ต้นสายปลายเหตุมาจากตัวเอง หวงฝู่อวี้จะยอมเข้าข้างในได้อย่างไร จึงพูดอ้อนวอนว่า “แม่นางเมิ่ง เจ้าให้พวกเขาหยุดเถิด ถ้าเป็นเช่นนี้ต่อไปจะทำให้โรงงานถึงแก่ความวินาศได้ พวกเขาล้วนเป็นคุณชายของจวนเจ้าพระยาและปั๋ว แตะต้องพวกเขาไม่ได้”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวทำราวกับว่าไม่ได้ยิน และสั่งเฮ่ออีอีกครั้ง “พาคุณชายรองเข้าไป”

 

 

เฮ่ออีได้ยินน้ำเสียงของนางที่เคร่งขรึมขึ้น จึงไม่กล้าลังเลได้อีก กล่าวขออภัยว่า “คุณชายรอง ขอล่วงเกินท่านนะขอรับ” แล้วใช้แรงลากเขาเข้าไปอย่างไม่เกรงใจ

 

 

องครักษ์ลับที่คุณชายเหล่านั้นพามาด้วยยังดีหน่อย วิชาการรบพอเทียบกันได้กับชิงหลวน จูหลี กัวเฟยและพวกทหารอารักขาแต่คุณชายทั้งสี่นั้นเทียบไม่ได้เลย ความสามารถการต่อสู้ห่างกันคนละชั้นกับพวกเขาอย่างสิ้นเชิง ในการต่อสู้แบบตัวต่อตัวนั้น ทุกคนต่างได้รับบาดเจ็บไม่มากก็น้อย ทำให้เหล่าคุณชายยิ่งบันดาลโทสะ ใจคิดอยากจะฆ่าเมิ่งเชี่ยนโยวมากขึ้น

 

 

เมื่อทหารประจำการของแต่ละจวนมาถึง ก็เห็นภาพเหตุการณ์การต่อสู้ที่ชุลมุนวุ่นวายนั้นโดยไม่เข้าใจว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น จึงนิ่งอึ้งกันหมด

 

 

เมื่อเห็นทหารจวนตนมาถึงแล้ว คุณชายทั้งสี่ก็ปลีกตัวถอยออกมา หลิวเหยี่ยนหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง ตะโกนร้องด้วยความลำพอง “นังบ่าวรับใช้ชั้นต่ำ เจ้าเบิกตาโตๆ ดูให้ดีๆ ล่ะว่า วันนี้พวกเราจะถล่มโรงงานโทรมๆ ของเจ้าอย่างไร”

 

 

เมิ่งฉีเกร็งตัวแน่น เมิ่งเชี่ยนโยวไม่สนใจแม้แต่น้อย พูดว่า “กลางวันแสกๆ ในเมืองหลวงเช่นนี้ หากเจ้ากล้าที่จะทำ ข้าก็กล้าที่จะฟ้องต่อตำหนักจินหลวน[1]”

 

 

หลิวเหยี่ยนหัวเราะเยาะ “ด้วยสถานะของเจ้านี่หรือ คิดอยากจะฟ้องต่อตำหนักจิงหลวน ช่างไร้สาระสิ้นดี ราวกับคนสิ้นสติพูดจาเพ้อฝันอย่างไรอย่างนั้น จะบอกเจ้าให้ เมืองหลวงแห่งนี้ยังไม่เคยมีใครกล้าพูดกับคุณชายอย่างพวกเราเช่นนี้มาก่อนเลย ในเมื่อเจ้าพูดออกมาแล้ว ข้าก็จะให้โอกาสเจ้าครั้งนี้” พูดจบ ก็โบกมือสั่งการกับทหารของจวนทั้งหมด “ข้าให้เวลาพวกเจ้าหนึ่งก้านธูปพังโรงงานซอมซ่อนี้เสีย”

 

 

แม้เหล่าทหารของจวนจะไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น แต่เมื่อนายท่านมีคำสั่ง ก็ไม่กล้าไม่ทำตาม เหล่าทหารสองสามร้อยคนบุกเข้ามาที่โรงงาน

