บทที่ 638 วงแหวนเวทแปลกประหลาด

Throne of Magical Arcana ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา

บทที่ 638 วงแหวนเวทแปลกประหลาด
ลูเซียนกับไรห์นหันมองหน้ากัน แล้วก็ได้เห็นว่าต่างฝ่ายต่างมีสีหน้าประหลาดใจ ซาร์ดจงใจเผยตำแหน่งที่อยู่ของตนเองเช่นนั้นหรือ เขาจะนำทางทั้งสองไปที่ใดกัน

แม้ว่าทักษะอัญเชิญพระเจ้าแห่งจันทราเงินของไรห์นจะยังใช้การไม่ได้เพราะอาการบาดเจ็บ เขาก็ยังรู้สึกว่าตนเองอยู่ในสภาพพร้อมสู้ และบัดนี้ ‘เจ้าพ่อ’ ลูเซียนก็ค่อนข้างมั่นใจว่าตนมีอุปกรณ์เวทมนตร์พร้อมสรรพ ดังนั้น ทั้งสองคนจึงแยกย้ายกันและเคลื่อนที่เข้าไปใกล้ทางเดินที่มีต้นตอกลิ่นอายของซาร์ดด้วยความระแวงระไว

กลิ่นของซาร์ดเริ่มขยับไปตามทางเดินสายต่างๆ จนกระทั่งมาถึงห้องสีเทาไร้ความโดดเด่นที่อาจถูกมองข้ามไปได้อย่างง่ายดาย

ประตูห้องนั้นมิได้ปิดไว้ ทำให้ลูเซียนกับไรห์นมองเห็นสิ่งที่อยู่ภายในได้อย่างชัดเจนตั้งแต่ยังไม่ได้เข้าไป ตรงกลางห้องนั้นปรากฏหลุมลึก ลวดลายอักษรเวทมนตร์ดูน่าขนลุกเหนือจินตนาการ ผสมผสานกับสัญลักษณ์และพลังศักดิ์สิทธิ์จำนวนนับไม่ถ้วนมีอยู่ตรงก้นหลุมและด้านข้าง

ลวดลายและสัญลักษณ์เหล่านั้นหาได้มีเพียงเท่านี้ แต่กลับแผ่ขยายไปทั่วพื้นห้อง เหนือผนังขึ้นไป และหายลับไปกับความว่างเปล่า คล้ายกับจะแผ่ออกไปอย่างไร้ที่สิ้นสุด ทั้งห้องเหมือนถูกแบบจำลองเวทมนตร์ปกคลุมเอาไว้ ให้ความรู้สึกน่าเคารพบูชาและแปลกประหลาดในขณะเดียวกัน

ที่ก้นหลุม เศษชิ้นส่วนสีเทาเลือนรางถูกดึงเข้าไปประกอบกันเป็นรูปร่างมนุษย์ ผู้ค่อยๆ คืบคลานไปยังจุดศูนย์กลาง

“นี่มันแบบจำลองเวทมนตร์ที่ซับซ้อนและเข้าใจยากที่สุดเท่าที่ข้าเคยเห็นมาเลย” ลูเซียนมี ‘เวทเปลวไฟนิรันดร์’ ที่ผู้มีพลังชั้นตำนานระดับสามเท่านั้นจึงจะเรียนรู้ได้ ‘เวทหัตถ์แห่งความไม่แน่นอน’ ซึ่งนับเป็นเวทมนตร์ที่อยู่เหนือจินตนาการของเหล่าจอมเวทในยุคปัจจุบัน และเขายังเคยเห็นปราการป้องกันของอัลลินมาแล้ว ทว่า วงแหวนเวทนี้กลับซับซ้อนกว่าทั้งหมดที่ว่ามานี้ อีกอย่าง นี่ยังเป็นเพียงปลายยอดของภูเขาน้ำแข็งเท่านั้น ลูเซียนเชื่อว่าลวดลายที่หายลับไปกับความว่างเปล่า บนพื้น และเลยเพดานไปนั้น หาได้หายไปไหน แต่แท้จริงแล้วเชื่อมโยงกับทวาราจักรและโลกแห่งวิญญาณทั้งใบไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง พวกมันมีโครงสร้างแบบเดียวกัน!

