บทที่ 609 แผนการ

บัลลังก์พญาหงส์

คิดไม่ถึงว่าสิ่งที่มาก่อนคือการแต่งตั้งองค์รัชทายาท และญาติสายนอกของตระกูลหวังคนหนึ่งถูกกวาดล้าง และเจิ้นกั๋วโหวแบกรับความผิดคุกเข่าอยู่หน้าประตูวังด้วยตนเอง ขอร้องเข้าเฝ้า

 

 

แม้แต่ฮองเฮาก็สละชุดตำแหน่งและปิ่นออก สวมชุดสีขาวนั่งคุกเข่าอยู่ด้านนอกตำหนักของฮ่องเต้สำนึกตน

 

 

การกระทำของตระกูลหวัง ไม่มีอะไรนอกเหนือไปจากเรื่อง ‘โรงคุ้มกันหลิงเฟิง’ เท่านั้นเอง

 

 

ฟังต้นสายปลายเหตุแล้วนั้น ถาวจวินหลันก็เบนหน้าไปมองหลี่เย่ พอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมหลี่เย่ถึงพูดเช่นนั้น หลี่เย่พูดว่าฮองเฮาไม่มีทางถูกกำจัดได้ง่ายเพียงเพราะการกระทำของตระกูลหวัง และเข้าแผนการเล็กน้อยของถาวจวินหลัน

 

 

เป็นไปอย่างที่คาดไว้ วิธีนี้ไม่ใช่ว่าแสดงความคิดของฮองเฮาออกมาอย่างนั้นหรือ? ไม่จัดการกวาดตระกูลหวังทั้งหมด เพียงผลักหุ่นเชิดออกมารับโทษ และในขณะเดียวกันสายเลือดแท้ของตระกูลหวังก็ใช้ความผิดที่ว่าดูแลไม่เข้มงวด ทำให้ญาติฝ่ายนอกลำพองใจทำตามใจชอบออกมาเพื่อรับโทษ แม้แต่ฮองเฮาก็ออกโรงด้วยตนเอง

 

 

พอเป็นเช่นนี้ก็กลายเป็นว่าไม่อาจไล่บี้หาความกับฮองเฮาและตระกูลหวังได้อีก ต่อให้จัดการกับตระกูลหวังจริงก็เป็นแค่บทลงโทษเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้นเอง ถ้าจะบอกว่ารุนแรงถึงถอนรากถอนโคลน ก็เห็นว่าจะเป็นไปไม่ได้

 

 

และฮองเฮาก็เพียงแค่เสียหน้าเล็กน้อยเท่านั้น แต่ถาวจวินหลันรู้สึกว่าบางทีฮองเฮาเป็นเช่นนี้ไม่เพียงไม่เสียหน้า แต่กลับทำให้คนอื่นยิ่งสงสารมากกว่า อย่างไรฮองเฮาก็เพิ่งสูญเสียองค์รัชทายาทฮุ่ยเต๋อที่เป็นสายเลือดตรงเพียงหนึ่งเดียวไป ในตอนนี้ก็ยังต้องตกอยู่ในสภาพนี้ ถ้าไม่ใช่สงสารแล้วจะเป็นอะไรอย่างอื่นได้

 

 

หลี่เย่ยิ้มบางๆ ท่าทีเรียบนิ่ง “ข้าเดาว่าไม่แน่ตระกูลหวังอาจจะเป็นคนที่ฟ้องเรื่องนี้เอง เสด็จพ่อแม้จะสืบพบปัญหาของโรงคุ้มกันหลิงเฟิงได้แล้ว แต่ก็ไม่เห็นว่าจะสาวมาถึงตระกูลหวัง”

 

 

ถาวจวินหลันครุ่นคิดอย่างละเอียด คิดว่ามีความเป็นไปได้ จากนั้นก็อดถอดทอนใจไม่ได้ วิธีนี้ของฮองเฮาถือว่าทำได้ดีเป็นอย่างมาก

 

 

ด้วยเพราะนางยินดีที่จะเดิมพัน ถาวจวินหลันจึงเอ่ยถามสิ่งที่หลี่เย่ต้องการ “ท่านพูดมาเถิดเพคะ อยากให้ข้าทำอะไร?”

 

 

หลี่เย่ดวงตาเป็นประกาย จากนั้นก็กระซิบข้างหูถาวจวินหลันสองสามประโยค ทันใดนั้นถาวจวินหลันก็หน้าแดง ตีหลี่เย่เบาๆ อย่างเขินอาย ไม่กล้ามองหน้าเขา เพียงแค่พูดเง้างอดว่า “ท่านช่างลามกนัก!”

