บทที่ 607 ตัดสินใจ

บัลลังก์พญาหงส์

หลี่เย่นั่งคุกเข่าตั้งแต่วันแรกตอนบ่ายไปจนถึงวันที่สองตอนเช้า

 

 

ฮ่องเต้กลับมาจากว่าราชการ ก็ต้องมาพบกับหลี่เย่ที่ใกล้จะทนต่อไปไม่ไหวแล้ว ฮ่องเต้ถามคำถามนั้นขึ้นมาอีกครั้ง แต่คำตอบที่ฮ่องเต้ได้รับก็ยังคงเหมือนเดิม

 

 

เห็นชัดว่าหลี่เย่ตัดสินใจดีแล้ว

 

 

แต่เมื่อเห็นหลี่เย่สภาพนี้ ฮ่องเต้กลับหงุดหงิดใจมากขึ้น เขาแทบจะเกิดโทสะขึ้นมาด้วยความแค้นใจ “หากยังดื้อด้านเช่นนี้ ข้าจะออกคำสั่งประหารถาวซื่อทันที!”

 

 

หลี่เย่ขยับตัว แต่เพียงแค่ก้มหน้า พูดเสียงแหบพร่า “หากเป็นเช่นนี้จริง ก็ขอให้เสด็จพ่อประหารลูกด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

เหตุผลที่เสียงพร่าไม่ได้เป็นเพราะอย่างอื่น แต่เป็นเพราะว่าไม่ได้ดื่มน้ำเลย แม้ว่าระหว่างนั้นขันทีเป่าฉวนจะแอบเอาน้ำและของว่างเล็กน้อยมาให้ แต่ก็ได้แค่เพียงกลั้วคอเท่านั้น ทำให้เขาไม่ถึงขั้นหิวจนเป็นลมสลบไปเท่านั้นเอง แต่ไม่กล้าให้เขาอิ่มได้จริงๆ

 

 

ต่อให้มาจนถึงขั้นนี้แล้ว ท่าทีของหลี่เย่ก็ยังคงมุ่งมั่นเหมือนเดิม

 

 

ฮ่องเต้โมโหจนแทบจะหงายไป ดุด่าเสียงเย็น “ดีๆๆ เจ้ากล้าขู่ข้า ข้าอยากจะดูนัก หากข้ามอบความตายให้ถาวซื่อจริง เจ้าจะตามไปด้วยจริงหรือไม่!”

 

 

หลี่เย่สบตากับฮ่องเต้ทั้งตกใจและโมโห ฮ่องเต้เพียงแค่มองเขาด้วยสายตาเย็นเยียบดั่งน้ำค้างแข็ง

 

 

“เสด็จพ่อในตอนนั้นทำไมถึงยืนยันจะแต่งตั้งเสด็จแม่เล่าพ่ะย่ะค่ะ? ทั้งๆ ที่เสด็จพ่อก็แต่งงานกับฮองเฮาเหนียงเหนียงแล้วมิใช่หรือ?” ฉับพลันหลี่เย่ก็หัวเราะออกมา แฝงไว้ก้วยความเยาะเย้ยเล็กน้อย ”เสด็จพ่อคิดว่านั่นคือความชอบหรือพ่ะย่ะค่ะ? ในเมื่อชอบ ตอนที่เสด็จแม่ไม่ได้รับความเป็นธรรม พระองค์ไปอยู่ที่ใดพ่ะย่ะค่ะ? ทำไมพระองค์ถึงไม่ยอมปกป้องเสด็จแม่เลยแม้แต่น้อยเล่า? ในเมื่อปล่อยให้เสด็จแม่ต้องถูกกระทำเช่นนั้น ทำไมตอนแรกพระองค์จะต้องแต่งตั้งเสด็จแม่ด้วยพ่ะย่ะค่ะ? วันนี้ตอนนี้เสด็จพ่อยังจำคำหวานปานน้ำผึ้ง คำสัญญาจริงจังที่เคยพูดกับเสด็จแม่ได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”

 

 

ฮ่องเต้พลันใจลอย คิดถึงกู้กุ้ยเฟยขึ้นมาอย่างไม่สามารถควบคุมได้ ตอนนั้นเขาแต่งตั้งกู้กุ้ยเฟยก็เพราะว่าชอบจากใจจริง แน่นอนว่าคำสาบานอย่างหนักแน่นก็ไม่อาจขาดไป

 

 