ลูเซียนพูดเช่นนั้นได้อย่างมั่นใจในฐานะมหาจอมเวทผู้หนึ่ง

ท่าทางไรห์นดูแปลกชอบกล ราวกับว่าภาพตรงหน้าทำให้เขานึกถึงบางอย่าง และท้ายที่สุด เขาก็เอ่ยปาก “ข้าเคยเห็นส่วนหนึ่งของลวดลายพวกนี้จากธานอส ข้าไม่รู้ว่าเขาเตรียมศึกษาของพรรค์นั้นตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว”

ซาร์ดเดินคืบคลานอยู่ตรงก้นหลุมลึก ดูไม่ว่องไวเหมือนเมื่อครู่ก่อนนี้ ลูเซียนจึงมีเวลาครุ่นคิดว่าควรจะหยุดอีกฝ่ายดีหรือไม่ และยังมีเวลาพอจะถามกลับไปด้วยความสงสัยใคร่รู้ “ท่านไรห์นกับท่านธานอสเป็นสหายสนิทกันหรือขอรับ”

“ข้าชอบคบหากับคนหนุ่มมากสามารถและเฝ้าดูพวกเขาเติบโต และบางคราข้าก็ถึงกับเปลี่ยนคนโปรดของข้าเป็นแวมไพร์ เพราะฉะนั้น ข้าจึงมีสหายสนิทมากมาย และธานอสก็เป็นหนึ่งในนั้น แน่นอนว่าเขายังเป็นหนึ่งในผู้มีความสามารถเจิดจรัสดั่งสัตว์อสูรอีกด้วย เหอะๆ เจ้าน่ะเก่งกว่าเขาเสียอีกหากเป็นเรื่องของอาร์คานา” ไรห์นตอบด้วยใบหน้ายิ้มๆ

ลูเซียนนิ่งคิดไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยออกมาด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย “สมกับเป็นผู้สังเกตการณ์จริงๆ ขอรับ เวลาท่านเปิดตำราประวัติศาสตร์และสุ่มชี้ไปที่ชื่อใครสักคน ท่านก็คงจะบอกได้ว่ารู้จักเขาและเคยเฝ้ามองการเจริญเติบโตของเขามาก่อน นั่นคงเป็นความรู้สึกแสนพิเศษและเพลิดเพลินใจน่าดูนะขอรับ”

“นั่นเป็นหนึ่งในงานอดิเรกไม่กี่อย่างของข้าในตอนนี้” ไรห์นว่า “น่าเสียดายที่ข้าไม่ได้เห็นการเติบโตของดักลาส บุรุษผู้ยิ่งใหญ่เทียบเท่าธานอส หรืออาจจะมากกว่าด้วยซ้ำ อย่างไรเสีย เขาก็เป็นถึงผู้ก่อตั้งเส้นทางแห่งอาร์คานาผ่านความยากลำบากแสนสาหัสและรักษาเวทมนตร์เอาไว้ได้ เพียงสี่ร้อยปีหลังการพัฒนา กลุ่มของเขาก็เลื่อนขึ้นสู่ระดับเดียวกับที่อาณาจักรเวทมนตร์โบราณทำสำเร็จได้หลังจากพยายามพัฒนามากว่าหนึ่งพันปี และยังมีจำนวนผู้มีพลังชั้นตำนานเก่งๆ เท่ากับยุคสมัยอันรุ่งเรืองของอาณาจักรเวทมนตร์เลยด้วย”

