ราชันเร้นลับ 610 : ทอยเต๋า โดย Ink Stone_Fantasy
ได้ยินคำเชื้อเชิญของเลียวนาร์ด เอ็มลินมิได้เผยความเกรงกลัว เพียงถือหมวกผ้าไหมด้วยรอยยิ้มไม่ยินดียินร้าย ย่างกรายเข้าไปในบ้านอย่างใจเย็น
มันมิได้ถอดโค้ท เนื่องจาก ‘ศาสตราจารย์โอสถ’ ต้องพกพาอุปกรณ์ช่วยเหลือมากมายตลอดเวลา คงเป็นภาพที่ไม่งามนักหากต้องเผยให้คนอื่นเห็น
เอ็มลินในชุดทักซิโด้นั่งลง เอนหลังพิงพนัก กล่าวด้วยน้ำเสียงผ่อนคลาย
“เข้าเรื่องกันดีกว่า หากคุณมีสิ่งที่ผมต้องการ เชิญแจ้งราคามาได้เลย แต่ถ้าไม่ ก็แค่บอกตามตรง …แต่ผมมั่นใจว่าคุณมี”
มันหัวเราะในลำคอ กระจกตาสีแดงกำลังสะท้อนภาพเสื้อผ้าที่ไม่เรียบร้อยของเลียวนาร์ด
การได้อยู่ในสถานะ ‘ฉันรู้ความลับของนาย แต่นายไม่รู้ความลับของฉัน’ ทำให้เอ็มลินมีความสุขอย่างบอกไม่ถูก คล้ายกับกำลังเป็นฝ่ายคุมเกม
เลียวนาร์ดสางผมสีเข้มด้วยมือข้างหนึ่ง ทิ้งตัวนั่งบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามโดยไม่กดดัน มุมปากเผยรอยยิ้มที่ปราศจากความตื่นตระหนก
“ผู้ซื้อเป็นใคร”
“อาจเป็นผม หรืออาจเป็นเพื่อนของผม”
เอ็มลินเชิดคาง เผยรอยยิ้มสง่างาม
เลียวนาร์ดหรี่ตาลง เอียงคอเล็กน้อย ประหนึ่งกำลังครุ่นคิดบางสิ่ง
ในที่สุด มันหัวเราะในลำคอ
“เข้าใจแล้ว… ในเมื่อคุณมาพร้อมเข็มกลัดนั่น ผมจะยอมตอบตามความเป็นจริง อย่างที่คุณทราบ ผมมีสมบัติวิเศษที่สามารถขโมยพลังพิเศษจากคนอื่นได้ แต่ก็มีในครอบครองแค่ชิ้นเดียวเท่านั้น หากคุณต้องการมัน ผมยินดีขายให้ในราคาเจ็ดพันปอนด์ ขอปฏิเสธการต่อรองทุกกรณี”
เจ็ดพันปอนด์… สมบัติวิเศษที่สามารถช่วงชิงพลังพิเศษมีราคาสูงขนาดนั้นเชียว?
แม้เอ็มลินจะไม่ต้องจ่ายด้วยเงินตัวเอง แต่ราคาก็มากพอจะทำให้ผีดูดเลือดผู้สูงส่งเกือบเสียอาการ
ภายในสมอง เอ็มลินรีบแปลงค่าเงินเป็นจำนวนตุ๊กตาและเสื้อผ้าตามสัญชาตญาณ
ผ่านไปสองวินาทีอย่างเงียบงัน ผีดูดเลือดหนุ่มกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ขอคิดดูก่อน จะให้คำตอบในอีกสองวัน”
“ตกลง” เลียวนาร์ดยกมุมปาก
เอ็มลินเดินออกจากบ้านเลขที่ 7 ถนนพินสเตอร์โดยทำตัวเหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น นั่งรถม้าไปลงสถานีรถไฟใต้ดินประจำเขตเหนือ และเดินทางต่อไปยังย่านทิศใต้ของสะพานด้วยรถม้าเช่าอีกทอด
ถอดหมวกออก หันหลังกลับไปมองรถม้าแล่นออกจากถนน เอ็มลินหัวเราะในลำคอพร้อมกับเดินเข้าไปในวิหารฤดูเก็บเกี่ยว
ในเวลาเดียวกัน ณ จุดระหว่างต้นไม้และเสาโคมไฟแก๊สสีดำ เงาดำร่างหนึ่งลอยขึ้นจากพื้นอย่างเงียบงัน ไม่ใช่ใครนอกจากเลียวนาร์ด·มิเชลเจ้าของเส้นผมสีดำดวงตาสีเขียว
