ตอนที่ 196 จุดเริ่มต้นความยากลำบากของตระกูลเหอ

ยอดหญิงสกุลเสิ่น

“คุณหนู หญิงชราตระกูลเหอผู้นั้นนั่งโวยวายร้องทุกข์อยู่ที่ประตูหลังเรือนจวนตระกูลเหอเจ้าค่ะ” เถาจือรีบเข้ามารายงาน สีหน้ามีความกังวลหลายส่วน

 

 

เสิ่นเวยกวาดสายตามองนางปราดหนึ่งก็รู้ความคิดในใจนางแล้ว สีหน้าเผยความเหยียดหยาม เพียงแค่หญิงชราไม่มีความรู้ผู้หนึ่งเรียกร้องความสนใจ จะทำอะไรจวนจงอู่โหวได้ “นางร้องอะไร”

 

 

เถาจือกล่าวอย่างเหยียดหยัน “จะยังร้องอะไรได้อีก ย่อมต้องร้องว่าจวนจงอู่โหวของพวกเขาใช้อำนาจระรานผู้อื่น บอกว่าพวกเราตั้งใจจะแก้แค้น ปฏิบัติต่อลูกชายนางอย่างไม่เป็นธรรม”

 

 

มารดาแซ่เหอผู้นี้กลับมีสติปัญญาหลายส่วน แต่น่าเสียดายที่นางร้องช้าไป ประชามติต่างก็เป็นรูปเป็นร่างแล้ว ข่าวลือที่คนพูดมากเข้าก็กลายเป็นเรื่องจริง ต่อให้จะเรียกร้องความสนใจ ก็เสียแรงเปล่าๆ

 

 

เหอะ แค่นี้ก็มาร้องทุกข์แล้วหรือ นี่เพิ่งจะเริ่ม วันคืนที่ต้องร้องไห้ยังมาไม่ถึงเลย “ไป พวกเราไปดูกันหน่อย” จู่ๆ เสิ่นเวยก็เกิดความคิด แม้ไม่ได้บอกว่าจะเหยียบซ้ำคนล้ม แต่ซึมซับผลลัพธ์ของชัยชนะก็ยังทำได้มิใช่หรือ

 

 

ประตูหลังจวนตระกูลเหอหันเข้าหาถนนหนึ่งสาย ถนนสายนี้มีประชาชนพักอยู่อาศัยไม่น้อย ดังนั้นการเคลื่อนไหวครั้งนี้ที่ประตูหลังจวนตระกูลเหอจึงดึงดูดคนจำนวนไม่น้อยให้ออกมาดู

 

 

มารดาแซ่เหอสมกับเป็นแม่เฒ่าที่คลานออกมาจากชนบทจริงๆ ใจกล้าบ้าบิ่นจริงๆ เป็นแม่เฒ่ามาหลายปีเพียงนี้ ยังไม่ลืมความสามารถในการโวยวายดิ้นพล่านตบขาหนึ่งร้องไห้สองสร้างเรื่องสามผูกคอตายของสตรีชนบทไปอีก

 

 

เสิ่นเวยหาโรงน้ำชาใกล้บ้านแห่งหนึ่ง นั่งข้างหน้าต่างดื่มชาแทะเมล็ดแตงโมไปพลาง ดูการแสดงของมารดาแซ่เหออย่างสนุกสนานไปพลาง

 

 

มารดาแซ่เหอร้องขึ้นมาประหนึ่งร้องงิ้ว สะอึกสะอื้นไห้ซ้ำยังลากเป็นทำนอง แต่ละครั้งที่พูดถึงความเสียใจยังขึ้นเสียงสูง ไม่ต่างอะไรจากระดับเสียงร้องไห้ในศาลางานศพชนบท เสิ่นเวยเลื่อมใสในฝีมือของมารดาแซ่เหอจริงๆ เป็นเช่นนี้นางก็วางใจแล้ว มีทักษะเช่นนี้อย่างน้อยๆ ก็สามารถร้องไห้ในศาลางานศพหาเงินแทนคนอื่นได้ ไม่มีทางหิวตายแน่นอน

 

 