“ทำไมล่ะขอรับ ข้าชื่นชมท่านประธานตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้อ่านคำถามที่เป็นแรงบันดาลใจทั้งหลาย และเชื่อว่าท่านคือหนึ่งในผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก ข้าไม่คิดว่าท่านไรห์นจะมองไม่เห็นเรื่องนี้นะขอรับ” ลูเซียนถามด้วยความงุนงง คนผู้นี้คือผู้สังเกตการณ์ที่สนับสนุนคนหนุ่มสาวมาแล้วหลายต่อหลายเชียวนะ

ไรห์นส่ายหน้า “ดักลาสมิได้โดดเด่นนักในช่วงปีท้ายๆ ของอาณาจักรเวทมนตร์และช่วงต้นสงครามแห่งรุ่งอรุณ บางทีอาจเพราะนิสัยชอบถามคำถามกับกรอบความคิดอันพิสดารของเขา นักเวทคนอื่นๆ ในนครแอนทิฟเฟอร์จึงไม่ชมชอบเขาสักเท่าไหร่ อีกอย่าง ตัวเขาเองก็มิได้แข็งแกร่งมากและเลื่อนระดับพลังตามปกติสามัญ ไม่แปลกที่เขาจะถูกอัจฉริยะบุคคลมากมายในเวลานั้นบดบังประกาย นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมข้าจึงมองข้ามเขาไปและไม่ได้เข้าไปทำความรู้จักกับเขา”

“ส่วนระบบอาร์คานาที่เขาสร้างขึ้น ก็เป็นขอบเขตพลังที่ข้าไม่รู้อะไรเกี่ยวกับมันเลยสักนิด ดังนั้น ข้าจึงไม่ได้เฝ้าดูมหาจอมเวทและนักเวทชั้นตำนานในสภาเวทมนตร์เติบโตขึ้นเลยสักคน ยกเว้นเจ้า”

ความสงสัยของลูเซียนได้รับคำตอบเป็นที่น่าพอใจแล้ว และเมื่อเห็นว่าซาร์ดกำลังจะไปถึงจุดศูนย์กลางของหลุม เขาจึงถามขึ้น “เราควรหยุดเขาหรือไม่ขอรับ”

“เจ้าระบุการทำงานของมันได้หรือไม่ ข้าเชื่อว่าวงแหวนเวทวงนี้คือแกนหลักของห้องทดลอง แต่เราไม่อาจทดสอบมันด้วยตนเองได้ ทว่า หากวงแหวนเวทนี้มีพลังในการเปลี่ยนผู้รับการทดสอบเป็นสัตว์อสูรแล้วล่ะก็ ซาร์ดจะต้องโจมตีเราหลังจากแปลงกายแล้วเป็นแน่…” ไรห์นดูท่าทางกระตือรือร้นกับการหาคำตอบว่าซาร์ดต้องการสิ่งใด

ลูเซียนส่ายศีรษะ “ข้าบอกได้แค่ว่ามันเกี่ยวข้องกับการคืนชีพ อย่างที่ได้เห็นว่าเพลิงต้นกำเนิดกลับมามีชีวิตอีกครั้งได้หลังจากที่เขาถูก ‘เวทดาวตกชี้ชะตา’ บดขยี้จนไม่เหลือชิ้นดี ว่ากันตามตรง มันเป็นเหมือนสามัญสำนึกที่ว่า ยิ่งวงแหวนเวทมีความละเอียด ซับซ้อน และทรงพลังมากเท่าไหร่ มันยิ่งถูกบ่อนทำลายในระหว่างการแสดงผลได้ง่ายดายเท่านั้น เราลองดูก่อนก็ได้ขอรับว่าซาร์ดจะเป็นอย่างไร หากเกิดความผิดพลาดใดขึ้น เราจะก่อกวนมันในช่วงเวลาสำคัญที่สุด หากว่าวงแหวนเวทสร้างปราการป้องกันขึ้นทันทีที่เริ่มแสดงผล เราก็จะทำลายมันทันที!”