แต่สิ่งที่หลี่เย่พูดก็เป็นเรื่องจริง เพื่อได้รับความช่วยเหลือจากตระกูลหวัง เขาอดทนยอมถอยให้ฮองเฮาอยู่มาก

 

 

“ตอนที่เสด็จแม่สวรรคต เสด็จพ่อทรงเสียใจและรู้สึกผิดบ้างหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ? ตอนนั้นที่กระหม่อมโดนวางยา เสด็จพ่อเคยคิดจะสืบเรื่องให้ชัดเจนหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?” มาจนถึงสุดท้ายหลี่เย่ก็เค้นถามฮ่องเต้อย่างจริงจัง

 

 

ฮ่องเต้กลับไม่พูดแม้แต่ประโยคเดียว สุดท้ายแล้วฮ่องเต้ก็ชักสีหน้าโกรธในฉับพลัน ตะคอกเสียงแค้น “ถาวซื่อจะเอามาเทียบกับเสด็จแม่ของเจ้าได้อย่างไร?”

 

 

หลี่เย่หัวเราะเสียงต่ำ “มีอะไรไม่เหมือนกันพ่ะย่ะค่ะ?”

 

 

ฮ่องเต้พูดเสียงเย็น “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้าก็นั่งคิดสำนึกอยู่ในห้องต่อไปเถิด” พอพูดจบก็สะบัดแขนเสื้อเดินออกไป

 

 

หลี่เย่ไม่คิดจะต่อต้าน ยังคงรักษาท่าทางของตัวเองเอาไว้อย่างสงบเงียบ แต่ในใจมีความรู้สึกที่พูดไม่ออก ตัวเขาในอดีตก็เคยมีความหวังในตัวฮ่องเต้อยู่เหมือนกัน คิดว่าตอนนั้นฮ่องเต้ยังเป็นแค่องค์รัชทายาท ดังนั้นจำต้องอดกลั้น หลังจากขึ้นเป็นฮ่องเต้แล้ว ย่อมต้องชำระความไปทีละเรื่อง

 

 

แต่คิดไม่ถึงว่าทั้งหมดนี้ก็เป็นแค่เพียงจินตนาการของเขาเท่านั้น

 

 

ขันทีเป่าฉวนยังคงถูกรั้งเอาไว้เพื่อเฝ้าหลี่เย่

 

 

ขันทีเป่าฉวนสั่งให้นางกำนัลออกไป ขมวดคิ้วพูดกับหลี่เย่เสียงเบา “รู้อยู่แล้วว่าเรื่องนี้ไม่อาจยกขึ้นมาพูดต่อหน้าฮ่องเต้ได้ ทำไมตวนชินอ๋องถึงได้ต้องยกขึ้นมาพูดเล่าพ่ะย่ะค่ะ? อีกอย่าง ท่านเองก็รู้อยู่ว่าทำไมฮ่องเต้ถึงทำเช่นนี้กับท่าน ยอมรับผิด พูดจาดีๆ อีกไม่กี่คำ ก็ผ่านไปแล้วมิใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ? ฮ่องเต้ถูกไทเฮาบีบมามากพอแล้ว ไม่พอใจอยู่พ่ะย่ะค่ะ”

 

 

หลี่เย่ยังคงนิ่งเงียบ แต่ในใจนั้นลอบหัวเราะเบาๆ ไทเฮาทำให้เขาไม่พอใจ เขาเองก็เลยมาหาเรื่องตนให้ไม่พอใจได้อย่างนั้นหรือ สมแล้วที่เป็นบิดา

 

 

ขันทีเป่าฉวนเห็นหลี่เย่เป็นแบบนี้ หลังจากออกไปแล้วก็เรียกขันทีน้อยรู้ใจมาคนหนึ่งพูดกำชับเสียงต่ำ “เจ้าไปหาไทเฮา แอบไปอย่าให้ใครเห็น บอกว่าตวนชินอ๋องยังอยู่ในวังหลวง นี่สองวันแล้ว”

 

 

ไทเฮารู้เรื่องนี้ย่อมต้องโมโห จึงพูดก่นด่า “ฮ่องเต้คิดอะไรอยู่?!” จากนั้นก็สั่งให้คนไปเชิญหลี่เย่มา บอกว่าอยากพบหลี่เย่

 

 

พอพบหลี่เย่แล้วนั้น ทันใดนั้นไทเฮาก็รู้สึกสงสารเป็นอย่างมาก ยิ่งอยากกล่าวโทษขึ้นมา และหลังจากที่รู้เหตุผลแล้ว ไทเฮาก็นิ่งเงียบไปนาน แล้วถึงได้พูดลองเชิงว่า “ไม่อย่างนั้นก็ถอยให้ก้าวหนึ่งเป็นอย่างไร? เจ้าเองก็รู้สถานการณ์ในตอนนี้…”

 

 

จากนั้นไม่รอให้ไทเฮาพูดจบ หลี่เย่ก็ส่ายหน้า “ไทเฮาน่าจะเข้าใจความคิดของหลานแล้ว ทำไมจะต้องเกลี้ยกล่อมอีกเล่าพ่ะย่ะค่ะ?”

