ตอนที่ 163 ส่งทหารไปคุ้มครอง

ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน]

สีหน้าของเจ้าพระยาหลิวดำทะมึน และจ้องลูกชายตัวเองเขม็งด้วยความเดือดดาล หากไม่ใช่ว่ากลัวจะเสียหน้าเพราะมีคนอื่นอยู่ตรงนั้นด้วย ก็จะยกเท้าถีบเข้าใส่เสียแล้ว เจ้าคนไร้สมองนี่ ไม่ไตร่ตรองสักนิดว่าโรงงานนั่นมีใครหนุนอยู่เบื้องหลัง ก็กล้าไปก่อความวุ่นวาย ตอนนี้คลี่คลายแล้ว แค่โทษปรับเงินนั้นเรื่องเล็ก แต่การต้องไปขอโทษนังสาวใช้บ้านนอกนั่นต่อหน้าผู้คนเป็นเรื่องที่น่าอับอายขายหน้าที่สุด

หลิวเหยี่ยนเห็นพ่อของตัวเองหน้าดำคร่ำเครียด ก็รู้ว่าเรื่องนี้ไม่ได้เป็นอย่างที่ตัวเองคิดไว้ สีหน้าก็ถอดความยินดีลง ขณะที่กำลังจะเอ่ยถาม อ๋องฉีและฉู่เหวินเจี๋ยเดินตามหลังออกมา อ๋องฉีพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ท่านเจ้าพระยาและพระยาทั้งหลาย ข้าเพิ่งจะปรึกษากับท่านแม่ทัพใหญ่เมื่อครู่ ตกลงว่าพรุ่งนี้เวลาปลายเช้า[1] พวกข้าจะรอพวกคุณชายอยู่หน้าประตูโรงงาน”

สีหน้าของพวกเจ้าพระยาและพระยายิ่งแสดงอาการไม่ชอบใจ อ๋องฉีและฉู่เหวินเจี๋ยไม่ได้สนใจพวกเขา แล้วอ๋องฉีก็เดินไปยังเกี้ยวของจวนตัวเอง

ส่วนฉู่เหวินเจี๋ยขึ้นบนหลังม้า และออกคำสั่งแก่เปาชิงเหอ “ฝ่าบาทได้คลี่คลายเรื่องนี้เรียบร้อยแล้ว เจ้ากลับไปก่อนเถิด พรุ่งนี้เช้าไปรอข้าอยู่ที่ประตูโรงงาน”

เปาชิงเหอรับคำ ฉู่เหวินเจี๋ยควบม้านำทหารของตนเองกลับค่ายทหาร

อ๋องฉีก็นั่งเกี้ยวจากไป

เปาชิงเหอไม่ได้ทำความเคารพต่อเจ้าพระยาและพระยาทั้งสี่คน ตรงไปขึ้นรถม้า แล้วสั่งพวกทหารให้กลับไปเป่ยเฉิง

ผู้คนไปกันหมดแล้ว สีหน้าของเจ้าพระยาและพระยาทั้งสี่คนบึ้งตึง แยกย้ายกันขึ้นนั่งบนเกี้ยวของแต่ละคนเพื่อเดินทางกลับ

คุณชายทั้งสี่มองกันและกัน แล้วตามคนที่บ้านของตนกลับไปด้วยอย่างว่าง่าย

หวงฝู่อี้เซวียนยังอยู่ในห้องทรงพระอักษร บอกเล่าถึงงานที่ออกจากเมืองหลวงไปปฏิบัติครั้งนี้โดยละเอียด

ฮ่องเต้พยักพระพักตร์ ชื่นชม และตรัสว่า “เซวียนเอ๋อร์เติบโตขึ้นแล้วจริงๆ ด้วย การปฏิบัติราชการของเจ้านับวันก็ยิ่งทำให้ลุงวางใจ”

“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ เสด็จลุงชมเกินไปแล้ว” หวงฝู่อี้เซวียนรีบขอบคุณ

“หลายวันมานี้เจ้าคงเหนื่อยล้ามากทีเดียว กลับจวนไปพักเถิด”

หวงฝู่อี้เซวียนไม่ขยับ และขอร้องขึ้นว่า “เสด็จลุง เซวียนเอ๋อร์มีเรื่องหนึ่งอยากจะขอร้องพ่ะย่ะค่ะ”

ฮ่องเต้หรี่พระเนตรลงเล็กน้อย จ้องเขาอยู่ครู่หนึ่งถึงจะตรัสขึ้น “ว่ามา!”

