสองนักสัตว์ที่เหลืออยู่เพียงชิ้นเดียวใส่ลงในกระเป๋า
หลังจากไตร่ตรองซักครู่ เยี่ยเทียนก็เปิดตู้ที่อยู่ด้านล่างของตู้หนังสือ ใช้มือหยิบไม้แผ่นหนึ่งออกมาแล้ว ตู้เซฟที่ใส่รหัสก็พลันปรากฏออกมา
นี่เป็นสิ่งที่เยี่ยเทียนกำชับช่าวหวังให้ทำออกมาเป็นพิเศษ ใช้สำหรับเก็บรักษาสิ่งของที่เยี่ยเทียนคิดว่าล้ำค่า เหมือนกับเข็มทิศเวทมนตร์และคัมภีร์วิชาลับที่อาจารย์ทิ้งไว้ให้ดูต่างหน้าก็ล้วนแต่วางเก็บไว้ในนี้
เยี่ยเทียนก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทางฉู่หยางนั้นเกิดอะไรขึ้น เตรียมการรับมือไว้ก่อนน่าจะเป็นดี
ในตอนที่เยี่ยเทียนอายุสิบสองปีนั้น ในตอนที่นักพรตเฒ่ากำลังผนึกประตูแห่งความตายที่ถ้าลับหยางเสวี่ย หากว่าไม่ได้อาศัยอาวุธวิเศษหลบหนีออกมา กลัวว่าน่าจะได้รับไอชั่วร้ายเขามาทำร้ายร่างกายเป็นแน่
ถึงแม้ความสามารถของเยี่ยเทียนในตอนนี้ เทียบกับนักพรตเฒ่าในตอนนั้นนับว่าเหนือชั้นกว่ากันมาก ความเข้าใจในเคล็ดวิชาแม้แต่หลี่ซ่านหยวนก็เทียบไม่ติด แต่ก็ระวังไม่ให้มีอันตราย เยี่ยเทียนก็เกรงไม่กล้าลำพอง
แน่นอนว่าต้องพกเหรียญโบราณและมีดสั้นอู๋เหินรวมถึงอาวุธหินหยกแท่งนั้นติดตัวไว้ หลังจากหยิบเข็มทิศเวทมนตร์ใส่ลงในกระเป๋าแล้ว เยี่ยเทียนก็เดินไปกลางลานบ้าน ตะโกนเรียกพ่อของตัวเองที่กำลังคุยอยู่กับถังเหวินหย่วนออกมา
“เรื่องอะไรลับๆ ล่อๆ”
เยี่ยตงผิงวันนี้อารมณ์ดีไม่น้อย เขาและถังเหวินหย่วนหลังจากไปธนาคารด้วยกันมาแล้ว ไม่เพียงแค่โอนเงินสามล้านหยวน แต่โอนทีเดียวสี่ล้านหยวน ที่เกินออกมาหนึ่งล้านนั้น ถือเป็นค่าเช่าห้องของเขา
แต่ว่าเยี่ยตงผิงไม่มีแผนที่จะเปลี่ยนรถ นอกจากทำบัตรธนาคารเพิ่มสามใบรวมหนึ่งแสนแล้ว เงินที่เหลืออีกสามล้านเจ็ดก็เก็บไว้ในบัญชีเดียวกัน ลูกชายตอนนี้อายุยังน้อย อีกหน่อยไม่แน่ว่าอาจจะต้องใช้เงิน
“พ่อ อีกเดี๋ยวผมจะออกไป เอากุญแจรถมาให้ผมเถอะ!” เยี่ยเทียนยื่นมือออกไปทางพ่อของตัวเอง
“นายไม่บอกว่าจะไปวันพรุ่งนี้เหรอ” เยี่ยตงผิงมองบุตรชายอย่างไม่เข้าใจ “นายก็ไม่มีใบขับขี่ ออกไปแล้วถูกตรวจขึ้นมาก็ลำบาก…”
เยี่ยเทียนส่ายหัว กล่าวว่า “พ่อ ไม่เป็นไร สกิลการขับรถของผมพ่อยังไม่มั่นใจอีกเหรอเอารถเก่าบุโรทั่งนั่นให้ผม พอดีพ่อก็ไปซื้อรถใหม่ซักคันนึ่ง ซันตาน่าคันนั้นขับไปก็อายเขา!”
