ตอนที่ 39 ศิษย์มีสติรู้แจ้งกระจ่างชัด (1) โดย Ink Stone_Fantasy
“มีกึ๋นนี่!”
เมื่อเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพโดยรอบ หลิวเสี่ยนเองก็ไม่ได้ใจแคบและเมินเฉยเสียจนไม่เอ่ยปากชม ทว่าเขาก็ยังรู้สึกเกียจคร้านเกินจะเปิดเปลือกตา
อึดใจถัดมา สายฟ้าสีน้ำเงินอมม่วงรูปร่างคล้ายงูก็คำรามลั่น ทว่าก่อนที่มันจะเข้าถึงตัวหลิวเสี่ยนในระยะห้าวา มันก็มลายหายไปไม่ได้ยินแม้เสียงคำรามอีก
ในตอนนั้นเอง รองเจ้าสำนักภูมิปัญญาเย่ชูเฉินที่ดูศึกครั้งนี้อยู่ไกลๆ ก็อ้าปากค้างอย่างไม่รู้ตัว
แม้สายฟ้าสีน้ำเงินอมม่วงที่หวังลู่ควบคุมนั้นจะไม่ใช่สายฟ้าจากด่านเคราะห์สวรรค์ แต่พลังของมันก็มิอาจประมาทได้! หวังลู่เป็นเพียงผู้บำเพ็ญเซียนตบะขั้นฝึกปราณ ดังนั้นสายฟ้านี้จึงไม่ได้มาจากพลังอิทธิฤทธิ์ของเด็กหนุ่มโดยตรง แต่มาจากการรวบรวมพลังปราณฟ้าดินที่อยู่ตามแนวเส้นฮวงจุ้ยในพื้นที่หลายสิบลี้รอบๆ ‘เมืองใหม่’ ที่เชื่อมต่อกับแท่นบูชาเบื้องล่างเขาที่จู่ๆ ก็พลุ่งขึ้น
พลังของสายฟ้าสีน้ำเงินอมม่วงนั้นแข็งแกร่งพอจะผลาญเย่ชูเฉินให้เป็นเถ้าได้ถึงสิบครั้ง เมื่อต้องเผชิญกับสายฟ้าเช่นนั้น ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นพิสุทธิ์ก็บอบบางไม่ต่างอะไรกับมนุษย์ปุถุชน ตามการคาดเดาของเย่ชูเฉิน จากความแรงของสายฟ้าและจากการที่หวังลู่ปล่อยสายฟ้านี้ใส่ฝ่ายตรงข้ามแบบไม่ให้ซุ่มให้เสียง ต่อให้อีกฝ่ายเป็นผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่ ก็น่าจะสร้างความงงงวยให้ไม่น้อย
ทว่าสิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ หลิวเสี่ยนไม่ได้ยกนิ้วขึ้นมาเพื่อปัดสิ่งนี้ออกไปด้วยซ้ำ เขาเพียงหายใจเอาพลังปราณฟ้าดินเข้าออกตามปกติ สายฟ้าดังกล่าวก็มลายหายไปแล้ว
กระบวนการหายใจเอาพลังปราณฟ้าดินเข้าและออกของผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่นั้นเกินกว่าที่ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นพิสุทธิ์จะจินตนาการได้ ยามที่ผู้บำเพ็ญเซียนบรรลุถึงขั้นกำเนิดใหม่ ผู้บำเพ็ญเซียนไม่จำเป็นต้องหายใจเอาพลังปราณฟ้าดินเข้าร่างมากนัก เพราะวิหารหยกของพวกเขาสามารถผลิตพลังอิทธิฤทธิ์ได้เองอย่างไม่รู้จบ สิ่งที่ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่ใส่ใจยิ่งกว่าก็คือคุณภาพของพลังปราณฟ้าดิน