“สตรีสูงส่งใจดำผู้นั้น น่าสงสารลูกชายคนเล็กที่ชะตาขื่นขมผู้นั้นของข้า เหตุใดถึงไม่เอ่ยกล่าวความรักฉันสามีภรรยาแม้แต่น้อยเลยเล่า หลินเจี่ยเอ๋อร์ หลานสาวคนดีของข้า พ่อเจ้าก็เข้าคุกแล้ว เจ้ารีบไปร้องขอแม่เจ้าเถิด! ลูกข้า เจ้าลำบากหรือไม่ ไม่มีใครบอกแม่สักคนเดียว หากเจ้าเป็นอะไรไป จะให้แม่ทำอย่างไร ฮือ…” มารดาแซ่เหอเช็ดน้ำมูกเช็ดน้ำตาร้องทุกข์ นางเองก็อายุปูนนี้แล้ว นั่งอยู่บนพื้น เสื้อผ้าขาดวิ่น ผมขาวพลิ้วไหวอยู่ในสายลม มองดูแล้วน่าสงสารเล็กน้อยจริงๆ

 

 

คนที่มุงดูรอบด้านก็ทนไม่ไหวเล็กน้อย ยังมีสตรีใจดีผู้หนึ่งเข้ามาพยุงนางขึ้น เสิ่นเวยขมวดคิ้ว เรียกเถาจือออกคำสั่งเสียงต่ำหลายประโยค เถาจือพยักหน้าแล้วจึงหมุนตัวออกจากโรงน้ำชาไป

 

 

มารดาแซ่เหอเห็นว่ามีคนเข้ามาพยุงนางก็ร้องดังกว่าเดิม บ้างก็ว่าลูกสะใภ้หย่าแล้วยังแย่งหลานสาวไป บ้างก็ว่าคุณชายจวนโหวพาคนมาทำลายบ้านนาง แม้แต่โต๊ะกินข้าวก็ยังไม่เว้น ถูกฟันจนไม่เหลือชิ้นดี บ้างก็ว่าลูกชายนางขี้กลัวมาตั้งแต่เล็ก จะต้องถูกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรมแน่นอน

 

 

เถาจือเบียดเข้าไปในฝูงชนยังต้องใช้แรงเล็กน้อย “แม่เฒ่าเหอ ฟังว่าลูกสะใภ้ที่หย่าผู้นั้นของท่านอยู่ในเรือนโทรมๆ มาสิบกว่าปีเป็นเรื่องจริงหรือไม่” นางยืนอยู่ในฝูงชนกล่าวถามเสียงสูง

 

 

มารดาแซ่เหอไม่คิดว่าจะมีใครเรียกร้องความยุติธรรมให้เสิ่นซื่อ ชั่วขณะก็ไม่พอใจ กัดฟันกล่าว “จริงไม่จริงอะไร เสิ่นซื่อก็เหมือนไก่ที่ออกไข่ไม่ได้ แม้แต่ลูกชายยังไม่มี ให้เรือนโทรมๆ นางอยู่ก็ถือว่าไม่เลวแล้ว”

 

 

คราวนี้ไม่ต้องให้เถาจือเอ่ยปากก็มีคนถามแล้ว “ลูกสะใภ้ผู้นั้นของท่านก็ให้กำเนิดบุตรสาวแล้วมิใช่หรือ”

 

 

“เพียงแค่เด็กผู้หญิงจะไปมีประโยชน์อะไร ไม่ช้าไม่เร็วก็เป็นน้ำที่ต้องสาดออกไป ลูกชายผู้น่าสงสารของข้ามีบุตรอนุภรรยาสามคน ข้างกายไม่มีบุตรภรรยาเอกแม้แต่คนเดียว เสิ่นซื่อไร้ความสามารถนัก!” มารดาแซ่เหอก่นด่า

 

 

เดิมหน้าตาของมารดาแซ่เหอก็ใจร้ายเล็กน้อยอยู่แล้ว ตอนที่พูดประโยคนี้ก็ยิ่งมีท่าทางดุร้าย เต็มไปด้วยความดูถูกลูกสะใภ้และหลานสาว คนที่มุงดูก็ชุลมุนในชั่วขณะ มีบุตรอนุภรรยาถึงสามคน เห็นภาพได้เลยว่าภรรยาเอกสองแม่ลูกมีชีวิตเช่นไร เมื่อหวนนึกถึงเพลงพื้นบ้านที่ร้องต่อกันก่อนหน้านี้ก็เกิดข้อสงสัยต่อคำร้องทุกข์ของมารดาแซ่เหอทันที หากภรรยาเอกผู้นั้นเป็นคนร้ายกาจ จะยังมีโอกาสให้บุตรอนุภรรยาสามคนนี้ได้เกิดมาอีกหรือ กลับดูออกเลยว่าแม่สามีที่ร้องทุกข์ผู้นี้เป็นคนร้ายกาจที่มีอุบาย

 

 