 

 

ขณะคุณชายทั้งสี่มองดูทั้งหมดนี้อย่างกระหยิ่มยิ้มย่อง คิดไม่ถึงว่า ยังไม่ทันที่ทหารของแต่ละจวนบุกถึงหน้าประตูโรงงาน ภายในโรงงานก็มีเสียงแผดร้อง ฆ่า ดังขึ้น ตามติดมาด้วยเหล่าทหารที่พิการและบาดเจ็บเหล่านั้น เดินถือกระบอง มีดหั่นผัก โห่ร้องฮึกเหิมออกมา แล้วกันอยู่ด้านหน้าของเมิ่งเชี่ยนโยวและเมิ่งฉี ตามองจ้องเขม็งราวกับเสือไปยังทหารของจวนพวกนั้น

 

 

ทุกคนอึ้งตะลึงไป แม้แต่เมิ่งเชี่ยนโยวและเมิ่งฉีก็อึ้งไปชั่วครู่ถึงจะตอบสนองกลับ เมิ่งเชี่ยนโยวรีบตำหนิพวกเขา “ไม่ใช่เรื่องของพวกเจ้า เข้าไปข้างในให้หมด”

 

 

นายทหารคนหนึ่งที่มีรูปร่างสูงใหญ่ เดินกะโผลกระเผลกถือมีดหั่นผักในมือ รุดมาข้างหน้าสุด พูดด้วยเสียงที่ก้องกังวานว่า “นายหญิง โรงงานแห่งนี้ก็คือบ้านของพวกเรา ผู้ใดที่กล้าทำลายที่นี่ พวกเราก็จะสู้อย่างสุดชีวิต”

 

 

นายทหารเหล่านี้คือคนที่เคยอยู่ในสนามรบมาก่อนทั้งสิ้น เวลานี้ร่างกายล้วนแผ่รังสีสังหาร กดให้เหล่าทหารของจวนที่ใกล้จะบุกเข้ามาถึงประตูเหล่านั้น ต้องถอยหลังไปก้าวหนึ่งอย่างไม่รู้ตัว

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวจัดแจงให้นายทหารที่บาดเจ็บร้อยกว่านายทำงานอยู่ในโรงงาน ตอนที่ฉู่เหวินเจี๋ยนำเรื่องนี้ไปรายงาน ข้าราชการบุ๋นบู้ร้อยกว่าคนที่รักษาการณ์ให้แก่ฮ่องเต้ยังต้องออกปากชมเชยนาง คุณชายทั้งสี่คนนี้ย่อมได้ยินข่าวมาบ้างเป็นธรรมดา ตอนนี้เห็นพวกเขาไม่กลัวตายและออกมาประจันหน้า และกั้นขวางอยู่ด้านหน้าของเมิ่งเชี่ยนโยว สายตาก็เริ่มพร่ามัว และเกิดความลังเลขึ้นในใจ แต่ถ้าปล่อยไปแบบนี้ ก็ไม่ยินยอม จนผ่านไปครู่หนึ่ง จิงเหิงยิ้มเยาะ และพูดกับอีกสามคนว่า “เป็นแค่เศษสวะที่ถอนตัวออกมาจากสนามรบ แล้วยังคิดจะออกหน้าแทนนังบ่าวรับใช้ชั้นต่ำนั่น”

 

 

หลิวเหยี่ยนเดือดดาลเช่นกัน จึงพูดคล้อยตามเสียงดังว่า “ถูกต้อง ตอนนี้พวกเจ้าก็คือชาวบ้านธรรมดา ถ้าเข้าใจสถานะตัวเองแล้ว ก็ไสหัวออกไป มิเช่นนั้นแม้แต่พวกเจ้าก็จะโดนฆ่าด้วย”

 

 

และยังเป็นนายทหารร่างสูงใหญ่นั้นคนเดิม ถมน้ำลายออกมา พูดอย่างเหยียดหยามว่า “เฮอะ ตอนที่ตัวข้าที่สู้อย่างเอาเป็นเอาตายบนสนามรบ ไม่รู้พวกเจ้าไปมุดหัวอยู่ในซอกหลืบไหน เหมือนเต่าหลบเข้ากระดองเสียกระไร ตอนนี้กลับจะมาขู่ข้า แล้วข้ายังจะกลัวเจ้าอีกหรือ”