 

 

หลี่เย่ลูบคางตนเองไปมา ถามถาวจวินหลันกลับว่า “หรือว่าข้ากับภรรยาของข้าจะใกล้ชิดกันไม่ได้เลยหรือ? ภารกิจสามีภรรยา นี่ไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้องตามทำนองคลองธรรมอย่างนั้นหรือ?”

 

 

 

 

หลี่เย่ถามอย่างเคร่งขรึมเอาจริง แต่ถาวจวินหลันกลับยิ่งเขินอายจนพูดไม่ออก เพียงแค่ใช้สายตาถลึงมองเขาเท่านั้น

 

 

แต่หลี่เย่ยังคงหยอกล้ออย่างสนุก บี้ให้นางตอบกลับมา “เจ้ายังไม่ได้บอกเหตุผลเลย ข้าพูดถูกหรือไม่?”

 

 

สุดท้ายแล้วถาวจวินหลันก็รีบเปลี่ยนเรื่องอย่างหัวซุกหัวซุน “ใกล้จะต้องทำของว่างแล้ว ข้าจะไปดูห้องครัวเล็กเสียหน่อย อีกครู่หนึ่งกั่วเจี๋ยเอ๋อร์จะมาทำความเคารพท่าน จะต้องทำสิ่งที่นางชอบทานสักสองอย่างเพคะ”

 

 

หลี่เย่ถึงได้ยอมปล่อยไป แต่ก็ยังลุกขึ้นเดินตามไปอย่างคนว่าง “ข้าก็จะไปดูด้วย” ระหว่างทางเขาก็ถามถาวจวินหลันอีกครั้ง “แต่เดิมเจ้าอยากให้ข้าทำอะไร?”

 

 

ถาวจวินหลันมองไปยังหลี่เย่ทีหนึ่ง พูดเสียงต่ำว่า “ในเมื่อแพ้แล้ว ข้าพูดไปก็ไร้ความหมาย รอครั้งหน้าข้าชนะแล้วค่อยพูดเถิดเพคะ” นางเข้าใจนิสัยของหลี่เย่ ในเมื่อนางไม่ชนะ พูดไปแล้วเขาก็จะต้องรับปากนางเป็นแน่ แต่เช่นนั้นก็ไม่มีประโยชน์มิใช่เหรอ? อีกทั้งนี่ก็มีความหมายหยอกเย้าแฝงอยู่มากแล้ว ไฉนเลยจะเอามาถือเป็นเรื่องจริงได้?

 

 

พอออกมาจากห้องครัว หลี่เย่ก็เสนอให้ไปเดินเล่นในสวน

 

 

ถาวจวินหลันแปลกใจ “ท่านยังมีอารมณ์เดินเล่นอีกหรือ”

 

 

หลี่เย่หัวเราะ “คิดว่าต่อจากนี้ไปคงไม่มีโอกาสได้มาเดินเล่นในสวนดีๆ อีกแล้ว จึงฉวยโอกาสตอนที่ยังไม่ได้ย้ายออกไป จะต้องดูให้ดี” พูดตามจริงแล้ว หลังจากอาศัยมานานหลายปี เขายังไม่เคยได้เดินเล่นสวนนี้อย่างจริงจังเสียที อย่างน้อยก็ไม่กล้าพูดว่าเคยเดินทุกพื้นที่ของจวนนี้แล้ว

 

 

ถาวจวินหลันเข้าใจความหมายแฝงในคำพูดของเขา ก็อดหัวเราะไม่ได้ “ท่านมั่นใจเหลือเกินนะเพคะ แต่ข้าคิดว่าฮองเฮาน่าจะไม่ยกเรื่องแต่งตั้งองค์รัชทายาทขึ้นมาอีกนะเพคะ”

 

 

“ไม่ ฮองเฮาจะต้องพูดขึ้นอีกแน่ อีกทั้งวันนี้จะต้องจัดการเรื่องให้เรียบร้อย” น้ำเสียงของหลี่เย่แฝงไว้ด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยม

 

 

ถาวจวินหลันกลับไม่คิดเช่นนั้น เพียงแค่ส่ายหน้าเบาๆ

 

 