“เสด็จลุงยังจำผู้บัญชาการโต้วที่ถูกย้ายไปเฝ้าประตูที่กองบัญชาการปัจทิศรักษาเพราะเรื่องที่โยวเอ๋อร์เข้าตารางเมื่อครั้งก่อนได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ หลานอยากจะขอร้องเสด็จลุงให้เขาได้รับตำแหน่งเดิมคืน แล้วรวบรวมทหารและม้ากลุ่มหนึ่งไปป้องกันเป่ยเฉิงได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”

“มีแค่เรื่องนี้หรือ” ฮ่องเต้ถามย้ำ

หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้า “มีแค่เรื่องนี้ขอรับ หวังว่าเสด็จลุงจะอนุญาต”

“เราอนุญาตแล้ว เรื่องนี้เจ้าไปถ่ายทอดเป็นพระราชกระแสรับสั่งได้เลย ส่วนจำนวนของทหารและม้า เจ้าก็ให้เขาไปเลือกเอง โดยบอกว่าเราเป็นคนบอก ถือเป็นการให้โอกาสเขาสร้างผลงานเพื่อชดใช้โทษ หลังจากนี้ความปลอดภัยของประชาชนเป่ยเฉิงก็มอบให้แก่เขา หากยังทำหน้าที่นี้ไม่ดี ก็จงให้เขาถือหัวของตัวเองมาพบเราเสีย”

“ขอบพระทัยเสด็จลุง” หวงฝู่อี้เซวียนพูดอย่างดีอกดีใจ

ฮ่องเต้โบกพระหัตถ์ “ไปเถิด หลังจากถ่ายทอดกระแสรับสั่งแล้วก็กลับจวนไปพักให้สบายเถิด ในเวลาอันใกล้นี้ ข้าจะไม่ส่งเจ้าไปปฏิบัติหน้าที่นอกเมืองอีก”

หวงฝู่อี้เซวียนทำความเคารพ แล้วเดินออกจากห้องทรงพระอักษรไป

ฮ่องเต้จ้องมองเงาบนแผ่นหลังเขาอยู่นาน ถึงจะก้มหน้าอ่านเอกสารราชการอีกครั้ง

หวงฝู่อี้เซวียนออกมาจากห้องทรงพระอักษรแล้ว ก็เดินเร่งฝีเท้าเดินไปยังพระราชวังด้านนอก รัชทายาทพร้อมด้วยขันทีข้างกายเดินเข้ามา พอเห็นว่าเป็นเขา จึงร้องเรียกขึ้นทันที “น้องเซวียน!”

หวงฝู่อี้เซวียนได้ยินเสียง จึงหยุดก้าวเดินและโค้งตัวคำนับ “รัชทายาท!”

รัชทายาทเดินเข้ามาตรงหน้าเขา ยื่นมือประคองเขาขึ้น “ข้าพูดกี่ครั้งแล้วว่าต่อไปเจอหน้ากันเรียกข้าว่าพี่ใหญ่ก็พอ เจ้ากับข้าต่างก็เป็นพี่น้องที่สนิทสนมกัน หากเสด็จพ่อเห็นเช่นนี้ก็ต้องดีใจมิใช่หรือ”

หวงฝู่อี้เซวียนเรียกอย่างคล้อยตามทันที “พี่ใหญ่!”