เยี่ยเทียนเดินทีเขาก็อยากออกไปในวันพรุ่งนี้ แต่ว่าคำพูดของโจวเซี่ยวเทียนเขาไม่ค่อยจะเชื่อ หากเข็มทิศเวทมนตร์อาวุธวิเศษนั้นไม่สามารถยันต์กับถ้าหยางได้แล้วล่ะก็ ถึงเวลานั้นจะจัดการก็ยิ่งยากขึ้นไปอีก
เพียงแต่ว่าไปตอนนี้ รถจากปักกิ่งไปฉุ่หยางกลับไม่มีแล้ว เยี่ยเทียนได้แต่ต้องขับรถไปเอง เรื่องความปลอดอะไรกลับไม่เป็นปัญหา เนื่องจากตอนเยี่ยเทียนอายุสิบสี่สิบห้านั้น ก็ขับรถของพ่อไปกลับระหว่างตัวเมืองกับเขาเหมาซานแล้ว
“ซื้อรถดีๆอะไรกันเจ้าตัวแสบนี้พอมีเงินแล้วก็อย่าโอ้อวดไปทั่วสิ”
หลังจากได้ฟังที่ลูกกล่าวแล้ว เยี่ยตงผิงถลึงตามองลูกชายอย่างไม่สบอารมณ์ สั่งสอนว่า “พ่อจะบอกให้นะ ในเมืองปักกิ่งนี่คนที่มีเงินเยอะกว่านายมีมากมาย คนพวกนั้นก็ไม่ใช่ว่ายังดื่มเหล้าขาวเอ้อร์กัวโถวกับถั่วลิสงเหรอ”
“ไม่ใช่ว่าผมจะโอ้อวดซะหน่อย ซื้อมาก็ให้พ่อขับไง อายุขนาดนี้ออกไปคุยธุรกิจ ขับรถเบนซ์ก็ดีกว่าซันตาน่าเหอะ”
เยี่ยเทียนหัวเราะหึๆ ยื่นมือออกมา หยิบกุญแจรถจากระเป๋ากางเกงของพ่อตัวเองออกมา กล่าวว่า “พ่อ ผมไม่ออกไปด้านหน้าแล้วนะ เดี๋ยวกลับไปฝากพ่อไปบอกหน่อยก็โอเคแล้ว!”
เยี่ยตงผิงไม่รู้จะจัดการกับลูกชายคนนี้ยังไงดี ได้แต่เดินตามหลังแล้วกล่าวว่า “ฉันว่านะ นายจะออกไปไหนน่าจะบอกกันหน่อยนะ”
“เหอเป่ยฉู่หยาง…” ตัวของเยี่ยเทียนเข้าไปในโรงจอดรถแล้ว เสียงก็ลอยออกมาจากที่ไกลไกล
“เจ้าตัวแสบนี่ วันๆ อยู่ไม่สุข!” เยี่ยตงผิงกระทืบเท้า เดินกลับไปที่กลางลานบ้านด้วยสีหน้าหมดหนทาง
……
จากปักกิ่งมากฉู่หยางระยะทางสองร้อยกว่ากิโลเมตร ทางด่วนไม่มีตรงไปถึง หลังจากเลี้ยวจากเป่าติ้งเข้าสู่ทางด่วนแล้วจะเป็นเวลากลางคือประมาณห้าทุ่มกว่าแล้ว รอจนเยี่ยเทียนไปถึงฉู่หยาง เวลาก็เลยไปจนตีสองแล้ว
เป็นหมู่บ้านเล็กๆ อยู่ทางป่าตีนเขาทิศตะวันตกของภูเขาไท่หังซาน ไม่มีสถานพักผ่อนใดๆ พอถึงเที่ยงคืน บนถนนก็ไม่เห็นสิ่งมีชีวิตซักคนเดียว เยี่ยเทียนหาคนถามทางก็หาไม่มี