 

 

ไทเฮานิ่งเงียบไม่พูดจา สุดท้ายก็โบกมือ “ช่างเถิดๆ เจ้ากลับไปก่อนเถิด เรื่องนี้ข้าจะพูดกับเสด็จพ่อของเจ้าเอง”

 

 

หลี่เย่ผ่อนลมหายใจ ขอบพระทัยไทเฮาแล้วก็ทูลลาออกมา แต่เพิ่งจะลุกขึ้น ร่างกายก็เซไป ภาพด้านหน้าหมุนติ้ว ยืนไม่อยู่ ล้มลงในทันใด

 

 

หลี่เย่ไม่ได้เป็นอะไรมาก แต่กลับทำให้ไทเฮาตกใจไม่น้อย

 

 

ตอนที่ถาวจวินหลันถูกไทเฮาเรียกเข้าวังหลวง นางยังไม่รู้สถานการณ์ของหลี่เย่ พอนางเห็นหลี่เย่แล้วนก็ร้อนใจในทันใด “ท่านอ๋องเป็นอะไรไปหรือเพคะ?”

 

 

ไทเฮาพูดเสียงเย็น “ถูกฮ่องเต้ทำโทษ สองวันมานี้ไม่ได้กินข้าวและไม่ได้นอน ร่างกายถึงรับไม่ไหว”

 

 

พูดตามจริงในใจของไทเฮานั้นนึกพาลถาวจวินหลันอยู่เล็กน้อย อย่างไรหากไม่ใช่เพราะถาวจวินหลัน หลี่เย่จะต้องมาทนพบเจอความทรมานเช่นนี้ได้อย่างไร?

 

 

ถาวจวินหลันย่อมไม่เข้าใจว่าทำไมไทเฮาถึงได้เย็นชา แต่ใจของนางตอนนี้ไม่ได้อยู่ที่เรื่องนี้ จึงไม่ได้สังเกตท่าทีของไทเฮา หลังจากฟังเหตุผลแล้วก็ลอบถอนหายใจ นี่ไม่ได้ถือว่ารุนแรงอะไรนัก รอให้พักผ่อนให้ดี ทานข้าวก็จะดีขึ้นเอง

 

 

แต่จากนั้นนางก็คิดขึ้นมาได้ว่า “ท่านอ๋องทำอะไรให้ฮ่องเต้โมโหหรือเพคะ? ถึงได้ทำให้ฮ่องเต้โกรธขนาดนี้?” เป็นครั้งแรกที่นางได้ยินว่าฮ่องเต้ใจร้ายทำใจลงโทษองค์ชายหรือท่านอ๋องได้ลง หลี่เย่คงถือว่าเป็นคนแรกกระมัง?

 

 

ไทเฮาไม่ตอบ เพียงแค่ส่ายหน้า “รอเขาฟื้นขึ้นมาเจ้าก็ถามเขาเองเถิด ข้ายังมีเรื่องต้องไปทำ”

 

 

ไทเฮารีบไปพบฮ่องเต้

 

 

แต่ถาวจวินหลันไม่รู้ ดังนั้นนางจึงยังรั้งอยู่เพื่อดูแลหลี่เย่

 

 

พอหลี่เย่ตื่นขึ้นมาแล้ว ท้องฟ้าด้านนอกก็เป็นสีดำสนิทแล้ว เขาลืมตาขึ้นมาเห็นถาวจวินหลันนั่งเฝ้าตนเองอยู่ข้างๆ

 

 

เห็นหลี่เย่ฟื้นได้สติ ถาวจวินหลันก็รีบพูดว่า “หิวหรือไม่เพคะ? ข้าใช้เตาเล็กอุ่นข้าวต้มเอาไว้ให้ท่านเพคะ เคี่ยวจนละลายแล้ว สภาพของท่านตอนนี้ทานสิ่งนี่ดีที่สุดเพคะ”

 

 