หวงฝู่อี้ผู้เป็นรัชทายาทรับคำ แล้วถามว่า “เห็นน้องเซวียนเดินอย่างรีบร้อน ไม่ทราบว่ามีเรื่องอันใดหรือ”

เรื่องที่คุณชายบ้านเจ้าพระยาและพระยาทั้งสี่คนจะถล่มโรงงาน ผู้คนทั้งเมืองหลวงต่างรู้กันหมดแล้ว ไม่มีเหตุผลอะไรที่รัชทายาทจะไม่รู้ แต่เขาไม่ได้ถามตรงๆ หวงฝู่อี้เซวียนจึงตอบอย่างง่ายๆ เพื่อทำเรื่องใหญ่ให้กลายเป็นเรื่องเล็ก “เสด็จลุงให้ข้าไปเป็นตัวแทนไปถ่ายทอดกระแสรับสั่ง ข้ารู้สึกร้อนรนใจ จึงเดินเร็วขึ้นเล็กน้อย”

รัชทายาทพยักหน้า แล้วเขยิบตัวออก “เช่นนั้นน้องเซวียนรีบไปเถิด จะได้ไม่ล่าช้าจนทำให้เสด็จพ่อกริ้ว”

หวงฝู่อี้เซวียนกล่าวขอบคุณ แล้วเดินกระวีกระวาดออกจากพระราชวัง

รัชทายาทสั่งขันทีที่ติดตาม “หวังอัน ไปสืบมาว่า ซื่อจื่อรีบร้อนเช่นนี้เพื่อไปถ่ายทอดพระราชกระแสรับสั่งเรื่องอันใด”

หวังอันรับคำ แล้วไปห้องทรงพระอักษรเพื่อสืบความ

รัชทายาทมองไปทางที่หวงฝู่อี้เซวียนจากไปครู่หนึ่ง แล้วจึงก้าวเท้าเดินไปยังตำหนักของตัวเอง

หวงฝู่อี้เซวียนควบม้าเร็วมาถึงเมืองตะวันออก ประตูเมืองในช่วงเวลานั้นมีคนเข้าออกจำนวนมาก พอถึงหน้าประตู หวงฝู่อี้เซวียนก็ดึงบังเ**ยนหยุด นั่งหลังตรงอยู่บนม้า

หวงฝู่อี้เซวียนมีใบหน้าที่งดงามยิ่ง ท่าทีก็ดูสง่าและสูงส่งเกินจะหาใครเทียบ ทหารที่เฝ้าประตูตงเฉิงเห็นเขาตั้งแต่ค่ำคืนนั้น ก็จำเขาได้ขึ้นใจ เมื่อเห็นเขาหยุดม้าอยู่ที่ประตูเมือง ก็วิ่งเหยาะๆ เข้ามาคำนับทันที “ซื่อจื่อ ท่านมีคำสั่งอันใดหรือขอรับ”

“ผู้บัญชาการโต้วอยู่หรือไม่”

ทหารผงะไปชั่วครู่ แล้วรีบตอบอย่างนอบน้อม “ผู้บัญชาการโต้วอยู่บนหอประตูเมือง ข้าน้อยจะไปเรียกเขาลงมาเดี๋ยวนี้ขอรับ”

หวงฝู่อี้เซวียนผงกศีรษะเล็กน้อย

ทหารหันตัวกลับ รีบวิ่งขึ้นไปหอ เมื่อเจอผู้บัญชาการโต้ว ก็รายงานอย่างเหนื่อยหอบ “ผู้บัญชาการโต้ว ซื่อจื่อมาหาท่านแล้ว”

นับแต่คืนนั้นเป็นต้นมา ผู้บัญชาการโต้วก็เฝ้าคอยหวงฝู่อี้เซวียนให้มาพาเขาย้ายออกจากประตูเมืองตงเฉิงทุกวัน พอได้ยินคำพูดของทหารแล้ว จึงรีบสาวเท้าวิ่งลงจากหอ ไปตรงหน้าหวงฝู่อี้เซวียน ในน้ำเสียงซ่อนความปิติยินดีไว้ไม่อยู่ “ข้าน้อยขอถวายความเคารพต่อซื่อจื่อ”

“ผู้บัญชาการโต้ว!” หวงฝู่อี้เซวียนนั่งหลังตรงบนหลังม้า เรียกเขาอย่างองอาจ

“ขอรับ!”