“ก็ได้” ไรห์นเกลียดชังซาร์ดอยู่แต่แรกแล้ว เขาจึงเห็นดีเห็นงามหลังจากได้ฟังคำอธิบายของลูเซียน

โครงร่างมนุษย์ถือกำเนิดจากชิ้นส่วนสีเทาที่อยู่ภายในดาวหกแฉกตรงกลางหลุม เส้นสายพลังเวทรอบกายเขาเปล่งประกายเรืองรองขึ้นทีละเส้นๆ แผ่รัศมีสีเงินบริสุทธิ์ออกมา

หลังจากที่เส้นสายพลังเวทส่องแสงจนครบ มวลอากาศแห่งความตายอันหนาแน่นชวนให้แข็งทื่อก็ไหลทะลักเข้าไปตามลวดลายบนพื้นและผนัง ชักนำความเงียบงันและความหนาวเหน็บเข้ามา

‘มันใช้ประโยชน์จากพลังของโลกแห่งวิญญาณจริงๆ ด้วย’ ลูเซียนฉวยโอกาสนี้จดบันทึกและวิเคราะห์วงแหวนเวทตรงหน้าตน

ในตอนนั้นเอง ลวดลายทั้งหลายที่แผ่ขยายหายไปกับความว่างเปล่าก็อาบไล้ด้วยแสงที่ดูศักดิ์สิทธิ์จนล้นปรี่ และกระแสธารอันกว้างใหญ่สูงส่งยังไหล่บ่าลงไปในหลุมอีกด้วย

‘พลังของหุบเขาวิมาน…’ ลูเซียนประหลาดใจจนไม่รู้จะประหลาดใจอย่างไรแล้ว ความตายกับชีวิต ความชั่วร้ายกับความศักดิ์สิทธิ์เช่นนั้นหรือ

ก่อนหน้านี้เขายังไม่กล้าพอ จึงมองข้ามการอนุมานว่าวงแหวนเวทจะดึงพลังจากหุบเขาวิมานมาใช้!

สีดำ ขาว และเทาอันทึบทึมกับแสงเจิดจรัสบริสุทธิ์หลอมรวมเข้ากับโครงร่างโปร่งแสงของซาร์ดตรงใจกลางหลุม แต่แล้ว พวกมันกลับพันรัดจนมีรูปร่างแปลกประหลาดเหนือจินตนาการ ขณะที่ลูเซียนสังเกตการณ์อยู่นั้น บางคราพวกมันก็แผ่รัศมีทึบทึมสีดำ ขาว และเทา บางครั้งก็แผ่รัศมีเจิดจำรัสสีขาวงาช้างดูเปี่ยมด้วยชีวิตชีวา

ร่างกายซาร์ดเปลี่ยนแปลงไปมาอย่างฉับไวขณะที่แสงเหล่านั้นโอบล้อมรอบกาย และบัดนี้แสงบนร่างของเขาก็ริบหรี่ลงอย่างถึงที่สุดและดูเหมือนจะมีเลือดเนื้อขึ้นมาแล้ว ความรู้สึกถึงเลือดเนื้อที่สัมผัสได้นั้นเริ่มรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ

“มันคือการคืนชีพจริงๆ หรือนี่” ไรห์นถามผ่านกระแสจิต

ฉับพลันนั้น แสงศักดิ์สิทธิ์สูงส่งท่วมท้นอย่างที่สุดก็ปรากฏขึ้นในร่างกายซาร์ด แล้วเสียงเพลงสรรเสริญแสนไพเราะก็ดังก้องสะท้อนไปทั่วห้อง พลังงานชีวิตและความตายที่พัวพันกันยุ่งเหยิงพลันถูกก่อกวน แล้วเส้นแบ่งระหว่างความชั่วร้ายกับความศักดิ์สิทธิ์ก็ถูกขีดขึ้น