การปรากฏตัวของมันไม่โดดเด่นสะดุดตา ผู้คนที่เดินผ่านไปมาไม่มีใครหันมาสนใจ
คนของโบสถ์พระแม่ธรณี…
เลียวนาร์ดขมวดคิ้ว พึมพำกับตัวเอง
มันยืนนิ่งสักพัก ก่อนจะหายตัวไปจากถนนกุหลาบอย่างไร้ร่องรอย
…
“เจ็ดพันปอนด์…? ถ้านายร้อนเงินขนาดนั้น ไปปล้นธนาคารง่ายกว่าไหม”
บนมิติหมอก ไคลน์ส่งเสียงอุทานหลังจากได้ยินคำตอบจากเอ็มลิน
ย้อนกลับไปในช่วงเริ่มต้นชีวิตนักผจญภัย ชายหนุ่มเคยให้เกอร์มัน·สแปร์โรว์พูดในทำนองเดียวกันก็จริง แต่บริบทและจำนวนเงินแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
จากข้อมูลของ ‘หูกระต่ายบุปผา’ โจเดอร์สัน ผู้ช่วยรองกัปตันแห่งฝันทองคำ ไคลน์ประเมินว่าสมบัติวิเศษในลักษณะดังกล่าวคงมีราคาประมาณห้าพันปอนด์ อย่างมากไม่เกินหกพันปอนด์ในกรณีรีบร้อน จึงคาดไม่ถึงว่าเลียวนาร์ดจะโขกไปถึงเจ็ดพันปอนด์ถ้วน!
หรือจะเป็นสมบัติวิเศษที่เกิดจากผู้วิเศษลำดับสูงของเส้นทาง ทำให้มีพลังหลายชนิดอยู่ในชิ้นเดียว และหนึ่งในนั้นคือการขโมยพลัง?
ไม่น่าใช่ ถ้าเป็นแบบนั้นจริง ราคาต้องไม่ต่ำกว่าหนึ่งหมื่นปอนด์แน่นอน… นักกวีเพื่อนรัก ทำไมนายถึงได้หน้าเงินแบบนี้ ไม่ใช่ว่าเคยทำตัวเฉื่อยชาและไม่เห็นความสำคัญของเงินมาตลอดหรอกหรือ?
ไคลน์ถอนหายใจห่อเหี่ยว
ปัจจุบัน ในเมื่อมันพบวิธีครอบครองสมบัติวิเศษตามที่ต้องการ และเป็นการแก้ปัญหาด้วยเงินทองเพียงอย่างเดียว มันตัดสินใจไม่เสียเวลาคิดหาหนทางอื่นเพิ่มเติม เป็นการหลีกเลี่ยงปัญหาไปในตัว
ไคลน์ลองนั่งคำนวณมูลค่าทรัพย์สินปัจจุบันของตนในใจ และพบว่าราคาดังกล่าวอยู่ในขอบเขตที่สามารถยอมรับได้
“เมื่อนับรวมค่าจ้างสามร้อยปอนด์จากนักปรุงยาอ้วน เงินค่าหัวของ ‘นักเจรจา’ อีกห้าพันสี่ร้อยปอนด์ เงินจากศพอีกจำนวนหนึ่ง ถึงจะหักเป็นค่าจ้างมิสเมจิกเชี่ยนอีกสองร้อยปอนด์ เราก็ยังมีทรัพย์สินทั้งหมด 12,767 ปอนด์กับอีกห้าเหรียญทอง รวมถึงเศษเงินอีกสามซูลแปดเพนนี ไม่เพียงเท่านั้น ภายในสัปดาห์ มิสจัสติสจะคืนเงินสองพันปอนด์ให้ข้ารับใช้ของเดอะฟูล และอีกหนึ่งพันแปดร้อยปอนด์เป็นค่าตะกอนพลังนักจิตบำบัด… จะว่าไป เราเองก็ร่ำรวยพอตัว แม้จะอยู่ในกรุงเบ็คลันด์ก็ยังถือว่าเป็นเศรษฐี”
ไคลน์สูดลมหายใจเข้า เสกปึกธนบัตรออกจากกองขยะโดยปราศจากความลังเล สั่งให้พวกมันลอยลงมาวางบนโต๊ะทองแดงยาว
มันบรรจงนับเงินสดแยกออกมาเจ็ดพันห้าร้อยปอนด์ โดยห้าร้อยปอนด์ถูกแบ่งให้เอ็มลินเป็นค่าเสียเวลาและ ‘เสี่ยงภัย’