ที่เน้นไปที่พลังที่เหมาะสมเพื่อควบคุมพลังปราณฟ้าดินได้อย่างดีเยี่ยม สำหรับหลิวเสี่ยน พื้นที่ในระยะยี่สิบลี้รอบตัวคือสนามพลังที่อยู่ภายใต้การควบคุมของเขา แม้ว่าสายฟ้าสีน้ำเงินอมม่วงจะทรงพลัง แต่มันก็เป็นเพียงเล่ห์เหลี่ยมราคาถูกที่ไม่มีแม้พลังวิญญาณขั้นปฐมของหวังลู่อยู่ ซึ่งสำหรับหลิวเสี่ยนแล้วสิ่งนี้ก็ไม่ต่างจากพลังปราณฟ้าดินไร้เจ้าของที่สลายลงได้ง่ายๆ ด้วยการหายใจเพียงครั้งเดียวของเขา
ทว่าหลิวเสี่ยนก็รู้สึกชื่นชมหวังลู่อยู่ในใจที่กล้าชิงความได้เปรียบด้วยการสำแดงความแข็งแกร่งออกมา ความต้องการที่จะสวนกลับฝ่ายตรงข้ามทั้งที่ตัวเองเสียเปรียบหรือในตอนที่เข้าตาจนไม่เพียงสะท้อนให้เห็นความกล้าหาญของคนผู้นั้น แต่บ่อยครั้งมันคือกุญแจสำคัญในการเอาชนะศัตรูที่เหนือกว่าได้
เจ้าเด็กคนนี้โหดเหี้ยมโดยเนื้อแท้ หนำซ้ำแม้สายฟ้าสีน้ำเงินอมม่วงจะไม่เป็นอันตรายต่อหลิวเสี่ยน แต่ก็พูดได้ว่ามันคือปาฏิหาริย์ที่ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นฝึกปราณสามารถเรียกและควบคุมสายฟ้าที่ทรงพลังเช่นนี้ได้ ต่อให้เจ้าสิ่งนี้เกิดจากพลังของ ‘เมืองใหม่’ ก็ตาม!
หลังจากที่สายฟ้ามลายไป หลิวเสี่ยนยังไม่เคลื่อนไหวในทันที แต่กลับมองหวังลู่ด้วยสายตาชื่นชม
ทว่าครั้งนี้เป็นหวังลู่เองที่เมินเฉยกับสายตาที่ได้รับ เมื่อกระบวนท่าแรกไม่เป็นผล เขาก็เตรียมพร้อมกระบวนท่าถัดไปในทันที ครั้งนี้มันใหญ่กว่าครั้งก่อนหน้าเสียอีก นิ้วทั้งสิบนิ้วของหวังลู่ชี้ตรงไปยังแท่นบูชาที่ตั้งอยู่บนเสาสิบต้น และเริ่มเคลื่อนไหวไปมา เสาทั้งสิบต้นนี้คือกระดูกสันหลังของ ‘เมืองใหม่’ ทั้งเมือง ด้วยการควบคุมของหวังลู่ เสาทั้งสิบบังคับให้สิ่งก่อสร้างทั้งหมดที่อยู่ด้านบนเปลี่ยนตำแหน่งพร้อมเสียงที่ดังสนั่นหวั่นไหว ค่ายกลรวมวิญญาณและค่ายกลแปรรูปถูกจัดเรียงใหม่ในตำแหน่งที่เหมาะสมจนกลายเป็นภาพวาดที่สวยงาม
ในขณะนั้นเอง ท้องฟ้าดำทะมึนที่ทำให้เกิดสายฟ้าสีน้ำเงินอมม่วงก็พลันสว่างขึ้น ไม่ใช่ว่าความมืดดำนั้นสลายไป แต่มันกลับสว่างไสวเพราะดวงดาวนับไม่ถ้วน จนราวกับเป็นทางช้างเผือกเลยทีเดียว!
เย่ชูเฉินที่สังเกตการณ์อยู่ไกลๆ ถึงกับตกตะลึงเพราะที่เห็นนั่นคือวิชารวบรวมดาราของเขาเอง … ด้วยการควบคุมของหวังลู่และพลังจากเมืองใหม่รวมทั้งพลังปราณฟ้าดินตามแนวเส้นฮวงจุ้ย มันจึงรวมตัวกันกลายเป็นดาราจักรอย่างไม่นึกฝัน!