หลี่เย่หัวเราะออกมา “อย่าลืมไป วันนี้เป็นวันที่สามแล้ว เจ้าข่มขู่นางเช่นนั้น นางจะไม่หวาดระแวงได้อย่างไร? ตอนนี้ตระกูลหวังก็กลายเป็นเช่นนั้น หากมีเรื่องเหล่านั้นกระจายออกไปอีก ตระกูลหวังก็ไม่มีโอกาสให้พลิกตัวอีกแล้ว อีกทั้งชื่อเสียงขององค์รัชทายาทฮุ่ยเต๋อก็จะหมดสิ้นไม่มีเหลือ” ดังนั้นฮองเฮาไม่มีทางลืมเรื่องนี้เป็นแน่

 

 

เป็นอย่างที่คาดไว้ รอจนเดินเล่นกลับไปแล้วโจวอี้ก็นำข่าวเข้ามารายงาน “หลังจากฮ่องเต้ปรากฏตัว ฮองเฮาเหนียงเหนียงก็พูดถึงอีกเรื่องหนึ่งขึ้นมาพ่ะย่ะค่ะ บอกว่านางรู้สึกผิดต่อจวนตวนชินอ๋อง จึงขอร้องให้ฮ่องเต้รีบแต่งตั้งท่านอ๋องเป็นองค์รัชทายาท อย่างแรกเพื่อให้จิตใจของราษฎรสงบ อย่างที่สองท่านอ๋องเป็นคนที่เหมาะสมที่สุด อย่างไรองค์รัชทายาทฮุ่ยเต๋อก็สวรรคตไปแล้ว ท่านอ๋องก็ถือว่าเป็นลูกชายคนโตพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

กฎที่ว่าแต่งตั้งคนโต ปกติสามาถนำมาใช้ได้ ต่อให้เป็นราชวงศ์ก็ไม่ยกเว้น ในตอนนั้นที่แต่งตั้งองค์รัชทายาทฮุ่ยเต๋อก็เป็นเพราะว่าเป็นทั้งลูกจากชายาเอกและเป็นคนโตไม่ใช่หรืออย่างไร? ต่อให้ฮองเฮายกเหตุผลนี้ขึ้นมา ก็ถือว่าสมเหตุสมผล

 

 

ถาวจวินหลันมองไปยังหลี่เย่ ในใจย่อมต้องดีใจ ไม่ว่าฮองเฮาจะพูดอย่างไร เรื่องนี้ก็ถือว่าสำเร็จแล้ว

 

 

หลี่เย่กลับนิ่งเฉยเป็นอย่างมาก เพียงแค่ถามโจวอี้อีกว่า “แล้วความเห็นของฮ่องเต้เล่า?”

 

 

โจวอี้ส่ายหัว “ฮ่องเต้สั่งให้ฮองเฮาออกไปพ่ะย่ะค่ะ ไม่ได้พูดอะไรอีก แค่ด้วยการกระตุ้นจากบรรดาขุนนาง คิดว่าสองสามวันนี้ก็น่าจะรู้ผลพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

หลี่เย่พยักหน้า ให้โจวอี้ถอยออกไป

 

 

ถาวจวินหลันมองหลี่เย่อย่างตื่นเต้น ในใจนั้นรู้สึกยากจะบรรยาย

 

 

หลี่เย่กลับยิ้มน้อยๆ พูดสัญญากับตนเองเบาๆ “ไม่มีอะไรต้องตื่นตกใจมิใช่หรือ? พวกเราทุ่มเทไปมากมายขนาดนี้ วันนี้มีผลเช่นนี้ก็ถือว่าเป็นเรื่องแน่นอนอยู่แล้ว”

 

 

ถาวจวินหลันยังคลี่ยิ้มน้อยๆ “ดีแล้วเพคะ นับว่าสำเร็จตามหวังไว้แล้วเพคะ”

 

 

“ได้เป็นองค์รัชทยาทก็ถือเป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น” หลี่เย่ยิ้ม แต่กลับมีท่าทีขึงขัง “ฮองเฮาไม่มีทางยอมง่ายเช่นนี้เป็นแน่ เจ้าลองดูเถิด เป็นองค์รัชทายาทแล้วอย่างไร? หากยังไม่ได้ครองบังลังก์ ก็ถูกปลดได้เสมอ”

 

 