“ข้าได้ขอความกรุณาต่อหน้าเสด็จลุงให้เจ้าได้ตำแหน่งเดิมคืนแล้ว นับแต่บัดนี้ เจ้าต้องนำกองทัพทหารไปรักษาการณ์ที่เป่ยเฉิง เจ้าจะยินยอมหรือไม่”

ไม่ว่าทำอะไร ก็ย่อมดีกว่าหน้าที่ที่ต้องเฝ้าประตูอยู่อย่างนี้ ผู้บัญชาการโต้วจึงรับคำอย่างชอบใจ “ข้าน้อยยินยอมรับขอรับ”

“ดี เจ้าไปเก็บข้าวของเสีย แล้วรีบตามข้าไปกองบัญชาการปัจทิศรักษาพระนครเพื่อเลือกพลทหารและม้า จากนั้นมุ่งสู่เป่ยเฉิงโดยเร็ว”

“ขอรับ!”

ผู้บัญชาการโต้วหันตัวกลับและขึ้นไปบนหอทันที แล้วเอางานทั้งหมดของตัวเองมอบให้แก่นายทหารอื่นอย่างรวดเร็ว ท่ามกลางสายตาที่เต็มไปด้วยความอิจฉาริษยาของผู้คน เขาจึงวิ่งลงมาอย่างเร่งรีบ “ซื่อจื่อ ข้าน้อยเก็บข้าวของเสร็จเรียบร้อยแล้ว”

หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้า “ดี เจ้าตามข้าไปกองบัญชาการปัจทิศรักษาพระนคร”

พูดจบก็หันม้ามุ่งหน้าเข้าเมืองไป

ผู้บัญชาการโต้วไม่มีม้า จึงวิ่งตามอยู่ข้างๆ โชคดีที่เขาเป็นทหาร มีความสามารถในการต่อสู้ที่ไม่ได้อ่อนแอ ประกอบกับความเอาใจใส่ของหวงฝู่อี้เซวียนที่ไม่ได้บังคับม้าให้วิ่งเร็วนัก เขาจึงสามารถตามทันได้

ทั้งสองคนมาถึงกองบัญชาการปัจทิศรักษาพระนคร แล้วเดินเข้าด้านในไป หวงฝู่อี้เซวียนมอบพระราชกระแสรับสั่งของฮ่องเต้ให้แก่ผู้บัญชาการอู๋ ซึ่งดำรงตำแหน่งเป็นผู้บัญชาการกองบัญชาการปัจทิศรักษาพระนครคนปัจจุบัน ผู้บัญชาการอู๋ย่อมไม่กล้าที่จะไม่เชื่อฟังตาม และนำผู้บัญชาการโต้วไปเลือกทหาร

ผู้บัญชาการโต้วคุ้นเคยกับนายทหารพวกนี้เป็นอย่างดี ไม่นานก็เลือกทหารสองร้อยนายและม้าครบเรียบร้อย เมื่อเตรียมการพร้อมอย่างเสร็จสรรพ ก็ตามหวงฝู่อี้เซวียนมาถึงหน้าประตูโรงงานของเป่ยเฉิง

ในเวลานี้เริ่มมีผู้คนบนท้องถนนใหญ่มากขึ้นแล้ว เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้เห็นเหล่าทหารสวมชุดพร้อมอาวุธยุโธปกรณ์อย่างเต็มยศมา ก็รู้สึกสงสัยอยู่ในใจ แม้ว่าพวกเขาจะยืนนิ่งไม่ขยับ แต่ล้วนพากันชูคอยืดยาวมองมายังด้านนั้น จนเห็นทหารเหล่านี้หยุดอยู่ที่ประตูโรงงาน ก็คิดไปว่าพวกเขาจะมาตรวจสอบและปิดโรงงาน จึงตื่นตระหนกกันอย่างมาก

หวงฝู่อี้เซวียนกับผู้บัญชาการโต้วกระโดดลงจากม้า เสี่ยวซือซึ่งเดินออกมาจากโรงงานพอดี เห็นทหารมากมายเช่นนั้นยืนอยู่ที่ประตู ก็สะดุ้งตกใจ จนกระทั่งเห็นชัดแล้วว่าเป็นหวงฝู่อี้เซวียน จึงถอนหายใจ แล้วคำนับอย่างนอบน้อม “ซื่อจื่อ”