 

 

เหล่านายทหารด้านหลังคล้อยตาม

 

 

เมื่อถูกพูดตบหน้าอีกครั้ง แต่ละคนก็ข่มกลั้นอารมณ์ไว้ไม่อยู่ จิงเหิงตะโกนอย่างโมโห “บุกเข้าไป ใครที่บังอาจขวางทาง ก็อย่าได้ปราณี”

 

 

เหล่าทหารจวนไม่กล้าลังเล จึงบุกเข้าไป พวกนายทหารแกว่งมีดตั้งรับ แล้วหน้าประตูโรงงานก็เปิดฉากสู้รบที่ชุลมุนยิ่งขึ้นทันที

 

 

แม้ว่าพวกทหารต่างบาดเจ็บ แต่พลังที่จะต่อสู้อย่างสุดชีวิตนั้นยังคงอยู่ มีดสะบัดเข้าออกอย่างคล่องแคล่ว ทำเอาเหล่าทหารจวนร้องโอดครวญเป็นแถว แต่เพราะร่างกายไม่ได้คล่องแคล่วมากนัก นายทหารบางคนก็ได้รับบาดเจ็บ

 

 

เปาชิงเหอพาทหารจากที่ทำการมาถึง สิ่งที่เห็นก็คือภาพเหตุการณ์ที่ชุลมุนวุ่นวายเช่นนี้ เขารีบตะโกนร้องเสียงดังด้วยความโกรธทันใด “หยุดเดี๋ยวนี้ ข้าบอกให้หยุดเดี๋ยวนี้ หากยังไม่หยุด ก็จงโดนลากเข้าตารางเสียทั้งหมด”

 

 

คนเหล่านี้ล้วนเป็นคุณชายของจวนเจ้าพระยาและจวนพระยา ต่อให้ไม่มีตำแหน่งทางหน้าที่การงาน ก็ยังมีศักดิ์ที่สูงกว่าข้าราชการทั่วไปไม่น้อย คงไม่ต้องพูดถึงข้าราชการผู้น้อยของเป่ยเฉิง แต่ละคนไม่ได้อยู่ในสายตาของพวกเขาแม้แต่น้อย เสียงตะโกนของเขาไม่มีประโยชน์เลยสักนิด ฝูงคนที่ต่อสู้อยู่ก็ไม่มีทีท่าว่าจะหยุด

 

 

เปาชิงเหอแผดเสียงตะโกนจนคอแหบคอแห้งก็ไม่มีใครฟัง ก็จนปัญญา จึงสั่งกับทหารคนหนึ่งว่า “เจ้าจงขี่ม้าเร็วไปค่ายทหาร นำเรื่องนี้ไปบอกให้ท่านแม่ทัพใหญ่ได้รู้”

 

 

ทหารรับคำสั่งพร้อมขี่ม้าเร็วตะบึงไปยังค่ายทหาร

 

 

เปาชิงเหอตะโกนร้องเสียงดังให้ทหารทั้งสองฝ่ายที่รบกันอย่างวุ่นวายนั้นแยกออกจากกันต่อไป

 

 

ทั้งสองฝ่ายต่างตีกันอย่างเดือดพล่าน โดยเฉพาะพวกนายทหารเหล่านั้น พวกเขารู้สึกราวกับได้กลับไปยังเหตุการณ์เข่นฆ่าบนสนามรบอีกครั้ง เลือดร้อนภายในใจค่อยๆ พลุกพล่านขึ้นมา เมื่ออารมณ์ฮึกเริมได้ที่แล้ว ไหนเลยจะหยุดได้

 

 

หากไม่มีคำสั่งของนาย ต่อให้เหล่าทหารของจวนเกิดความกลัวในใจเพราะต้องเผชิญกับนายทหารที่ไม่คิดชีวิตเหล่านี้ ก็ไม่กล้าหยุด

 

 