ขับตามถนนไปสิบกว่านาที เยี่ยเทียนก็เหลือบไปเห็นร้านเล่นเกมส์ที่ประตูกึ่งเปิดกึ่งปิดเอาไว้ ก็จอดรถหยิบบุหรี่ไปซองหนึ่งจากนั้นก็พูดคุยกันอยู่พักใหญ่ ถึงได้ถามถึงโฮสเทลที่โจวเซี่ยวเทียนพักอยู่
“แม่เอ๊ย เจ้าเด็กนี่ไม่น่าจนถึงขนาดนี้นะ”
ในตอนที่เยี่ยเทียนหาโฮสเทลนั้นพบ ก็กินเวลาชั่วโมงกว่าไปแล้ว เห็นโฮสเทลที่เป็นห้องชาวบ้านธรรมดานั้นแล้ว เยี่ยเทียนก็อดไม่ได้ที่จะสบถออกมา
ที่นี่เป็นอาคารเล็กมีสามชั้น กำแพงด้านนอกก็สีหลุดลอกไปไม่น้อยแล้ว ด้านนอกก็มองเห็นฮีทเตอร์วางเรียงรายเป็นแถวๆ ด้านข้างของป้าย ‘โฮสเทลซุ่นเฟิง’ ก็ยังมีป้ายห้องอาบน้ำรวม
ในใจของเยี่ยเทียนก็หงุดหงิดปนสงสัย ในตอนก่อนหน้านั้นตัวเขาเองจ่ายเงินสามหมื่นซื้อของมาจากเจ้าคนนี้ เขาไม่รู้จักหาที่พักดีๆ อยู่หรือยังไง
แน่นอนว่าโฮสเทลเก่าๆ นี้ไม่มีลานจอดรถ เยี่ยเทียนคิดอยู่ซักครู่ เขาก็จอดรถบนถนนที่ห่างจากโรงแรมไปร้อยกว่าเมตร จากนั้นก็หยิบกระเป๋าเข้าไปยังโฮสเทล
เดินตรงไปยังปากทางบันไดชั้นสอง ที่ถูกทำให้เป็นห้องพัก ภายในมีแสงไฟสลัว เยี่ยเทียนมองไปทางกระจกที่คั่นอยู่แวบหนึ่ง ก็เห็นผู้หญิงสาวอ้วนท้วมที่ไม่แน่ใจว่าอายุเท่าไหร่กำลังนอนอย่างสบายใจบนโต๊ะ
“เอ้อ พี่สาว ผมอยากจะเข้าพัก ยังมีห้องเหลือไหม”
เยี่ยเทียนรู้ว่า โจวเซี่ยวเทียนพักอยู่ที่นี่ จะต้องไม่ใช้ชื่อจริงแน่นอน หากตัวเขาบอกว่ามาหาคน เกรงว่าพี่สาวร่างใหญ่คนนี้จะหยิบไม้กวาดออกมาไล่ตนเองแน่
หลังจากเคาะกระจกติดต่อกันไปหลายที ผู้หญิงคนนั้นถึงผงกหัวขึ้นมา ตาหรี่มองมาทางเยี่ยเทียน กล่าวอย่างอารมณ์ไม่ดีว่า “ห้องหกคนยี่สิบหยวนต่อคืน ห้องสี่คนสามสิบ!”
เยี่ยเทียนขมวดคิ้ว เอ่ยปากถามว่า “พี่สาว ผมจะนอนอย่างเดียว ไม่อยากได้ยินเสียงคนกรน มีห้องพักเดี่ยวไหม”
“อยากพักคนเดียวก็ไปโรงแรมสิ มาที่นี่ทำไม”
ผู้หญิงคนนั้นเริ่มรำคาญแล้ว เดินจากที่เมื่อซักครู่แล้วก็หยิบสมุดที่เปื้อนคราบน้ำลายออกมา พลิกไปมา พลางกล่าว “ยังมีห้องเดี่ยว คืนละแปดสิบหยวน!”