ร่างของซาร์ดกลับกลายเป็นเพียงชิ้นส่วนสีเทาอีกครา ซึ่งดูเหมือนถูกสร้างขึ้นจากความสิ้นหวังเสียใจอย่างสุดซึ้ง

“ข้าควรได้รับสิ่งที่ดีกว่านี้…”

ท่ามกลางเสียงโหยไห้ทุกข์ตรมแผ่วเบา ชิ้นส่วนสีเทาพลันเน่าเปื่อยสูญสลาย และแล้วซาร์ดก็ลาลับจากโลกนี้ไปโดยสมบูรณ์

ทั้งไรห์นและลูเซียนต่างผงะตกใจกับการเปลี่ยนแปลงนั้น เวลาผ่านไปนานทีเดียวกว่าที่ลูเซียนจะเอ่ยออกความเห็นด้วยความเยาะหยันกึ่งๆ ตกตะลึง “ซาร์ดพยายามอย่างหนักเพื่อดึงดูดเราให้ตามเขามาที่นี่ เพียงเพื่อจะให้เขาตายลงตรงหน้าเราอย่างนั้นหรือ”

ไรห์นเกลียดชังซาร์ดชนิดเข้าไส้ แต่ตอนนี้เขามีแต่ความสับสนกับการตายอย่างกะทันหันของอีกฝ่าย เขารู้สึกขบขันกับคำพูดของลูเซียนในทันที “เขาอาจพยายามตายต่อหน้าเราจริงๆ ก็ได้”

หลังจากเอ่ยเยาะหยัน ลูเซียนก็ทบทวนถึงเหตุการณ์ที่ตนเห็นแล้วสูดหายใจเข้าลึก “อย่างน้อย ข้าก็พอจะคาดคะเนเกี่ยวกับความพยายามของวงแหวนเวทนี้ได้ในขั้นต้นแล้ว มันควรจะเป็นมากกว่าการคืนชีพ…ซาร์ดพยายามจะบอกเราถึงการทำงานของวงแหวนเวทด้วยการคืนชีพให้ตัวเองเช่นนั้นหรือ”

“น่าเสียดาย เขาไม่รู้ว่าพลังพระเจ้าเสด็จจะแข็งแกร่งทรงอำนาจมากเสียจนเศษเสี้ยวพลังยังคงหลงเหลืออยู่ถึงตอนนี้ เขาเป็นคนทะเยอทะยาน เฉลียวฉลาด และเป็นผู้วางอุบายได้อย่างแยบยล แต่เขากลับทำได้เพียงร้องบอกว่าเขาควรได้รับสิ่งที่ดีกว่านี้ในวินาทีสุดท้ายของชีวิต” ไรห์นรู้สึกสับสนไม่น้อยที่ผู้วางอุบายที่เคยหลอกล่อเขาได้สำเร็จ กลับต้องมามีจุดจบเช่นนี้

ลูเซียนส่ายหน้า “ปัญหาใหญ่ที่สุดของเขาก็คือ การที่เขาไม่ตระหนักถึงทิศทางประวัติศาสตร์ สภาเวทมนตร์พัฒนาก้าวหน้าไปเร็วกว่าที่เขาคาดคิด แต่เขากลับทวนกระแสทิศทางนั้น หากว่าเขาตัดสินใจแยกตัวจากศาสนจักรฝ่ายใต้จริงๆ ก็เป็นไปได้มากว่าเขาจะกลายเป็นพระสังฆราชชั้นตำนานอันดับต้นๆ ไปแล้วตอนนี้ ทิศทางประวัติศาสตร์คือสิ่งที่ไม่อาจหยุดยั้งได้ ผู้ใดก็ตามไปยืนขวางทางมัน จะถูกมันบดขยี้ไม่เหลือชิ้นดี”