เฮ่อ… ทำงานแทบตายกว่าจะได้หมื่นปอนด์ แต่กลับต้องเสียเกินกว่าครึ่งในพริบตา…
ไคลน์เสกเดอะเวิร์ลขึ้นมาและควบคุมให้ก้มหน้าสวดวิงวอน เป็นการตอบกลับไปยังเอ็มลิน แจ้งว่าตนไม่มีปัญหากับราคา และพิธีกรรมจะจัดขึ้นในอีกสิบห้านาที ให้รอรับเงินจากเดอะฟูล
นอกจากนี้ ไคลน์ยังให้เดอะเวิร์ลกำชับกับเดอะมูน·เอ็มลินว่า อย่าได้เร่งนำเงินไปจ่ายให้อีกฝ่ายเร็วนัก รอให้ถึงพรุ่งนี้เสียก่อน
เหตุผลไม่ซับซ้อน ชายหนุ่มกังวลว่า เทวทูตตระกูลโซโรอาสเตอร์ในตัวเลียวนาร์ดจะสัมผัสถึงออร่าสายหมอก จึงอยากให้ ‘ตาก’ เงินสดไว้ก่อนหนึ่งวัน เป็นเทคนิคเดียวกับที่ไคลน์ทำก่อนจะมอบเข็มกลัดผู้สันโดษแห่งชะตาให้เอ็มลิน
สิบห้านาทีถัดมา ไคลน์เหลือบมองไปยังธนบัตรทองปอนด์ที่เหลือไม่ถึงครึ่งจากของเดิม ลมหายใจถูกพ่นออกอย่างห่อเหี่ยว ก่อนจะส่งตัวเองกลับสู่โลกความจริงด้วยอารมณ์หม่นหมอง
ตอนนี้เป็นเวลา 10:40 น. ของวันศุกร์ เหลืออีกเพียงแปดชั่วโมงก่อนที่เรือโดยสารจะแล่นไปถึงเกาะโอลาวี
ถึงเวลาข่มขู่ลูกเต๋าความน่าจะเป็นอีกครั้ง…
ไคลน์พึมพำพลางประกอบพิธีกรรม นำกล่องบุหรี่โลหะที่บรรจุ ‘ดวงตาดำล้วน’ จากมิติหมอกลงมายังโลกจริง
ด้วยเกรงว่าดัควีลล์จะเกิดความสงสัย ไคลน์นำลูกเต๋าเข้าไปจัดการในห้องน้ำตามเดิม
หลังจากเห็นลูกเต๋าความน่าจะเป็นกลับมาเชื่องอีกรอบ ชายหนุ่มรีบเก็บดวงตาดำล้วนและกล่องบุหรี่โลหะกลับขึ้นมิติหมอก พ่นลมหายใจด้วยสีหน้าผ่อนคลาย ภายในใจคำนวณบวกลบเวลาอย่างคร่าว
เท่านี้ก็น่าจะเพียงพอให้ดัควีลล์นำลูกเต๋าไปส่งถึงปลายทาง ไม่จำเป็นต้องข่มขู่เพิ่มเติม…
คิดมาถึงจุดนี้ ไคลน์เป็นกังวลกับปัญหาใหม่
ในเมื่อดวงตาดำล้วนถูกปนเปื้อนด้วยจิตกัดกร่อนของพระผู้สร้างแท้จริง การนำออกมายังโลกจริงทุก ๆ หลายชั่วโมงอาจทำให้อีกฝ่ายสัมผัสถึง หากทางนั้นเกิดความสนใจ ก็อาจส่งบุคคลระดับสูงมาตรวจสอบโดยตรง
อย่างไรก็ตาม ในการข่มขู่แต่ละครั้ง เรานำดวงตาออกมาแค่หนึ่งถึงสองนาทีเท่านั้น แม้จะอีกฝ่ายจะสัมผัสได้ แต่ก็คงมิอาจระบุตำแหน่งอย่างแม่นยำ อย่างมากก็เป็นสถานที่กว้าง ๆ …
เฮ่อ… ถ้าเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับพระผู้สร้างแท้จริง เราไม่เคยทำนายหาผลลัพธ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพเลยสักครั้ง ทำได้แค่เพิ่มความระมัดระวังให้มากที่สุด… แต่ก็ไม่มีอะไรน่ากังวล นี่เป็นครั้งสุดท้ายแล้ว อีกแค่แปดชั่วโมงก็จะไปถึงไปเกาะโอลาวี…
บ้าจริง… เราปักเดธแฟล็กให้ตัวเองทำไม! ถุด! ถุด! ถุด! เราไม่ได้คิดอะไรทั้งนั้น!