อึดใจถัดมา ดาราจักรดังกล่าวก็ร่วงลงมา ดวงดาวนับร้อยนับพันตกลงมาราวฝนดาวตกพราวพร่างตามจังหวะการเคลื่อนมือของหวังลู่ ทั้งหมดพุ่งตรงมายังหลิวเสี่ยน
หลิวเสี่ยนยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย
อานุภาพของฝนดาวตกที่เกิดจากวิชารวบรวมดาราจักรนี้อาจไม่ทรงพลังเท่าสายฟ้าสีน้ำเงินอมม่วงก่อนหน้า แต่แน่นอนว่าย่อมต้องใช้ทักษะมากกว่า แม้จะได้รับพลังจากค่ายกล แต่ย่อมเป็นไปไม่ได้แม้แต่น้อยที่ผู้บำเพ็ญเซียนตบะขั้นฝึกปราณธรรมดาๆ จะสามารถควบคุมฉากที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ได้
แน่ละว่าไม่ควรจะเทียบศิษย์จากสำนักกระบี่วิญญาณกับผู้ฝึกเซียนทั่วไป ทว่าก็ไม่ใช่เรื่องง่ายสักนิดสำหรับหวังลู่ที่ฝึกวิชาไร้ลักษณ์ ซึ่งรู้กันว่ามีพลังโจมตีที่อ่อนด้อย ที่จะสร้างฉากตรงหน้าขึ้นมาได้…แต่ดูเหมือนว่างานชิ้นนี้จะเป็นสิ่งที่เขาตั้งอกตั้งใจทำขึ้นมาเป็นอย่างดี
โชคร้ายที่ถึงแม้ฉากตรงหน้าซึ่งหวังลู่ลงทุนลงแรงอย่างหนักจะเลิศเลอเพียงใดก็ตาม แต่มันก็ไม่ส่งผลอะไรเลยสักนิด หลิวเสี่ยนยังคงไม่ต้องขยับนิ้ว เขาเพียงแค่ใช้การหายใจของตบะขั้นกำเนิดใหม่ละลายดาราจักรที่อยู่บนท้องฟ้ามืดทึมนั่นก็เท่านั้น
หลังจากนั้น หลิวเสี่ยนก็ขยับตัว
“เอาล่ะ ข้าดูมามากพอแล้ว รับกระบี่นี่ไปได้แล้ว”
อึดใจถัดมา กระบี่ที่มองไม่เห็นก็เจาะทะลุเกราะป้องกันนับสิบชั้นที่หวังลู่เตรียมพร้อมมาอย่างดี และพุ่งตรงไปยังหน้าผากของหวังลู่
มันคือกระบี่แห่งสัจจะของหลิวเสี่ยน
แก่นของกระบี่แห่งสัจจะคือพลังวิญญาณขั้นปฐม มันต้องใช้พลังวิญญาณขั้นปฐมของหลิวเสี่ยนในการทำงาน และไม่ต้องใช้พลังอิทธิฤทธิ์แม้แต่น้อย ทำให้เคลื่อนที่ได้อย่าง ‘เงียบเชียบ’ เมื่อเทียบกับสายฟ้าสีน้ำเงินอมม่วงของหวังลู่แล้ว กระบี่แห่งสัจจะนั้นไม่อาจตั้งรับได้ แม้หวังลู่และผู้อาวุโสของสำนักภูมิปัญญาจะเค้นสมองกันแทบตาย แต่ก็มิอาจหยั่งรู้กลยุทธ์ของผู้บำเพ็ญเซียนตบะขั้นกำเนิดใหม่ได้ ดังนั้นการตั้งรับที่พวกเขาตระเตรียมกันมาจึงล้มเหลวตั้งแต่กระบวนท่าแรกของหลิวเสี่ยน
กระบี่แห่งสัจจะบรรจุจิตเซียนเร้นลับของหลิวเสี่ยนไว้ด้วย แม้จะเพียงนิดเดียว แต่สำหรับหวังลู่แล้ว สิ่งนี้ไม่ต่างจากแม่น้ำแยงซี การเคลื่อนไหวของมันรุนแรงเกินจะทัดทาน หวังลู่รู้สึกเพียงว่าพลังวิญญาณขั้นปฐมของเขาสั่นสะท้านและจากนั้นก็ถูกกระบี่แห่งสัจจะดูดกลืนเข้าไป การรับรู้ของพลังวิญญาณขั้นปฐมของเขาถูกตัดขาด ทำให้ประสาทสัมผัสไม่ทำงานได้และทุกอย่างก็พลันมืดสนิทไป
ตู้ม!