หลังจากสังเกตการณ์แล้วเสร็จ จู่ๆ ลูเซียนก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกจิ “ท่านไรห์นขอรับ หากว่าซาร์ดมั่นใจว่าเขาจะฟื้นคืนชีพได้ เขาก็ไม่มีความจำเป็นใดๆ เลยที่จะนำทางเรามาที่นี่ เขาจะไปหาเราหลังจากฟื้นคืนชีพแล้วก็ได้นี่ขอรับ เพราะเราสองคนอาจลงมือสังหารเขาถ้าเกิดว่าเรายับยั้งใจไม่อยู่ หากว่าเขามั่นใจว่าจะฟื้นคืนชีพได้จริงๆ เขาก็น่าจะบอกสิ่งที่ต้องการให้เรารู้ล่วงหน้าได้นี่ขอรับ”

ไรห์นครุ่นคิดอย่างหนักเมื่อได้ยินคำพูดของลูเซียน “เจ้าจะบอกว่าเขาพาเรามาที่นี่ตามคำสั่งของผู้อื่นโดยที่จุดประสงค์คือการให้เราเห็นวงแหวนเวทวงนี้ และมันหาได้สำคัญไม่ หากว่าสุดท้ายแล้วซาร์ดจะรอดหรือตายเช่นนั้นน่ะรึ”

“ขอรับ ผู้ที่สั่งการเขาย่อมต้องเป็นผู้ที่ทำให้เขาใช้พลังพระเจ้าเสด็จได้เป็นแน่” ลูเซียนพยักหน้าหงึกหงัก “แต่ข้านึกไม่ออกเลยว่าจะเป็นผู้ใดได้ ราชาแห่งทูตสวรรค์เองก็ใช้พลังพระเจ้าเสด็จไม่ได้…”

ไรห์นมองไปทางวงแหวนเวทที่หยุดทำงานไปแล้ว ก่อนจะเอ่ยตอบ “เจ้ามีความเห็นอย่างไรเกี่ยวกับการทำงานของวงแหวนเวทวงนี้หรือ”

“เราไปหาบันทึกการทดลองกันก่อนดีกว่าขอรับ ข้าจำเป็นต้องยืนยันความคิดเสียก่อน” ขณะยังคงคิดใคร่ครวญ ลูเซียนก็ออกจากห้องสีเทานั้นไปและเปิดดูห้องทดลองเล็กกับห้องสมุดทั้งหลาย และค้นเอาเอกสารทั้งหมดที่เหลืออยู่ออกมา

เป็นอย่างที่มาสเกลีนแนะ แม้ว่าห้องทดลองหลักจะถูกทำลายไปแล้ว แต่บันทึกการทดลองบางส่วนยังถูกเก็บไว้อย่างดี ลูเซียนกับไรห์นช่วยกันจัดเรียงเอกสารพวกนั้นตามลำดับเวลา

บนกระจกเงาภายในห้องหนึ่ง ปรากฏเงาสะท้อนของลูเซียนและไรห์น ทั้งสองเริ่มอ่านบันทึกการทดลองที่เนื้อหาไม่สมบูรณ์ เพราะบันทึกส่วนใหญ่ถูกทำลายไปแล้ว ตั้งแต่ต้น

บันทึกบางส่วนเป็นของธานอส บ้างก็เป็นส่วนที่มาสเกลีนกับเหล่านักเวทชั้นตำนานคนอื่นๆ ก่อนหน้านี้ทิ้งเอาไว้ และมีเพียงส่วนท้ายๆ เท่านั้นที่เขียนขึ้นหลังจากที่บรรดานักสำรวจเข้ามาในทวารานาจักรแล้ว

‘ช่วงเตรียมการขั้นต้น: เราบังเอิญจับสัตว์อสูรแปลกๆ ที่มีความคล้ายคลึงกับเทพเจ้าในนิทานปรัมปราได้ในมิติอื่น บางทีเราอาจจะเรียกมันว่า “พระเจ้าเทียมเท็จ” ก็ได้’

…………………………………