ถาวจวินหลันได้ยินเช่นนั้น ก็รีบหวนคิดการกระทำต่างๆ ของจวนตวนชินอ๋องในหลายปีที่ผ่านมมาอย่างรวดเร็ว “แม้ว่านางคิดจะปลดองค์รัชทายาทก็ต้องมีเหตุผลเช่นกัน พวกเรากระทำอย่างถูกต้องเป็นธรรม เหตุใดยังต้องกลัวนางด้วย?” คำพูดนี้เพียงแค่พูดให้น่าฟัง เป็นการปลอบตนเองเท่านั้น เพราะนางรู้ดีว่าบนโลกใบนี้ยังมีคำที่ว่า ‘ใส่ร้ายป้ายสี’ และ ‘ปั้นน้ำเป็นตัว’ อยู่ด้วย

 

 

แต่ไม่ว่าจะพูดอย่างไรนี่ก็ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี ความพยายามหลายปีมานี้ เริ่มเห็นผลแล้ว และถือว่าเป็นการก้าวผ่านจุดที่สำคัญที่สุด ไม่ว่าอย่างไรก็ควรยินดี

 

 

“ข้าจะให้คนไปเตรียมอาหารกับเหล้า วันนี้พวกเราจะต้องฉลองกัน ถือว่าเป็นการฉลองล่วงหน้าด้วยเป็นอย่างไรเพคะ?” ถาวจวินหลันยิ้มอย่างปิติยินดีถามความคิดของหลี่เย่

 

 

หลี่เย่เองก็คล้อยตามถาวจวินหลัน หัวเราะเสียงดังลั่น “ดี ตามที่เจ้าว่ามา”

 

 

ตกดึกคืนนั้น ถาวจวินหลันกับหลี่เย่ดื่มจนเริ่มรู้สึกมึนเล็กน้อย แต่เพียงเท่านั้นหลี่เย่ก็ยังไม่ลืมเบี้ยพนันที่ตกลงกันเมื่อเช้านี้

 

 

วันรุ่งขึ้นหลี่เย่ตื่นขึ้นมาด้วยท่าทางแจ่มใส แต่ถาวจวินหลันกลับปวดหลังขาอ่อน อดถลึงตามองหลี่เย่แรงๆ ไม่ได้ พร้อมพูดเร่งเสียงเบา “สำมะเลเทเมา”

 

 

หลี่เย่หัวเราะร่า “ถ้าเช่นนั้นเจ้าลองบอกสิว่าข้าเป็นคนสำมะเลเทเมาอย่างไร?” หยุดไปครู่หนึ่ง ก็จงใจพูดเย้าหยอกต่อ “หรือเจ้าอยากลองอีกครั้ง ข้าจะให้เจ้าได้สัมผัสอย่างลึกซึ้งเลย ว่าอะไรเรียกว่าสำมะเลเทเมา”

 

 

ถาวจวินหลันตกใจจนต้องรีบเปลี่ยนเรื่อง “บ่าวจะเข้ามาแล้วเพคะ”

 

 

หลี่เย่ถึงได้ยอมปล่อยไป แต่ก็ยังช่วยนางสวมใส่เสื้อผ้าอย่างอ่อนโยน ถือว่าปรนนิบัติดูแลอย่างรอบคอบ

 

 

ถาวจวินหลันหรี่ตาพลางยิ้มอย่างเพลิดเพลิด “หากมีคนเห็นแล้วเอาไปพูด ไม่รู้ว่าต่อจากนี้ไปจะต้องมีคนอิจฉาริษยาข้ามากเพียงใด และจะต้องมีผู้ชายอีกมากเท่าไรที่โดนฮูหยินหน่ายแหนง”

 

 

หลี่เย่มีฐานะสูงส่งเช่นนี้ แต่ยังลดตัวลงมาปรนนิบัติดูแลภรรยาได้ ผู้ชายคนอื่นย่อมต้องถูกปัดตกลงไปอย่างแน่นอน

 

 

หลี่เย่ยิ้มบางๆ “นั่นก็ดีมิใช่หรือ? จะได้ให้คนอื่นเห็นว่าสามีที่ดีเป็นอย่างไร”

 

 

ถาวจวินหลันตลกจนหลุดหัวเราะออกมา “ดูหน้าท่านสิ ข้าว่าคงไม่ได้ต่างไปจากกำแพงเมืองเสียเท่าไร ท่านยังกล้าพูด ไม่กลัวคนอื่นหัวเราะเอาหรือ”

 

 

หลี่เย่แอบหยิกเอวนางเบาๆ อย่างหมั่วเขี้ยว “ทำไมจะไม่กล้าพูดด้วยเล่า? เจ้าลองพูดสิว่าข้าไม่ดีตรงไหน”

 

 

ถาวจวินหลันรีบพูดขอร้อง “ข้าผิดแล้วเพคะๆ พอแล้วหรือยัง? รีบหยุดเถิดเพคะ!”