แท้จริงแล้วห้องเดี่ยวที่นี่ แพงที่สุดก็แค่ห้าสิบหยวนต่อคืน แต่ว่าสาวอ้วนนี้เห็นเยี่ยเทียนแต่งตัวไม่เลวอาจจะเชือดเขาเท่านั้น เงินที่เหลืออีกสามสิบหยวนก็กั๊กไว้เข้ากระเป๋าตัวเองไป
“ได้ แปดสิบก็แปดสิบ นี่เงิน แล้วก็บัตรประชาชน!” เยี่ยเทียนเปิดบานหน้าต่างเล็กแล้วจากนั้นก็นำเงินและบัตรประจำตัวประชาชนยื่นเข้าไป
เงินรับไว้ แต่บัตรประจำตัวประชาชนกลับถูกส่งออกมาโดยหญิงร่างอวบพร้อมกับกุญแจ “เข้าพักที่นี่ไม่ต้องใช้บัตรประชาชน เงินยี่สิบหยวนถือเป็นมัดจำแล้ว จะคืนให้ตอนออกไป ห้องที่สี่ชั้นสอง นายเดินไปเองนะ”
เยี่ยเทียนไม่ได้กล่าวอะไร หยิบบัตรประชาชนและกุญแจได้ก็หันเดินขึ้นไปชั้นสอง หลังจากเปิดประตูเข้าไปในห้องแล้ว เหมือนโดนตีแสกหน้า “เฮ้ย ยิ่งอยู่ยิ่งเหมือนวนกลับไปเป็นแบบเก่า!”
เยี่ยเทียนน่าจะคิดได้ก่อนว่า จากงานนั่นที่โจวเซี่ยวเทียนทำ แน่นอนว่ายิ่งเรียบง่ายเท่าไหร่ยิ่งปลอดภัยเท่านั้น หากเขากล้าไปพักในโรงแรม รอจนเกิดเรื่องแล้ว ตำรวจสืบรายชื่อคนเข้าพักในเวลานี้ แน่นอนว่าจับไม่ผิดตัว
แต่เทียบกับโฮสเทลแบบนี้ซึ่งคืนละยี่สิบสามสิบหยวน ไม่มีใครถามหาบัตรประชาชนมาใช้ขึ้นทะเบียน คนที่อยู่ก็มีดีมีเลวปนกันไป เป็นแหล่งหลบซ่อนตัวที่ดีทีเดียว
เรื่องพวกนี้เยี่ยเทียนรู้อยู่แล้ว ในตอนที่เขาและนักพรตเฒ่าตระเวนท่องเที่ยวไปในปีนั้น โดยปกติแล้วก็ล้วนพักตามที่พักแบบนี้ เพียงแต่ว่าการใช้ชีวิตสบายหลายปี เยี่ยเทียนจึงลืมเรื่องนี้ไปสนิท
ขับรถติดต่อกันห้าหกชั่วโมง เยี่ยเทียนจึงรู้สึกง่วง ถึงแม้จะรู้ว่าโจวเซี่ยวเทียนจะอาศัยอยู่ห้องที่ติดหน้าต่างตรงนั้น ก็ขี้เกียจจะไปหาเขา
เอากระเป๋าสะพายตัวเองหนุนแทนหมอน เยี่ยเทียนไม่ถอดเสื้อออกก็ล้มตัวนอนลงบนเตียง เผลอหลับข้ามไปอีกวัน พอถึงเก้าโมงกว่าของวันที่สอง ถึงได้ลุกขึ้นมาจากเตียง
โฮสเทลแบบนี้ไม่มีห้องน้ำในตัว แล้วก็ไม่มีแปรงสีฟัน ยาสีฟันวางไว้ให้ มีห้องน้ำและห้องอาบน้ำที่จัดไว้ที่ชั้นหนึ่งเฉพาะ
หลังจากอาบน้ำเสร็จ หยิบกระเป๋านั้นของตัวเอง เยี่ยเทียนก็เดินมาที่หน้าห้องที่โจวเซี่ยวเทียนพักอยู่ เอาหูแนบประตูฟังเสียงอยู่ชั่วครู่ ด้านในก็มีเสียงเบาและเสียงหายใจกระชั้นออกมาจากด้านใน ดูท่าแล้วเจ้าเด็กนี่จะบาดเจ็บไม่น้อย
ตึง!