หลี่เย่ไม่อยากเอ่ยปากพูด จึงพยักหน้า เขาหิวจนรู้สึกแสบท้องเบา ต้องการของร้อนเข้าไปประทังท้องตนเองแล้ว

 

 

ถาวจวินหลันไม่เรียกใช้นางกำนัล ยกถ้วยข้าวต้มมาป้อนหลี่เย่อย่างคล่องแคล่ว รอจนข้าวต้มถ้วยหนึ่งลงท้องไปหมดแล้วนั้น นางก็ไม่กล้าป้อนหลี่เย่ต่อ วางถ้วยเอาไว้ด้านข้าง พูดกับหลี่เย่เสียงต่ำ “ไทเฮากับฮ่องเต้ทรงมีปากเสียงกันเล็กน้อย สุดท้ายแล้วก็แยกกันอย่างไม่ค่อยสู้ดีนักเพคะ”

 

 

หลี่เย่นิ่งไป จากนั้นก็เหม่อลอยอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ส่งเสียงแสดงว่าตนเองรับรู้แล้ว

 

 

ถาวจวินหลันเห็นเขาเป็นเช่นนี้ จึงไม่ได้ถามอะไรอีก เพียงแค่พูดว่า “วันนี้พวกเราพักอยู่ในวังหลวงสักคืนหนึ่งเถิดเพคะ ท่านพักอีกสักครู่หนึ่ง ตอนนี้น่าจะถึงเวลาอาหารเย็นแล้ว ข้าจะไปปรนนิบัติไทเฮาเสวยอาหารเพคะ”

 

 

หลี่เย่คิด แต่กลับลุกขึ้นมา “ไปด้วยกันเถิด” ตอนนี้เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น ไม่แน่ว่าไทเฮาอาจจะพาลไปถึงถาวจวินหลัน มีเขาอยู่ ไทเฮาก็คงไม่อาจทำให้นางลำบากใจมากจนเกินไป

 

 

ถาวจวินหลันกลับกดเขาเอาไว้ให้ลงไปนอนเหมือนเดิม “ช่างเถิดเพคะ ไทเฮาไม่ใช่เสือเสียหน่อย ยังจะกินข้าเข้าไปได้หรือเพคะ? ท่านจะปกป้องข้าไปได้ทั้งชีวิตอย่างนั้นหรือ? ท่านทำเพื่อข้ามากมายขนาดนี้แล้ว หากต้องลำบากท่านอีก ข้าคงรู้สึกไม่ดีเหมือนกันเพคะ”

 

 

ใช่แล้ว หลี่เย่เป็นลมไปครึ่งวัน สุดท้ายนางก็รู้ในสิ่งที่ควรรู้ เป็นขันทีเป่าฉวนที่แอบมาบอกนาง

 

 

ตอนที่หลี่เย่เป็นลมไปนั้น สุดท้ายแล้วฮ่องเต้ก็ยังรู้สึกผิดอยู่บ้าง หลังจากรู้ข่าวก็ให้ขันทีเป่าฉวนนำยามาให้ และถาวจวินหลันกลับฉวยโอกาสตอนนี้ถามจนรู้ต้นสายปลายเหตุ

 

 

จะบอกว่าไม่ซาบซึ้งนั้นก็เป็นเรื่องโกหก แต่นอกจากซาบซึ้งแล้ว ในใจของนางยังกล่าวโทษและลำบากใจ

 

 

หลี่เย่ยอมทุ่มเทเพื่อนางขนาดนี้ แต่นางกลับไม่มีกำลังมากพอช่วยเหลืออะไรได้ ความรู้สึกเช่นนั้นพูดตามจริงแล้วไม่ได้ดีแม้แต่น้อย

 

 

ตอนที่ปรนนิบัติไทเฮาเสวยอาหารนั้น ไทเฮาก็ปฏิเสธเนิบๆ “นั่งลงทานข้าวด้วยกันเถิด เจ้าไม่ใช่นางกำนัลแล้ว ไม่จำเป็นต้องทำเรื่องเหล่านี้” ที่จริงเมื่อดูจากรุ่นลำดับตระกูลแล้วนั้น ถาวจวินหลันปรนนิบัติไทเฮาเสวยอาหารก็ถือว่าเป็นเรื่องสมเหตุสมผล ที่ไทเฮาพูดเช่นนี้เห็นได้ชัดว่าไม่พอใจเท่านั้นเอง

 

 

ถาวจวินหลันก็ไม่ฝืน และไม่ได้พูดอะไร

 

 