 

 

พอวุ่นวายเช่นนี้ เสื้อผ้าที่สวมใส่เมื่อครู่ก็ยับยุ่งอีกครั้ง ถาวจวินหลันถลึงตามองหลี่เย่ “ดูท่านสิ”

 

 

หลี่เย่จึงก้าวขึ้นไปช่วยถาวจวินหลันอีกครั้ง

 

 

ทั้งสองคนวุ่นวายกันตลอดเช้า กว่าจะใส่ชุดเรียบร้อยก็ไม่ง่าย ทันใดนั้นภายในวังก็ส่งจดหมายออกมา บอกให้หลี่เย่รีบเข้าวังหลวง รวมทั้งพาซวนเอ๋อร์กับถาวจวินหลันไปด้วย

 

 

คนที่ต้องการพบหลี่เย่คือฮ่องเต้ และที่ต้องการพบถาวจวินหลันและหลี่เย่คือไทเฮาและฮองเฮา

 

 

สามีภรรยามองสบตากัน ล้วนเข้าใจดีว่าเพราะเรื่องอะไร

 

 

เพราะต้องเข้าวังหลวง ดังนั้นถาวจวินหลันกับหลี่เย่จึงต้องเปลี่ยนชุดอีกครั้ง พลางไปอุ้มซวนเอ๋อร์มา รีบทานอาหารเช้าและเข้าวังหลวงไป

 

 

เพราะเช้าเกินไป ซวนเอ๋อร์ยังไม่ตื่นดี จึงมาหลับต่อในรถม้าที่สั่นไปมา

 

 

หลี่เย่หยิกแก้มซวนเอ๋อร์เบาๆ “เขาช่างมีความสุขเสียจริง”

 

 

ถาวจวินหลันตีเขา “ตื่นจะปลอบยากนะเพคะ อีกอย่างให้เขาได้นอนอีกเสียหน่อย วันนี้เกรงว่าจะต้องเหนื่อยอีกนานเพคะ”

 

 

หลี่เย่สะบัดมือช้าๆ “เขามีความสุขกว่าข้าตอนเด็กมากนัก ตอนที่ข้าโตเท่าเขาก็เริ่มเรียนหนังสือแล้ว ทุกเช้าจะต้องตื่นมาฝึกการต่อสู้ เขียนหนังสือ อย่าให้พูดว่าลำบากมากเพียงใด”

 

 

ถาวจวินหลันกลอกตามองหลี่เย่ “เขาเองก็สบายช่วงหลายปีนี้ รอโตอีกหน่อยเขาคงจะไม่สบายเท่านี้แล้วเพคะ”

 

 

หลี่เย่คิดตามและรู้สึกเช่นนั้นจริงๆ จึงไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่กุมมือของซวนเอ๋อร์อย่างรักใคร่ เห็นว่ายังอุ่นอยู่ถึงได้ปล่อยออก

 

 

ถาวจวินหลันเห็นเขาเป็นเช่นนั้น ก็พูดเย้าเขาว่า “ปากพูดรุนแรงนัก แต่ก็ยังห่วงยิ่งกว่าอะไรดี เขาอยากได้นาฬิกาตะวันตก ท่านก็ให้คนไปหามาให้เขาเรือนหนึ่งมิใช่หรือเพคะ? เขาเพิ่งจะอายุเท่าไรกัน? เพียงรู้สึกสงสัยเท่านั้น ท่านกลับทำใจลง ให้เขาเล่นอยู่สองวันก็พังไปแล้ว ไม่เห็นท่านจะขมวดคิ้วแม้แต่น้อย”

 

 

หลี่เย่เป็นคนเช่นนี้ ต่อหน้าเข้มงวด แต่ลับหลังกลับอ่อนโยนมีเมตตาเป็นที่ยิ่ง

 

 

หลี่เย่ยิ้มเฝื่อนพูดอธิบาย “จวนตวนชินอ๋องร่ำรวย แค่นาฬิกาตะวันตกเรือนเดียวถือว่าเป็นอะไรกัน? อีกอย่างผู้ชายก็ควรจะต้องหูตากว้างไกลสิ”