ไคลน์หยิบลูกเต๋าความน่าจะเป็นเดินกลับไปยังห้องนั่งเล่น ภาพที่เห็นคือนักปรุงยาร่างท้วมกำลังนั่งหมดสภาพบนเก้าอี้นอน แต่ทางนกฮูกอ้วนกลับยังมีดวงตาเปล่งปลั่ง คล้ายกับไม่ต้องการการพักผ่อน
นี่คือความแตกต่างหลังจากสิ่งมีชีวิตแต่ละชนิดดื่มโอสถเข้าไป? อย่างน้อยเราก็ไม่เคยได้ยินมิสจัสติสพูดว่า เธอตื่นตัวตลอดทั้งวันโดยไม่มีความจำเป็นต้องนอน… เป็นเพราะโครงสร้างทางธรรมชาติของนกฮูก? เฮ่อ… เราไม่มีข้อมูลเชิงลึกในด้านนี้ สมแล้วที่เป็นแค่นักรบคีย์บอร์ดผู้รอบรู้ทุกเรื่องอย่างละนิด…
ไคลน์นั่งบนโซฟาพร้อมกับวางลูกเต๋าสีขาวนมสดในกล่องแหวนลง อดทนรอให้ถึงช่วงเย็นด้วยใจจดจ่อ เพราะนั่นจะเป็นเวลาที่เรือจอดเทียบท่าเกาะโอลาวี
ผ่านไปจากวินาทีเป็นนาที แสงแดดอันร้อนแรงด้านบนเริ่มคล้อยไปทางทิศตะวันตก ยิ่งเวลาผ่านไปก็ยิ่งลดต่ำใกล้กับเส้นขอบฟ้า
ทันใดนั้นเอง ไคลน์ที่กำลังหลับตาเอนหลังด้วยสมาธิเต็มเปี่ยม พลันตระหนักถึงภัยคุกคามอย่างรุนแรงชนิดที่ทำให้ร่างกายเย็นไปถึงกระดูกสันหลัง!
ไม่เพียงเท่านั้น ความรู้สึกนี้มิได้มาจากสัมผัสวิญญาณของนักทำนายหรือนิมิตลางสังหรณ์ของตัวตลก แต่มาจากหมอกสีเทาล่องหนที่กำลังกระเพื่อมรอบตัวชายหนุ่มอย่างแปลกประหลาด
ศัตรู! เป็นใครกัน… ผู้กลืนหาง·โอโรเลอุส หรือนักบุญคนอื่นจากชุมนุมแสงเหนือ?
ดวงตาไคลน์กำลังเบิกกว้าง สีหน้าเผยความตึงเครียดถึงขีดสุด สมาธิทั้งหมดถูกทุ่มไปกับการคิดหาวิธีรับมือ
ในสถานการณ์ปัจจุบัน หากลงมือผิดพลาดแม้เพียงเล็กน้อย มันเชื่อว่าตนควรวางแผนชีวิตหลังเกิดใหม่เตรียมรอไว้ได้เลย
ในส่วนของนักปรุงยาอ้วนกับนกฮูก พวกมันจะถูกเชือดทิ้งอย่างไม่ต้องสงสัย
ย้อนกลับไปตอนแรก ไคลน์เชื่อว่าอีกฝ่ายคงสัมผัสถึงดวงตาดำล้วนได้อย่างคร่าวเท่านั้น ไม่น่าจะระบุตำแหน่งของตนหรือลูกเต๋าความน่าจะเป็นได้อย่างชัดเจน
แต่เมื่อลองไตร่ตรองอย่างละเอียด ถึงจะเป็นสถานที่กว้าง ๆ แต่บริเวณดังกล่าวมีเพียงท้องทะเลและเรือเดินสมุทร การเลือกตรวจสอบไปทีละจุดก็ไม่ใช่เรื่องเกินกำลังแต่อย่างใด!