มารดาแซ่เหอด่าฟ้าด่าดินอยู่ครู่หนึ่ง คนที่ยังเห็นใจนางก่อนที่จะรู้ตัวต่างก็ถอยออกไปหมดแล้ว กลับชี้ไม้ชี้มือมาที่นาง ตัวนางเองก็รู้สึกไม่ดีแล้วจึงถ่มน้ำลายใส่ฝูงชน ไล่คนออกไปจนหมดราวกับชาวบ้านชนบทเวลาทะเลาะเบาะแว้งกัน

 

 

เถาฮวาฉวยโอกาสชุลมุนกลับไปยังโรงน้ำชา

 

 

เหอจังหมิงเข้าคุกกับเรื่องที่มารดาแซ่เหอโวยวายร้องทุกข์ก็ดังไปถึงหูของเสิ่นหย่าสองแม่ลูกเช่นกัน เสิ่นหย่าไม่สบายใจในชั่วขณะ นางมองลูกสาวที่สีหน้าเรียบเฉยปราดหนึ่ง กล่าวด้วยความลังเล “หลินเจี่ยเอ๋อร์ อย่างไรเสียนั่นก็เป็นพ่อเจ้า…”

 

 

นางถูกเสียงหัวเราะเยาะของเหอหลินหลินตัดบททันที “ท่านแม่ ก่อนหน้านี้ที่เขาคิดจะผลักลูกออกไปปูทางให้ลูกชายของอี๋เหนียงเหตุใดถึงไม่คิดว่าเขาเป็นพ่อลูกเล่า ท่านแม่ กว่าพวกเราจะออกจากรังหมาป่านั่นมาได้ ท่านอย่าได้ทำเรื่องโง่เขลาเลย ญาติผู้พี่ทำเช่นนี้ก็เพื่อระบายความแค้นแทนพวกเรา ท่านอย่าได้เข้าไปขอร้องเด็ดขาด มิเช่นนั้นญาติผู้พี่จะเสียใจเพียงใด”

 

 

เสิ่นหย่าตกตะลึงดั่งคาด แม้ว่าสีหน้าจะมีความลังเล แต่ก็ยังคงพยักหน้า

 

 

เหอหลินหลินไม่วางใจนัก คิกครู่หนึ่งยังคงพูดเสริมสองสามประโยค “ท่านแม่ ลูกจะตามท่านกลับเมืองหลวง เรื่องนี้ยังต้องอาศัยญาติผู้พี่คอยจัดการให้”

 

 

เสิ่นหย่าได้ฟังก็วางเรื่องเหอจังหมิงลงทันที ไม่มีเรื่องอะไรสำคัญไปกว่าหลินเอ๋อร์ของนางอีกแล้ว

 

 

“ย่าเจ้าเป็นคนไม่กลัวอะไรทั้งสิ้น แม่กลัวว่านางจะทำลายชื่อเสียงของจวนจงอู่โหวและญาติผู้พี่เจ้าข้างนอกนั่น”

 

 

เหอหลินหลินไม่เห็นด้วย “ชื่อเสียงของจวนโหวกับญาติผู้พี่ถูกทำลายได้ง่ายเพียงนั้นเชียวหรือ ท่านวางใจเถอะ ในใจญาติผู้พี่มีแผนการ พวกเราแม่ลูกอยู่อย่างซื่อสัตย์ ไม่เพิ่มภาระให้ญาติผู้พี่ก็พอแล้ว” นางเองก็รู้ว่าแม่นางใจอ่อน คนอื่นร้องไห้ร้องขอนางก็ใจอ่อนแล้วจึงตัดสินใจเงียบๆ ว่าจะต้องดูแม่นางให้ดี ไม่อาจหาเรื่องมาให้ญาติผู้พี่ได้

 

 

เสิ่นเวยดูการแสดงที่ยอดเยี่ยมของมารดาแซ่เหอจบแล้ว กลับไปถึงคฤหาสน์ก็เรียกพ่อบ้านรองมา “คดีเรียบร้อยแล้วหรือยัง”

 

 

ตอนนี้พ่อบ้านรองเคารพเสิ่นเวยอย่างยิ่ง แม้จะรู้ว่าความจริงแล้วคนผู้นี้คือคุณหนู แต่กลับไม่กล้าดูถูกเลยแม้แต่น้อย “เรียนคุณชาย พยานหลักฐานครบแล้ว ไม่ยอมรับคำปฏิเสธของผู้แซ่เหอผู้นั้น ใต้เท้าข้าหลวงประจำจังหวัดบอกว่าอีกไม่กี่วันก็จะตัดสินได้แล้ว เรียนถามคุณชายมีวิธีลงโทษใด”

 

 