เยี่ยเทียนเคาะประตูห้องอย่างเบามือ เสียงหายใจด้านในพลันหายไปแล้ว หลังจากไม้ร้องเตียงดังขึ้นมาครู่หนึ่งแล้ว เยี่ยเทียนก็ได้ยินเสียงฝีเท้าเบาจนจับไม่ได้
“ใคร” โจวเซี่ยวเทียนทำเสียงต่ำดังลอดออกมาจากประตู
“เปิดประตู!” หรือบางทีอาจจะเป็นเพราะถูกเจ้าเด็กแสบนี่ล้างสมอง เยี่ยเทียนเวลาพูดก็หลุดออกมาทีละคำทีละคำ
“เข้ามา” หลังจากได้ยินเสียงของเยี่ยเทียน ด้านในเหมือนกับถอนหายใจเบาไปเปลาะหนึ่ง เสียงบิดกลอนประตูก็ดังขึ้นมา ประตูห้องถูกเปิดออกเป็นช่องเล็กๆ
รอจนเยี่ยเทียนเดินเข้าไปแล้ว โจวเส้าเฟินก็ยื่นหัวออกมาตรวจดูด้านนอกหนึ่งรอบ ถึงได้ปิดประตู หลังจากลงกลอนแล้วก็เอากลอนขัดประตูด้านในขัดไว้
“นายหายใจไม่เหนื่อยหรือไง”
รอจนโจวเซี่ยวเทียนเดินกลับมาแล้ว เห็นใบหน้าขาวซีดไม่มีสีเลือดดวงนั้น เยี่ยเทียนที่เดิมทีเต็มไปด้วยเพลิงโทสะก็เย็นลงไป
ในฐานะที่เป็นอาจารย์เต๋าที่ได้รับสืบทอดมา ใช้ชีวิตได้อนาถขนาดนี้ ดังนั้นเยี่ยเทียนถึงแม้จะไม่ชอบเขาเท่าไหร่นัก แต่ถือว่าเป็นคนที่ทำอาชีพเดียวกัน ในใจของเยี่ยเทียนก็เกิดรู้สึกไม่ดีขึ้นมา
“เหนื่อย แต่ก็ต้องหายใจ แค่ก…แค่กๆๆ!” โจวเซี่ยวเทียนยังกล่าวไม่จบประโยคก็ไอจนตัวโยนเยี่ยเทียนรับรู้ได้อย่างแน่ชัด ไอร้ายจากธาตุหยางเย็นที่อยู่ในร่างกาย
ไม่มีเข็มทิศเวทมนตร์คุ้มครองตัว อย่างมากร่างกายของโจวเซี่ยวเทียนก็แข็งแรงกว่าคนปกตินิดเดียวเท่านั้น สิ่งที่เขาเรียนบำเพ็ญมาทั้งหมดนั้นไม่ใช่เคล็ดพลัง ไม่มีทางยับยั้งไอร้ายจากธาตุหยางเย็นให้ซึมเข้าสู่ร่างกายได้เลย
เยี่ยเทียนส่ายศรีษะ สายตาสอดส่ายไปรอบห้อง อดไม่ได้ที่จะตกตะลึง ขมวดคิ้วและถามว่า “นายกินของพวกนี้เหรอ ก่อนหน้านั้นที่ได้เงินจากฉันไปไปไหนหมดแล้ว”
บนโต๊ะที่อยู่ด้านหน้าของหน้าต่าง มีผักดองอยู่ไม่กี่ถุง หมั่นโถวสี่ห้าอันที่แข็งจนเป็นหิน น้ำร้อนที่อยู่ในกาน้ำชากระเบื้องก็ไม่มีไอร้อนใดๆ หลงเหลืออยู่
………………