เปาชิงเหอร้อนรนจนเหงื่อท่วมศีรษะ ตะโกนเสียงดังไปยังกลุ่มคนด้านใน “แม่นางเมิ่ง เจ้าไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่”

 

 

เสียงที่เรียบนิ่งของเมิ่งเชี่ยนโยวดังออกมา “ข้าไม่เป็นไร ท่านใต้เท้าเปาถอยออกไปสักเล็กน้อยเถิด มิฉะนั้นจะบาดเจ็บเอาได้เจ้าค่ะ”

 

 

นางไม่เป็นไรก็ดีแล้ว เปาชิงเหอถอนหายใจโล่ง ไหนเลยจะสนใจว่าตนจะปลอดภัยหรือไม่ และยังคงตะโกนร้องให้ทหารแยกพวกคนเหล่านั้นออกจากกัน

 

 

แต่ไหนแต่ไรมา เมืองตอนเหนือไม่ได้รับความสำคัญอยู่แล้ว ทหารที่เกณฑ์มาก็ยังมากไม่เท่ากับผู้คนบนสงครามที่วุ่นวายนี้ และยังกลัวว่าตัวเองได้รับบาดเจ็บ พวกทหารจึงแค่ยืนอยู่นอกวง ทำท่าทีขู่ให้พวกเขาหยุด แต่ไม่ได้กล้าที่จะบุกเข้าไปแยกคนในนั้นออกจากกันจริงๆ

 

 

เมื่อฉู่เหวินเจี๋ยได้รับรายงานจากทหาร และควบม้ามากับบ่าวอีกจำนวนหนึ่งจนมาถึง ก็เห็นฉากที่อลหม่านตรงหน้า จึงตวาดเสียงดังด้วยโทสะ “หยุดเดี๋ยวนี้!”

 

 

อำนาจที่เขามีต่อบรรดาทหารที่บาดเจ็บนั้นยังคงเหลืออยู่ เมื่อได้ยินเสียงของเขา เหล่านายทหารที่พิการทั้งหมดก็หยุดลง แต่แน่นอนว่า ทหารของจวนต่างๆ ไม่ได้ฟังคำสั่งของเขา ยังคงกวาดแว่งอาวุธบนมือประจันหน้าเข้าไป อาวุธในมือของท่านแม่ทัพฉู่ลอยออกไป และตกอยู่หน้าของทหารจวนคนหนึ่งพอดี พวกเขาตื่นตระหนก และหยุดโดยพลัน

 

 

ฉู่เหวินเจี๋ยลงจากม้า เปาชิงเหอเดินมาตรงหน้าเขา พูดไปพลางโค้งคำนับ “ท่านแม่ทัพใหญ่ ท่านมาแล้วหรือ ไม่ว่าข้าน้อยจะห้ามปรามอย่างไร ก็ทำให้พวกเขาแยกออกจากกันไม่ได้เลย”

 

 

ฉู่เหวินเจี๋ยมองเขาแวบหนึ่ง ไม่ได้พูดอะไร เดินผ่านเขาไปด้วยสีหน้าที่สงบนิ่ง จนมาถึงตรงหน้าของเมิ่งเชี่ยนโยว ถามว่า “แม่นางเมิ่ง นี่มันเกิดอะไรขึ้น”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวตอบอย่างง่ายๆ ว่า “มีคนอยากจะทำลายโรงงานของข้า คนงานเหล่านี้ไม่ยินยอม จึงปะทะกับพวกเขาขึ้น”

 

 

ฉู่เหวินเจี๋ยหันตัวกลับ ถามอย่างเคร่งเครียดว่า “ผู้ใดกันที่คิดจะทำลายโรงงานนี้”

 

 

เมื่อพวกหลิวเหยี่ยนทั้งสี่คนเห็นเขา ก็มุดเข้าในฝูงคนก่อนแล้ว พอได้ยินเขาถาม ต่างก็ผลักคนนั้นที ดันคนนี้ที สุดท้ายเป็นหลิวเหยี่ยนที่ถูกดันออกมา จึงตอบกลับโดยที่ตัวสั่นระริก “เรียนท่านแม่ทัพใหญ่ พวกข้าพูดคำเหล่านั้นเป็นเพราะความโมโห จะพังโรงงานนี้จริงๆ ได้อย่างไร”