ในตอนนั้นเอง หวังลู่ก็ได้ยินเสียงโครมดังลั่นปลุกให้ตื่นจากความมืดมิด เขาลืมตาขึ้นมาและพบว่าเสาหนึ่งในสิบต้นแตกละเอียดเป็นชิ้นๆ ทำให้มุมหนึ่งของ ‘เมืองใหม่’ พังลงไป ผลก็คือ ค่ายกลระดับเก้ามากกว่าสามสิบค่ายกลหายวับไปจากพื้น สิ่งนี้กระตุ้นให้เสียงเตือนมายาที่ใต้ฐานของเขาทำงาน ทำให้เกิดเสียงดังลั่นจนพลังวิญญาณขั้นปฐมของเขารับรู้ได้
แม้จะเป็นการสูญเสียที่เจ็บปวด แต่มันก็ช่วยปลุกพลังวิญญาณขั้นปฐมของหวังลู่ขึ้นมาได้ครู่หนึ่ง ทว่าเวลาเพียงชั่วครู่นี้ก็เพียงพอให้หวังลู่ได้ตอบโต้ นิ้วโป้งและนิ้วกลางของมือขวาสัมผัสกันเบาๆ ทันใดนั้นจิตเซียนไร้ลักษณ์ในตัวก็ตอบสนองขึ้นทันทีราวกับเป็นเครื่องจักร เสาทั้งเก้าส่งเสียงดังและเริ่มขยับ สิ่งก่อสร้างทั้งหมดในเมืองใหม่ดูราวกับถูกหุ้มไว้ด้วยแสงสีเขียวมรกต
“ดี!”
สูงขึ้นไปบนฟ้า หลิวเสี่ยนอดที่จะเอ่ยปากชมไม่ได้ แม้ค่ายกลที่หวังลู่ตระเตรียมไว้ไม่ใช้ของระดับสูง แต่ค่ายกลนับร้อยก็สอดประสานเชื่อมต่อกันอย่างดี สะท้อนให้เห็นถึงทักษะพื้นฐานที่เยี่ยมยอดของอีกฝ่าย แค่จุดนี้จุดเดียว ก็มีศิษย์ที่ออกเดินทางสั่งสมประสบการณ์ในครั้งนี้เพียงไม่กี่คนที่จะเทียบเขาได้ แถมศิษย์เหล่านั้นยังร่ำเรียนด้านการตั้งค่ายกลมาโดยเฉพาะ หนำซ้ำยังไม่มีใครร่างแบบและใช้เวลาได้แม่นยำเท่าหวังลู่เลย
เสียงเตือนมายาถูกตระเตรียมมาอย่างดีล่วงหน้า ตราบใดที่หวังลู่ไม่เต็มใจจะเข้าสู่สภาวะจิตว่างด้วยตัวเอง มันก็จะยังทำงานต่อไป เห็นได้ชัดว่าเขารู้ตัวดีว่าไม่อาจหยุดยั้งกระบี่แห่งสัจจะที่แหลมคมได้… เจ้าเด็กนี่รู้ข้อจำกัดของตัวเองดีจริงๆ!