“ไปเรียกโยวเอ๋อร์ออกมา” หวงฝู่อี้เซวียนสั่งเขา

เสี่ยวซือรับคำ รีบสาวเท้าตรงเข้าด้านใน เมื่อพบเมิ่งเชี่ยนโยว ก็รายงานแก่นาง

เมิ่งเชี่ยนโยวรีบเดินออกมาจากด้านใน

ผู้บัญชาการโต้วคำนับอย่างลนลาน “แม่นางเมิ่งขอรับ”

เมิ่งเชี่ยนโยวผงกศีรษะเล็กน้อย มองหวงฝู่อี้เซวียนด้วยความฉงนสงสัย

หวงฝู่อี้เซวียนอธิบาย “เสด็จลุงมีกระแสรับสั่งคืนตำแหน่งให้แก่รองผู้บัญชาการโต้ว พร้อมนำทหารมารักษาการณ์ที่เป่ยเฉิงแห่งนี้”

เมิ่งเชี่ยนโยวเข้าใจโดยกระจ่าง “ต่อไปต้องรบกวนผู้บัญชาการโต้วแล้วเจ้าค่ะ”

ผู้บัญชาการโต้วรีบโบกมือปฏิเสธ “แม่นางเมิ่งเกรงใจเกินไปแล้วขอรับ หลังจากนี้หากต้องการเรียกใช้ก็บอกได้เลยขอรับ”

ยังไม่ทันที่เมิ่งเชี่ยนโยวจะพูด หวงฝู่อี้เซวียนเอ่ยปากขึ้น “ไม่ใช่หลังจากนี้มีอะไรก็เรียกใช้ แต่ในทุกวันหลังจากนี้ เจ้าต้องส่งคนไปเฝ้าประตูโรงงานแห่งนี้ ไม่ว่าเป็นใคร หากกล้ามาก่อความวุ่นวาย ผู้บัญชาการโต้วไม่จำเป็นต้องอ่อนข้อ จับกุมเอาไว้ก่อนแล้วค่อยว่ากัน”

“นี่…” ผู้บัญชาการโต้วลังเล

“ทางด้านนี้มีเรื่องขึ้นในวันนี้ เจ้าคงได้ยินแล้วสินะ” หวงฝู่อี้เซวียนถาม

ผู้บัญชาการโต้วพยักหน้า “ได้ยินมาบ้างแล้วว่า คุณชายแห่งจวนเจ้าพระยาและพระยาสี่คนมาก่อความวุ่นวาย และต้องการพังโรงงานแห่งนี้ขอรับ”

“ดังนั้นข้าถึงขอเสด็จลุงให้อภัยโทษแก่เจ้า แล้วให้เจ้าพาทหารมาในนามของผู้รักษาการณ์แห่งเป่ยเฉิง แท้จริงแล้วก็คือคุ้มครองโรงงานแห่งนี้ ซึ่งเสด็จลุงก็หมายความตามนี้เช่นกัน”

เมื่อได้ยินว่าเป็นพระประสงค์ของฮ่องเต้ ผู้บัญชาการโต้วก็ไม่ลังเลอีก รับคำอย่างเปรมปรีดิ์ “ข้าน้อยเข้าใจแล้วขอรับ” หลังจากนั้นก็พูดต่อว่า “ข้าน้อยขอนำพวกเขาไปลงทะเบียนที่ที่ว่าการของเป่ยเฉิงก่อนนะขอรับ”

หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้า

ผู้บัญชาการโต้วนำทหารกว่าสองร้อยนายไปยังที่ว่าการของเมือง

ประชาชนที่กำลังหวาดกลัวอยู่ในใจเหล่านั้นเห็นผู้บัญชาการโต้วไม่ได้จะมาตรวจสอบและปิดโรงงาน จึงถอนหายใจโล่งอกพร้อมกัน

รอให้ผู้บัญชาการโต้วพาคนเดินออกไปไกลแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มถาม “ทำไมถึงนึกให้ผู้บัญชาการโต้วนำทหารมาล่ะ”