 

 

ฉู่เหวินเจี๋ยปรายตาประเมินเขา ถามว่า “เจ้าคือ…”

 

 

หลิ่วเหยี่ยนตอบกลับอย่างร้อนรน “ข้าคือหลิวเหยี่ยน เป็นคุณชายแห่งจวนพระยา”

 

 

ฉู่เหวินเจี๋ยพยักหน้าถาม “ไม่ทราบว่าเหตุใดคุณชายแห่งจวนพระยาถึงได้ระดมคนมาทำลายโรงงานอย่างเอิกเกริกเช่นนี้”

 

 

หลิ่วเหยี่ยนไม่ยอมรับ พูดว่า “ท่านแม่ทัพใหญ่เข้าใจผิดแล้ว พวกข้าแค่มาหาหวงฝู่อวี้ต่างหากเล่า แต่แม่นางผู้นี้ไม่ยอมให้พบ พวกข้าเกิดโทสะชั่ววูบ และพูดโต้เถียงออกไป มิได้จะถล่มโรงงานจริงๆ”

 

 

ฉู่เหวินเจี๋ยถามกลับอย่างเคร่งขรึม “เมื่อพูดเช่นนี้ แสดงว่านายทหารเหล่านี้ของข้าผิดอย่างนั้นสิ เพราะพวกเขาเข้าใจผิดอย่างนั้นหรือ”

 

 

หลิวเหยี่ยนยังไม่ตอบ นายทหารที่องอาจผู้นั้นเอ่ยปากรายงาน “ท่านแม่ทัพใหญ่ มิได้เป็นเช่นนั้นเลยขอรับ เพราะพวกเขาจะถล่มโรงงานนี้ให้ได้ พวกข้าถึงต้องออกมาป้องกันด้วยตัวเอง”

 

 

“หวังหู่!” ฉู่เหวินเจี๋ยตะโกนใส่เขา

 

 

หวังหู่ยืนตัวตรงตอบรับ “ข้าน้อยอยู่นี่ขอรับ!”

 

 

“ในกองทัพ หากพูดแทรกตามอำเภอใจะได้รับโทษอย่างไร”

 

 

“รายงานท่านแม่ทัพ โดนโบยสิบทีขอรับ!” หวังหู่ตอบด้วยเสียงดังกังวาน

 

 

“ตอนนี้เจ้าไม่ใช่ทหารในการดูแลของข้าแล้ว คิดว่าข้าจะไม่ลงโทษเจ้าอย่างนั้นหรือ”

 

 

“ข้าน้อยผิดไปแล้วขอรับ ท่านแม่ทัพได้โปรดลงโทษข้าด้วย!”

 

 

คนหนึ่งถามคนหนึ่งตอบ ผู้คนไม่เห็นว่าจะมีอะไร แต่เหงื่อบนร่างของพวกหลิวเหยี่ยนกลับไหลพลั่ก

 

 

ฉู่เหวินเจี๋ยกวาดตามองพวกเขาปราดหนึ่ง หลังจากนั้นตาก็หยุดอยู่ที่หลิวเหยี่ยน “คุณชายหลิว เรื่องวันนี้สร้างผลกระทบอย่างใหญ่หลวง ไม่ทราบว่าคุณชายหลิวต้องการยุติอย่างไร”

 

 

การตัดสินใจทำตอนนั้นเป็นเพราะว่าใช้อารมณ์ เมื่อตอนนี้ใจเย็นลงแล้ว หลิวเหยี่ยนก็มีแต่ความกลัว ในกลางวันแสกๆ เช่นนี้ ได้ใช้ทหารในจวนกว่าร้อยคนล้อมรอบโรงงาน ไม่อยากจะเชื่อเลย

 

 