ชั้นแสงที่โอบล้อมผิวหน้าของเมืองใหม่อยู่นั้นคือแสงแห่งความตื่นรู้ซึ่งช่วยกระตุ้นสติให้ตื่น หวังลู่อาบแสงนี้เพื่อไม่ให้สูญเสียจิตสำนักจนกระบี่แห่งสัจจะเข้ามาตรวจสอบได้ การตั้งรับในครั้งนี้เป็นเรื่องสมควรแล้ว และที่วิเศษไปกว่าคือเขากระตุ้นการใช้งานมันด้วยสัญญาณเพียงครั้งเดียว สำหรับศิษย์ตบะขั้นฝึกปราณระดับหก นี่ถือว่ายอดเยี่ยมมากจริงๆ
ถึงจุดนี้ หลิวเสี่ยนจะมองทะลุแผนการณ์ของหวังลู่ไม่ออกได้อย่างไร
การเตรียมการในสามวันนี้คือการแสดงให้หลิวเสี่ยนเห็นว่าสำนักภูมิปัญญามีการจัดการการระดมพลที่น่าทึ่ง แล้วสำนักภูมิปัญญาที่มีการจัดการอย่างเป็นระบบระเบียบจะเป็นลัทธิได้อย่างไร แม้จะมีผู้คนจำนวนไม่น้อยที่ใช้วิชาโลหิตเพลิงโหมนภาในการก่อสร้างเมืองใหม่ ซึ่งทำให้ทั้งหุบเขาเต็มไปด้วยรอยเลือด แต่จิตวิญญาณที่มุ่งมั่นของพวกเขาก็แสดงให้เห็นถึงความแตกต่างระหว่างสำนักภูมิปัญญากับลัทธิอื่นๆ ได้อย่างแจ่มแจ้ง
และเมื่อหวังลู่เผยตัวออกมาเบื้องหน้า ทั้งยังเรียกสายฟ้าและห่าดาวตกออกมา ทั้งหมดนั้นไม่ได้มุ่งหวังจะเขย่าขวัญผู้อาวุโสตบะขั้นกำเนิดใหม่ แต่เพื่ออวดอ้างความสามารถในการควบคุมเวลาและการจัดแจงสิ่งต่างๆ ที่ดีเลิศของเขาต่างหาก นี่เป็นทักษะที่มิอาจปรากฏให้เห็นได้จากการบำเพ็ญเซียน ทว่าจำเป็นอย่างยิ่งยวดในการต่อสู้
ความตั้งใจของหวังลู่ในการโอ้อวดทักษะเหล่านี้ก็เพื่อให้หลิวเสี่ยนได้เห็นผลของการเรียนรู้สั่งสมประสบการณ์ตลอดแปดเดือนของเขา หลิวเสี่ยนยังยอมรับอีกว่า หากมองในมุมนี้เพียงอย่างเดียว หวังลู่คือหนึ่งในศิษย์แถวหน้า อย่างน้อยเขาก็ไม่ได้ถูกทรัพย์สินเงินทองล่อลวงจนหลงมัวเมาไปกับสิ่งเสื่อมโทรม
นี่คือข้อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของหวังลู่!
“ไม่เลวเลยจริงๆ” หลิวเสี่ยนถอนหายใจเบาๆ จากนั้นเขาก็จำได้ว่าเมื่อสามวันก่อนในห้องรับรองของโรงเตี๊ยม หวังลู่ตั้งใจยั่วยุให้เขาโกรธ ทว่าในตอนนี้ความโกรธทั้งหลายได้มลายไปเกือบสิ้นแล้ว ผู้อาวุโสฝ่ายสินรางวัลอย่างเขามักให้ความเป็นธรรมกับศิษย์ที่โดดเด่นเสมอ แม้เด็กคนนี้จะโอหังแต่ก็มีความสามารถมาช่วยเสริม ทว่า…เหนือฟ้ายังมีฟ้า แน่นอนว่าย่อมมีคนที่ดียิ่งกว่า ดังนั้นในฐานะศิษย์ผู้สืบทอดของสำนักกระบี่วิญญาณ การก้าวมาถึงจุดนี้ได้ยังถือว่าดีไม่พอ หนำซ้ำเมื่อเทียบกับศิษย์ผู้สืบทอดอีกสองคนแล้ว ยิ่งถือว่าไม่เอาไหน
นี่ยังไม่รวมว่าการทดสอบของกระบี่แห่งสัจจะเพิ่งเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น เมื่อครู่สิ่งที่ทำให้หวังลู่หมดสติไป เป็นเพียงปลอกของกระบี่แห่งสัจจะ แก่นที่แท้จริงซึ่งก็คือพลังของจิตเซียนเร้นลับยังคงถูกซ่อนไว้ภายใน!
ภายใต้แสงแห่งการตื่นรู้นี้ หวังลู่กำลังเผชิญหน้ากับพลังของกระบี่แห่งสัจจะอยู่!