“เสด็จลุงมักจะส่งข้าออกไปปฏิบัติหน้าที่นอกเมือง หากเกิดเรื่องอะไรขึ้นตอนที่ข้าไม่อยู่ที่เมืองหลวง ข้าก็ไม่อาจช่วยเจ้าได้อย่างท่วงทัน ข้าจึงช่วยผู้บัญชาการโต้วให้ได้รับตำแหน่งเดิมคืน เขาจะต้องรู้สึกขอบใจต่อข้า และย่อมต้องเอาใจใส่โรงงานแห่งนี้ของเจ้าด้วยเช่นกัน”

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า พูดด้วยรอยยิ้ม “ก็ดีเหมือนกัน เช่นนี้ก็ขจัดความยุ่งยากไปได้มากทีเดียว” แล้วยิ้มถามต่อ “เรื่องในวันนี้เป็นอย่างไรบ้างแล้วล่ะ”

“เสด็จลุงสั่งพวกเขาให้มาขอโทษเจ้า และทุกจวนถูกปรับโทษด้วยเงินจำนวนสองหมื่นตำลึง”

เมิ่งเชี่ยนโยวเบิกตากว้าง มองเข้าอย่างตกตะลึง แล้วถามกลับอย่างไม่เชื่อ “สองหมื่นตำลึง?”

หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้า

ดวงตาของเมิ่งเชี่ยนโยวเบิกออกกว้างยิ่งขึ้นอีก แล้วถาม “นี่เป็นการตัดสินพระทัยของฝ่าบาทหรือ”

“ข้าเสนอ และเสด็จลุงก็ยินยอม ส่วนจำนวนเงินที่ปรับโทษเป็นการตัดสินพระทัยของพระองค์”

เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า แล้วถามอีกครั้ง “เช่นนั้น เจ้าวางแผนจะจัดการกับเงินเหล่านั้นอย่างไร”

“ข้าคิดไว้แล้ว นอกจากจะไปเป็นค่ายารักษาทหารที่ได้รับบาดเจ็บเหล่านั้น ก็มอบให้แก่นายทหารทุกคนในโรงงานเพิ่มอีกคนละยี่สิบตำลึงเป็นรางวัล ส่วนที่เหลือถ้าเจ้าไม่มีความเห็นอื่น ก็ยกให้ท่านน้าเถิด ให้เขามอบแก่ทหารในค่ายทหาร เอาไว้ใช้จ่ายสิ่งที่ขาดเหลือเล็กๆ น้อยๆ”

“ข้าไม่มีความเห็นอื่นใด เจ้าตัดสินใจก็ดีแล้ว แม้ว่าจะไม่มีเงินปรับโทษเหล่านี้ ข้าก็เตรียมจะทำเช่นนี้เหมือนกัน”

หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้า เอนกายมาข้างหน้า ประชิดอยู่ตรงหน้าของนาง และถามอย่างเบาๆ “เจ้าเสร็จธุระแล้วหรือยัง พวกเราไม่ได้เจอกันสิบกว่าวันแล้วนะ ข้าคิดถึงเจ้าแล้ว”

ใบหน้าของเมิ่งเชี่ยนโยวแดงแปร๊ดโดยพลัน จ้องเขาเขม็ง แต่ตอบอย่างตรงไปตรงมา “จัดการอะไรในโรงงานเรียบร้อยแล้ว ข้ายังต้องไปเยี่ยมพวกนายทหารที่บาดเจ็บที่ร้านยาเต๋อเหรินอีกด้วย”

หวงฝู่อี้เซวียนพูดอย่างร้อนรน “ข้าไปกับเจ้าด้วย เยี่ยมเสร็จแล้วพวกเรากลับจวนอ๋องด้วยกัน”

เมิ่งเชี่ยนโยวหันกลับไปที่โรงงาน บอกเมิ่งฉีว่าตัวเองจะไปเยี่ยมทหารที่ได้รับบาดเจ็บเหล่านั้นที่ร้านยาเต๋อเหริน