ผ่านไปสักชั่วยาม ทั้งเมืองหลวงล้วนทราบเรื่องแล้ว และไม่แน่ว่าอีกไม่นานแม้แต่ฮ่องเต้ก็จะทราบด้วยเช่นกัน เมื่อถึงตอนนั้น…หลิวเหยี่ยนไม่อยากแม้แต่จะคิด ถามอย่างหวาดกลัว “ข้าผิดไปแล้ว ท่านแม่ทัพใหญ่ได้โปรดให้อภัยพวกข้าด้วยเถิด”

 

 

“ผิดตรงไหนเล่า” ฉู่เหวินเจี๋ยถามด้วยเสียงที่เย็นชา

 

 

“นี่…” แน่นอนว่าหลิวเหยี่ยนไม่ได้โง่เขลาเกินกว่าจะหลุดพูดออกมา

 

 

ฉู่เหวินเจี๋ยก็ไม่ได้คาดหวังว่าเขาจะตอบ ชี้ไปที่กลุ่มทหารของจวนที่ไม่ได้รับบาดเจ็บ และสั่งเปาชิงเหอ “รวบคนพวกนั้นไว้ให้ดี แล้วคุมตัวไปยังหน้าพระราชตำหนัก ข้าจะเข้าเฝ้าฝ่าบาท”

 

 

เปาชิงเหอรับคำอย่างยินดี

 

 

หลิวเหยี่ยน จิงเหิงพวกนั้นกลับตกใจไม่น้อย ทยอยกันเข้ามาอ้อนวอนขอความเมตตา “ท่านแม่ทัพ พูดคุยกันดีๆ ก็ได้ขอรับ พวกข้าสำนึกผิดแล้ว พวกข้ายอมรับผิด อยากจะโบยตี อยากจะลงโทษอันใดก็แล้วแต่ท่านจะจัดการเถิดขอรับ”

 

 

“ข้าเป็นนายพลทหารนายหนึ่ง มีหน้านำทหารไปออกรบ และคุ้มครองความปลอดภัยชาติบ้านเมือง สำหรับการกระทำของพวกเจ้า ข้าไม่มีอำนาจจัดการ ทำได้เพียงถวายความต่อหน้าพระพักตร์ฝ่าบาท ให้พระองค์ตัดสินพระทัย”

 

 

พูดจบ ก็ไม่ให้โอกาสคุณชายเหล่านั้นพูด หันตัวขึ้นหลังม้า สั่งเปาชิงเห่อ “ไป!”

 

 

เหล่าทหารรักษาจวนมองนายของตัวเอง

 

 

ทั้งสี่คนยืนหน้าเผือกซีดอยู่ที่เดิมไม่ขยับ

 

 

เสียงของฉู่เหวินเจี๋ยน่าเกรงขามแต่ไร้ซึ่งโทสะ “พวกท่านทั้งหลาย อยากจะให้ข้าเรียกคนมาช่วยเหลือพวกท่านหรือไม่”

 

 

ทั้งสี่คนตัวสั่นระริกเป็นแถว มองตากันและกัน แล้วขึ้นรถม้าอย่างหน้าม่อยคอตก ตามหลังฉู่เหวินเจี๋ยไป

 

 

พวกคุณชายล้วนยอมจำนนแต่โดยดี เหล่าทหารของจวนก็ไม่กล้าต่อต้าน ได้แต่ตามหลังม้าของพวกเขาอย่างเชื่อง ๆ พร้อมด้วยทหารเมืองตอนเหนือที่กดดันอยู่

 

 

เปาชิงเหอขี่ม้าไม่เป็น จึงได้แต่เดินตามหลังคนพวกนั้นอย่างจำใจ

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวส่งสายตาเป็นสัญญาณให้แก่เสี่ยวซือ

 

 

เสี่ยวซือตระหนักได้ จึงรีบเข้าไปในโรงงาน ขับรถม้าออกมา ตามเปาชิงเหอไป และพูดอย่างเคารพว่า “ใต้เท้า ขึ้นมาเถิดขอรับ”

 

 

เปาชิงเหอยินดียิ่ง ขึ้นไปนั่งบนรถม้า

 

 