เสิ่นเวยพยักหน้า กล่าว “อย่างไรเสียก็เป็นพ่อแท้ๆ ของญาติผู้น้อง จะเอาชีวิตเขาจริงๆ ได้อย่างไร เนรเทศเสีย!” เนรเทศเขาไปสามพันลี้ บัณฑิตอ่อนแอเช่นเขา เพียงแค่เดินทางก็เพียงพอให้เขาได้รับความลำบากแล้ว ต่อให้มีชีวิตไปถึงสถานที่ที่ถูกเนรเทศ สิ่งที่รอเขาอยู่ก็คือความทรมานเท่านั้น

 

 

ความตายน่ะไม่น่ากลัว มีชีวิตออยู่ไม่สู้ตายต่างหากจึงจะเป็นความยากลำบากที่แท้จริง เป็นคนเหนือคนอยู่ดีๆ ไม่ชอบ เช่นนั้นก็ไปเป็นคนล่างคนเอาเถอะ

 

 

“ขอรับ คุณชาย” ในใจพ่อบ้านรองหนาวสั่น สีหน้าก็ยิ่งเคารพนบนอบ

 

 

อันที่จริงเรื่องนี้เสิ่นเวยเองก็ไม่ได้ไร้ความเป็นธรรมต่อเหอจังหมิง แย่งร้านค้าคนอื่น บีบบังคับคนจนตาย นี่กลับเป็นเรื่องจริง ทว่าตัวละครหลักไม่ใช่เหอจังหมิง แต่เป็นพี่ใหญ่ของเขาต่างหาก

 

 

ในร้านค้าสินเดิมของเสิ่นซื่อมีร้านผ้าไหมอยู่หนึ่งแห่ง ธุรกิจไม่เลวอย่างยิ่ง ข้างๆ ร้านผ้าไหมก็ขายผ้า บุตรคนโตแซ่เหอก็เกิดความสนใจ อยากซื้อเข้ามารวมกันเป็นร้านเดียว

 

 

แต่คนไม่ยอม ทั้งยังไม่รีบใช้เงิน ใครจะโง่ขายร้านที่กำลังรุ่งเรืองให้คนอื่น

 

 

เป็นเช่นนี้ไปมาบุตรคนโตแซ่เหอก็ทะเลาะกับเขา หลายปีมานี้เพราะว่าอาศัยอำนาจของน้องชาย บุตรคนโตแซ่เหอจึงเรียกตัวเองว่านายท่าน ใช้ชีวิตราบรื่นไร้อุปสรรคจนเคยตัวไหนเลยจะรับเรื่องนี้ได้จึงใช้อุบายลับๆ แย่งร้านค้ามาเสีย

 

 

เถ้าแก่ร้านนั้นก็เป็นคนอารมณ์ร้อน เมื่อโกรธขึ้นมาแล้วก็ป่วย ไม่นานก็จากไป ภรรยาเถ้าแก่ก็สู้คน สินเดิมสู่ขอบุตรสาวของลูกชายล้วนแต่เป็นร้านค้าหลังนั้น ตอนนี้ร้านถูกคนแย่งไปแล้ว สามีก็โมโหจนตัวตาย ไหนเลยจะวางมือได้ ยื่นคำร้องฟ้องบุตรคนโตแซ่เหอ คำร้องตกลงในมือเหอจังหมิง เขาย่อมเข้าข้างพี่ชายแท้ๆ ของตนแน่นอน

 

 

ภรรยาเถ้าแก่ไม่เพียงแต่ฟ้องร้องไม่ชนะ ซ้ำยังถูกเฆี่ยนตี กลับไปก็ผูกคอตาย ทิ้งลูกชายลูกสาวสามคนเอาไว้ คนโตสุดเพิ่งจะอายุได้เพียงสิบสามปี

 

 

เรื่องนี้เสิ่นเวยได้ยินทหารลับรายงานระหว่างการเดินทาง ดังนั้นตอนที่ตัดสินใจเรื่องเหอจังหมิงนางจึงนึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมาทันที ตอนที่นางส่งคนไปเจรจากับบุตรคนโตตระกูลนั้น เขาก็เกลียดแค้นครอบครัวเหอจังหมิงอยู่นานแล้ว เพียงแต่ไม่มีอำนาจอับจนหนทาง ตอนนี้เสิ่นเวยสัญญาว่าจะช่วยเขาแก้แค้น เขาก็รับปากทันที

 

 