เรื่องนี้จะพูดอะไรได้อีก? หรือจะบอกไทเฮาว่าเรื่องนี้ไม่ใช่สิ่งที่นางยินยอม ดังนั้นขอให้ไทเฮาอย่าโกรธนางอย่างนั้นหรือ? ย่อมเป็นไปไม่ได้

 

 

หลังจากกินข้าวท่ามกลางความเงียบครู่หนึ่ง สุดท้ายไทเฮาก็เอ่ยปากพูดขึ้นมา “เขาปฏิบัติกับเจ้าเช่นนี้ ก็ขอให้เจ้าทำให้สมกับความทุ่มเทและมุ่งมั่นของเขา”

 

 

ถาวจวินหลันพยักหน้าอย่างจริงจังต่อ “หม่อมฉันย่อมไม่กล้าละเลยน้ำใจของท่านอ๋องเป็นแน่เพคะ” แต่นางไม่กล้าใช้คำว่าทดแทน หลี่เย่ทุ่มเทมากมายขนาดนี้ หากจะพูดเรื่องทดแทน บางทีทั้งชีวิตนี้ยังน้อยเกินไป แต่ความรู้สึกที่หลี่เย่ทุ่มออกมาทั้งหมด ยังดีที่นางยังมีความรู้สึกที่เทียบทานกันได้มาคืนเขา ไม่ถึงขั้นติดค้างกันมากเกินไป

 

 

“เรื่องแต่งตั้งองค์รัชทายาท ฮ่องเต้ยังไม่ยอมตกลง” ไทเฮานวดหว่างคิ้วอย่างเหนื่อยล้า “อีกทั้งฮองเฮายังต่อต้าน เรื่องนี้เกรงว่าจะต้องเข้าราชชั้นศาลแล้ว”

 

 

“ฮองเฮาหรือเพคะ…”ถาวจวินหลันก้มหน้าคิดอยู่ครู่หนึ่ง จู่ๆ ก็เงยหน้าและพูดว่า “หลังจากเสวยเสร็จ หม่อมฉันอยากไปทำความเคารพฮองเฮา ไทเฮาว่าอย่างไรเพคะ?”

 

 

“เจ้าคิดจะทำอะไร?” ไทเฮาขมวดคิ้ว

 

 

“อาอู่” สุดท้ายแล้วถาวจวินหลันก็พูดสองคำนี้ออกมา

 

 

“เจ้าคิดจะเอาอาอู่มาข่มขู่ฮองเฮาอย่างนั้นหรือ?” ไทเฮาตกใจ มองถาวจวินหลันอย่างคิดไม่ถึง “แต่เจ้าเอาอะไรมามั่นใจว่าฮองเฮาจะยอม”

 

 

เรื่องจริงนั้นถาวจวินหลันย่อมไม่กล้าพูดให้ไทเฮาฟัง ดังนั้นจึงพูดว่า “อย่างไรอาอู่ก็ยังเด็กเพคะ อีกทั้งยังเป็นสายเลือดเดียวขององค์รัชทายาท อย่างไรฮองเฮาก็จะต้องห่วงอยู่บ้าง อีกทั้งหม่อมฉันยังถือเบี้ยต่อรองของฮองเฮาเอาไว้เพคะ”

 

 

ไทเฮามองท่าทีของถาวจวินหลัน กลับไม่ได้ถามอะไรออกมามาก

 

 

ถาวจวินหลันครุ่นคิดพิจารณาอย่างละเอียดครู่หนึ่ง จึงเดินทางไปยังวังของฮองเฮา นางสูดลมหายใจเข้าลึก ครั้งนี้จะต้องทำให้ฮองเฮาร่วมมือให้ได้ เรื่องแต่งตั้งองค์รัชทายยาทไม่อาจล่าช้ากว่านี้ได้แล้ว อีกทั้งฮ่องเต้ไม่พอใจที่จะให้นางเป็นพระชายาองค์รัชทายาท เรื่องนี้ทำได้แค่เพียงตกลงที่ฮองเฮาเท่านั้นถึงจะทำได้

 

 

ไทเฮาไม่เหมาะที่จะทะเลาะกับฮ่องเต้ต่อไป มิเช่นนั้นความสัมพันธ์แม่ลูกก็จะต้องยิ่งเบาบางลง อีกทั้งไทเฮาในตอนนี้รักษาตัวสำคัญมากที่สุด แม้แต่หลี่เย่ หากต้องมาเหนื่อยอีกครั้ง นางเองก็ไม่กล้าคิดว่าสถานการณ์จะเป็นเช่นไร