พอคนเหล่านี้ออกจากตอนเหนือไป ก็ทำให้ผู้คนเกิดความสงสัยใคร่รู้ สั่งคนให้ไปสืบสาวมาว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่ ไม่นานเรื่องที่คุณชายแห่งจวนเจ้าพระยาและจวนพระยาทั้งสี่คนระดมทหารมาถล่มโรงงานของตอนเหนือ ก็แพร่ออกไป และกระจายทั่วเมืองหลวงอย่างรวดเร็วราวกับลมพัด และยังเข้าถึงหูของบ่าวรับใช้ในจวนฉีและหวัง จากนั้นหวงฝู่อี้ก็วิ่งไปยังเรือนของหวงฝู่อี้เซวียนอย่างรีบร้อน

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนเพิ่งจะอาบน้ำเสร็จหลังจากที่ทำธุระข้างนอกเรียบร้อยและกลับถึงจวนแล้ว

 

 

หวงฝู่อี้รายงานว่า “ซื่อจื่อ ดูเหมือนว่าโรงงานของแม่นางเมิ่งจะเกิดเรื่องขึ้นแล้วขอรับ”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนหันตัวควับ ถามอย่างร้อนรน “เกิดเรื่องอันใดขึ้นหรือ”

 

 

“ข้าก็มิทราบแน่ชัด ดูเหมือนว่า เพื่อนสนิทสองสามสี่คนของคุณชายรองไปหาเขาที่โรงงาน แต่แม่นางเมิ่งไม่ยอมให้เข้าพบ คุณชายพวกนั้นจึงบันดาลโทสะ และเรียกทหารอารักขาของจวนของแต่ละคนไปทำลายโรงงานขอรับ”

 

 

“แล้วอย่างไรต่อ”

 

 

“หลังจากนั้นก็ไม่ทราบแล้ว รู้แต่เพียงทั้งสองฝั่งเกิดการสู้รบอย่างโกลาหล แต่ละฝ่ายมีคนบาดเจ็บและตาย หลังจากนั้น ท่านแม่ทัพใหญ่ก็มาถึง แล้วห้ามปรามพวกเขา อีกทั้งให้ทหารของเมืองตอนเหนือคุมตัวทุกคนรวมถึงคุณชายเหล่านั้นไปเข้าพบฝ่าบาท”

 

 

ขณะที่พูดนั้น หวงฝู่อี้เซวียนได้สวมใส่เสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว แต่ผมเผ้ายังเปียกอยู่ แล้วเดินไปข้างนอกพลางสั่งหวงฝู่อี้ “นำเรื่องนี้ไปบอกให้เสด็จพ่อทราบ เชิญท่านให้ไปที่พระราชตำหนักก่อน แล้วบอกท่านว่า ข้าจะตามไปถึงในอีกไม่ช้า วันนี้ต้องทำเรื่องนี้ให้เป็นเรื่องใหญ่ให้ได้ พวกเขาทุกคนจะได้รู้ว่า เบื้องหลังของโรงงานมีใครหนุนหลังอยู่ และอีกอย่าง เราปล่อยพวกเขาไปอย่างง่ายๆ ไม่ได้ มิเช่นนั้นภายภาคหน้าจะต้องเกิดความวินาศอีกมหาศาล”

 

 

หวงฝู่อี้รับคำ ไปยังเรือนของอ๋องฉี

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนมายังคอกม้าด้วยตัวเอง ลากม้าดีตัวหนึ่งออกมาและควบไปตอนเหนืออย่างรวดเร็ว

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวได้สั่งให้คนทำความสะอาดหน้าประตูโรงงานแล้ว เหล่าทหารที่ได้รับบาดเจ็บก็ถูกพยุงเข้าไปข้างในโรงงานแล้วเช่นกัน

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนลงจากม้า ทิ้งเชือกบังเ**ยน แล้วเดินก้าวยาวเข้าไปในโรงงาน เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวกำลังตรวจดูอาการบาดเจ็บของนายทหารอยู่ จึงรีบถาม “โยวเอ๋อร์ เจ้าไม่เป็นไรใช่หรือไม่”

 

 

 

 

[1] ตำหนักจิงหลวน เป็นท้องพระโรงสำหรับฮ่องเต้ในการเสด็จออกว่าราชการ