ตอนนี้หวังลู่กำลังตกสู่ภวังค์อีกครั้ง เมืองใหม่และหุบเขาเบื้องหน้าค่อยๆ สลายไปราวกับหมอกควัน มีสนามรบที่เต็มไปด้วยภูเขาซากศพและทะเลเลือดเข้ามาแทนที่ หวังลู่ยืนอยู่บนกองกระดูกของผู้คนจำนวนนับไม่ถ้วน สายลมเย็นเยียบรอบตัวพัดพาเอาเสียงร้องไห้คร่ำครวญของเหล่าภูตผีวิญญาณเข้ามาในโสตประสาท
ไม่จำเป็นต้องเสียเวลาคิดหวังลู่ก็รู้ในทันทีว่านี่คือภาพลวงตาที่กระบี่แห่งสัจจะสร้างขึ้น การทดสอบที่แท้จริงกำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว ทว่าภายใต้การไต่ถามของกระบี่แห่งสัจจะ ความเป็นไปได้ที่เขาจะผ่านการทดสอบมีไม่มากนัก
พูดตามตรง การแสดงก่อนหน้านี้พิสูจน์ให้เห็นความแข็งแกร่งของเขาไปแล้ว ดังนั้นตอนนี้ต่อให้เขายอมแพ้ ขอร้องให้กระบี่แห่งความจริงถอนคมของมันออก ก็ไม่ส่งผลอะไรต่อเขาอยู่ดี การทดสอบครั้งนี้เป็นไปไม่ได้ที่จะชนะ ดังนั้นจึงไม่ผิดบาปอะไรที่เขาจะไม่อาจเอาชนะมันได้ แถมท่านลุงหลิวเสี่ยนยังชมชอบศิษย์ที่มีพรสวรรค์ ดังนั้นมากสุดท่านลุงก็คงแค่ดุด่าเขาก็เท่านั้น… ทว่าแผนการของหวังลู่จะเรียบง่ายเช่นนั้นได้อย่างไร
เข้ามาเลย กระบี่แห่งสัจจะ!
ภายใต้เสียงกรีดร้องของสายลมเย็นเยียบ ภูเขาซากศพที่อยู่ด้านล่างเขาก็เริ่มสั่นไหว เหล่าซากศพเริ่มเคลื่อนไหวเจาะทะลวงผ่านกองเลือดและกระดูกเหล่านั้นขึ้นมา พวกมันโผล่ออกมาจากกองภูเขากระดูกที่มีอยู่มากมาย และค่อยๆ เข้าใกล้หวังลู่ที่ยืนอยู่บนหนึ่งในภูเขาซากศพขึ้นเรื่อยๆ
ฉากที่น่าสยดสยองที่ฉายเข้ามาในพลังวิญญาณขั้นปฐมของคนคนหนึ่งโดยตรงก็เพียงพอที่จะทำให้วิญญาณของผู้บำเพ็ญเซียนที่อ่อนแอผู้นั้นหลุดออกจากร่างได้ ทว่าหวังลู่กลับไม่มีท่าทีหวาดกลัวแม้เพียงน้อยนิด มุมปากของเขาเหยียดขึ้น ยกแขนสองข้างขึ้นมากอดอก รอคอยให้เหล่าซากศพพวกนั้นเคลื่อนตัวมาหาอย่างช้าๆ
ผ่านไปอึดใจใหญ่ ซากศพหลายซากที่อยู่ใกล้สุดก็เข้ามาถึงตัวหวังลู่ ขณะที่เนื้อหนังเน่าเฟะและกระดูกของพวกมันสั่นระริก ซากศพเหล่านี้ก็เอ่ยคำพูดอู้อี้ออกมาจากปาก
“เจ้า…สำนัก…”
“หวัง…ลู่…”
หวังลู่ฮึดฮัด จากนั้นก็กล่าวคำพูดออกมาพร้อมเหยียดยิ้ม “อย่ามัวทำตัวมีเงื่อนงำหน่อยเลย ข้ารู้ว่าพวกเจ้าอยากพูดอะไร พวกเจ้าตายเพราะสำนักภูมิปัญญา เลยอยากให้ข้าชดใช้ด้วยชีวิตใช่ไหมเล่า”
ทันทีที่พูดจบ รอยยิ้มของเขาก็จางไป ใบหน้ากลับเคร่งเครียดขึ้น “ชดใช้มารดาเจ้าน่ะสิ! ไสหัวไป!”
……………………………………………