หวงฝู่อี้เซวียนไม่ได้ตามเข้าไป ยืนคอยอยู่ที่ประตูโรงงาน

บรรดาผู้คนที่เฝ้ามองด้านนี้อยู่ตลอด ในเวลานี้ถึงจะได้เห็นใบหน้าของเขาอย่างชัดเจน ทุกคนต่างสูดลมหายใจเข้าด้วยความทึ่งใจตามๆ กัน และแอบพูดเบาๆ ว่า “ช่างมีรูปลัษณ์ที่งดงามน่าชมเสียเหลือเกิน เทียบกับหญิงสาวของพวกเราที่นี่แล้วยังดูงามยิ่งกว่า”

เมิ่งฉีพยักหน้า พูดว่า “หลังจากเยี่ยมเสร็จเจ้าไม่จำเป็นต้องกลับมาแล้ว กลับเข้าบ้านได้เลย”

เมิ่งเชี่ยนโยวรับคำ “อี้เซวียนกลับมาแล้ว เย็นนี้พี่รองให้หวงฝู่อวี้เลิกงานเร็วหน่อย จะได้กลับไปจวนอ๋อง เพราะเกรงว่าเรื่องวันนี้คงแพร่ออกไปในเมืองหลวงเป็นเวลานานแล้ว ป่านนี้พระชายาฉีคงเป็นกังวลแย่แล้ว”

“เข้าใจแล้ว อีกประเดี๋ยวไม่มีธุระใด ข้าจะให้เขากลับไปเร็วหน่อย”

เมื่อจัดการเรียบร้อยแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวเดินออกจากประตูใหญ่ของโรงงาน ชิงหลวนกับจูหลีพาม้ามารอที่ประตูด้านนอก ขณะที่กำลังคิดจะรับบังเ**ยนที่ชิงหลวนส่งให้ กลับถูกหวงฝู่อี้เซวียนอุ้มขึ้น และวางลงที่หลังม้าของตัวเอง แล้วกระโดดขึ้นอย่างว่องไว พร้อมโอบนางที่อยู่ด้านหลังกายเอาไว้

ผู้คนที่กำลังให้ความสนใจทางด้านนี้อยู่ตลอด ต่างส่งเสียงร้องด้วยความชอบใจ สีหน้าของเมิ่งเชี่ยนโยวแดงระเรื่อ หวงฝู่อี้เซวียนขี่ม้าด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม มุ่งไปยังร้านยาเต๋อเหริน

ชิงหลวน จูหลีรีบขึ้นม้า แล้วตามหลังไป

เมิ่งเชี่ยนโยวสั่งกัวเฟยให้พานายทหารที่บาดเจ็บเหล่านั้นไปส่งที่ร้านยาเต๋อเหริน ทันทีที่เหวินซื่อเห็นเขาส่งคนที่ได้รับบาดเจ็บจำนวนมากมาเช่นนี้ก็ตกใจอย่างยิ่ง แล้วสั่งให้พนักงานพันแผลให้พวกเขา พลางสอบถามว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น

กัวเฟยเล่าให้เขาฟังตามความเป็นจริง

เหวินซื่อได้ยินว่าฉู่เหวินเจี๋ยจับกุมคนไป ก็สบายใจขึ้น จึงสั่งให้คนนำยารักษาอาการบาดเจ็บภายนอกที่ดีที่สุดรักษาให้แก่พวกเขา

เมื่อเมิ่งเชี่ยนโยวและหวงฝู่อี้เซวียนเข้าประตูมา นายทหารที่บาดเจ็บทั้งหมดล้วนได้รับการพันแผลแล้ว และนั่งเรียงกันอยู่ในร้านยาเต๋อเหริน

เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวเข้ามา ทุกคนก็ลุกขึ้น ยืนตัวตรงและร้องเรียก “นายหญิง!”

เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า เดินเข้าไปใกล้ ตรวจดูอาการบาดเจ็บของพวกเขาครู่หนึ่ง แล้วถามขึ้น “รู้สึกอย่างไรบ้างเจ้าคะ”

 

[1] ปลายเช้า คือการนับเวลาแบบจีนสมัยโบราณ โดยแต่ละช่วงเวลาจะถูกแบ่งออกเพิ่มอีก 2 ช่วงคือ ช่วงต้นและช่วงปลาย ช่วงต้นเช้าคือเวลา 7.00-7.30 และช่วงปลายเช้าคือเวลา 8.30-9.00