อันที่จริงแม้ว่าจะไม่มีเรื่องนี้เสิ่นเวยก็มีวิธีจัดการเขา ขุนนางคนใดบ้างที่ขาวสะอาด หากตั้งใจสืบหาก็มีจำนวนมากมายที่ไม่ขาวสะอาด เหอจังหมิงที่เกิดในโคลนตมจะไม่เปื้อนสิ่งสกปรกได้อย่างไร เสิ่นเวยไม่เชื่อแม้แต่นิดเดียว

 

 

ยิ่งไปกว่านั้นไม่เพียงแต่เหอจังหมิงเพียงคนเดียว บุตรคนโตแซ่เหอทั้งครอบครัว มารดาแซ่เหอและเถียนอี๋เหนียงพวกนางต่างก็ฉกฉวยผลประโยชน์จากคนอื่นมาไม่น้อย โดยเฉพาะเถียนอี๋เหนียง ละโมบโลภมากยิ่งนัก หากไม่มีคนตรวจสอบ ย่อมไม่มีเรื่องแต่ขอเพียงแค่มีคนสืบ นี่ก็คือหลักฐานในการจัดการและเอาผิด เพียงพอให้เหอจังหมิงทุกข์ทรมานได้แล้ว

 

 

ตระกูลเหอฝั่งนั้นยังกอดความหวังว่าอีกประเดี๋ยวเหอจังหมิงก็จะออกมาแล้ว ความตระหนักรู้ของตระกูลเหอที่มีต่อเรื่องนี้ก็เหมือนกัน แม้บุตรคนโตแซ่เหอจะโลภมากเห็นแก่ตัว แต่กลับรู้ดีว่าไม่มีน้องรองนายอำเภอผู้นี้เป็นที่พึ่งแล้ว ต่อให้เขามีอุบายก็ไร้ประโยชน์ มารดาแซ่เหอก็ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึง นี่คือลูกชายแท้ๆ ของนาง ทั้งยังเป็นลูกชายที่นำความรุ่งเรืองมาให้นางนับไม่ถ้วน นางรักยิ่งกว่าใครๆ

 

 

สำหรับอี๋เหนียงหลายคนนั้นในเรือนหลังของเหอจังหมิง นอกจากคนที่ไม่ได้รับการศึกษาผู้นั้นแล้วต่างก็หวังว่าเขาจะกลับมาได้อย่างปลอดภัย อย่างไรเสียเหอจังหมิงก็เป็นที่พึ่งในชีวิตพวกนาง

 

 

“เป็นอย่างไร รับปากแล้วหรือยัง” มารดาแซ่เหอเห็นหลานชายคนโตที่ออกไปขอความช่วยเหลือจากเพื่อนกลับมาก็รีบเข้าไปถามไถ่

 

 

ทว่าสีหน้าของเหอเทียนเสียงกลับไม่ดีอย่างมาก เห็นสายตาที่เฝ้ารอของท่านย่าเขาก็อดทนพูดความจริงไม่ได้ “ท่านย่า เพื่อนผู้นั้นของข้าไม่อยู่ในจวน บอกว่าไปบ้านตาแล้ว หลานค่อยไปใหม่พรุ่งนี้”

 

 

ไหนเลยจะไม่อยู่จวน เห็นชัดๆ ว่าไม่ยอมออกมาเจอเขาก็เท่านั้นเอง เขาวิ่งอยู่ข้างนอกทั้งวัน เพื่อนสหายร่วมชั้นเรียนที่เรียกเขาว่าพี่ว่าน้องเหล่านั้นเมื่อก่อนไม่หลบหน้าเขา ก็พูดกับเขาตรงๆ ว่าไม่อาจช่วยอะไรได้ ทำให้เขาได้รู้จักความไร้น้ำใจในสังคมจริงๆ

 

 

มารดาแซ่เหอมองท่าทีของหลานชายคนโตมีหรือจะไม่เข้าใจ หน้าเปลี่ยนสีทันที เป็นห่วงหลานชายคนโตจึงไม่ได้พูดอะไรต่อหน้า เมื่อหลานชายคนโตไปแล้ว นางจึงตบขาก่นด่าขึ้นมาทันที

 

 

“ตาเฒ่าหนังเหนียว เขาบอกว่าแต่งงานกับบุรุษ มีเสื้อผ้าให้ใส่มีข้าวให้กิน แต่นี่อะไร ข้าแต่งกับเจ้าไม่มีสักวันที่อยู่อย่างสบาย ซ้ำยังต้องอุทิศตนเพื่อตระกูลเหอของเจ้า ตอนนี้เหล่าเอ้อร์ถูกจับเข้าคุกแล้ว เจ้าต้องคิดหาวิธีมาเดี๋ยวนี้!” นางทุบตีตำหนิโทษผู้เฒ่าเหอ