ทันใดนั้นเอง ณ ท้องฟ้าเหนือเรือเดินสมุทร ห้วงมิติถูกฉีกขาดด้วยฝีมือของใครบางคน ประตูมายาลวดลายซับซ้อนบานหนึ่งปรากฏขึ้น
สองมือที่มีผิวพรรณขาวซีดโผล่ออกจากประตูพร้อมกับคว้าขอบทั้งสองฝั่ง ตามด้วยการดึงกลับเพื่อลากร่างกายด้านในตามออกมา
ชายลึกลับสวมชุดคลุมและหมวกใบเล็กสีดำที่ได้รับความนิยมในอดีต เมื่อพิจารณาจากใบหน้า ประเมินว่าอายุคงยังไม่ถึงสี่สิบ เส้นผมสีน้ำตาลหยักศกเล็กน้อย รอบตัวแผ่บรรยากาศคุกคามเข้มข้นจนชวนให้อึดอัด
ภายในดวงตาสีเข้มคล้ายกับมีเงาดำอาศัยอยู่นับไม่ถ้วน ประหนึ่งเป็นอีกโลกที่วุ่นวายและโกลาหล
สัญชาตญาณรับรู้อันตรายของไคลน์ถูกกระตุ้นจนถึงขีดสุด ลำพังอารมณ์ตึงเครียดทางสีหน้าของชายหนุ่ม ก็มากพอจะทำให้ดัควีลล์และนกฮูกแฮร์รี่ผงะจนตัวแข็งทื่อฉับพลัน
มันไม่ลังเลอีกต่อไป รีบทำตามแผนที่เคยคิดเตรียมไว้ใช้ในสถานการณ์ฉุกเฉิน ร่างกายโน้มลงไปหยิบลูกเต๋าความน่าจะเป็น
“จงควบคุมผลลัพธ์การตัดสินใจของผู้บุกรุกที่มีเจตนาร้าย… ฉันต้องการหนึ่งแต้ม!” ไคลน์ทอยเต๋าพลางกระซิบ ภายในใจสวดวิงวอนถึงเทพธิดารัตติกาล อธิษฐานให้ลูกเต๋าที่เพิ่งถูกข่มขู่ยอมร่วมมือแต่โดยดี
ขณะเดียวกัน มันยังคงทำตัวสุขุม ด้วยเกรงว่าหากลูกเต๋าสัมผัสถึงความสั่นคลอนทางจิตใจ อาจฉกฉวยโอกาสสร้างความฉิบหายให้แก่ตน
ท่ามกลางเสียงดังกระทบหลายหน ลูกเต๋าความน่าจะเป็นหมุนรอบตัวสองสามครั้ง ก่อนจะหงายออกมาเป็นหนึ่งแต้มสีแดงฉานราวกับเลือด
เหนือเรือเดินสมุทร ภาพของเรือทั้งลำกำลังปรากฏในการมองเห็นของชายสวมชุดคลุมสีดำผู้มีอายุไม่ถึงสี่สิบ
มันแผ่ขยายพลังวิญญาณพลางกวาดตามองไปรอบลำเรือ ก่อนจะเหยียดแขนเข้าไปในห้วงมิติว่างเปล่าตรงหน้า ง้างเปิดบานประตูมายาที่แทบไม่มีใครมองเห็น
บุคคลลึกลับและทรงพลังแทรกตัวเข้าไปในช่องว่างห้วงมิติ หายตัวไปอย่างสมบูรณ์
เมื่อไคลน์ในห้องพักเฟิร์สคลาสตระหนักว่าอันตรายผ่านพ้น มันรีบหายใจทั่วท้องด้วยสีหน้าผ่อนคลาย
ชายหนุ่มจ้องไปยังลูกเต๋าความน่าจะเป็นบนโต๊ะกาแฟ ในใจส่งเสียงรำพัน :
หากเจ้านี่ไม่มีผลข้างเคียงรุนแรง สามารถใช้ประโยชน์ด้านบวกได้อย่างเต็มที่ มันจะกลายเป็นอาวุธสงครามที่ไร้ผู้ต่อต้าน!
สมกับเป็นสมบัติปิดผนึกระดับ 0 สมกับเป็นเส้นทางสัตว์ประหลาด…
“ก…เกิดอะไรขึ้นหรือ” ดัควีลล์รวบรวมความกล้าหาญที่มีอยู่น้อยนิด ซักถามด้วยสีหน้าเป็นกังวล
ไคลน์รักษามาด ตอบกลับเสียงนิ่ง
“นายไม่จำเป็นต้องรู้”
“ข…เข้าใจแล้ว! ตกลง! ยิ่งฉันรู้มากเท่าไรก็จะยิ่งเป็นอันตรายสินะ” ดัควีลล์ปาดเหงื่อเย็นเฉียบกึ่งกลางหน้าผาก
หลังจากนั้นไม่กี่ชั่วโมง การเดินทางเป็นไปอย่างราบรื่นปราศจากอุปสรรค เมื่อดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าโดยสมบูรณ์ เมื่อผืนนภามีเพียงสีดำสนิทไร้สิ่งเจือปน ไคลน์เริ่มเห็นประภาคารสำหรับนำทางให้เรือแล่นเข้าไปจอดเทียบท่า
……………………