เล่มที่ 17 ตอนที่ 4

Memorize

ผมพยักหน้าให้คำพูดที่สมเหตุสมผลของอีฮโยอึลเงียบๆ หลังจากส่งบันทึกนั้นต่อให้โกยอนจูแล้ว ผมก็พาแพคซอยอนไปนั่งที่เก้าอี้ เพราะค่อยๆ หย่อนตัวลงนั่ง ทำให้ผมต้องลำบากในท่านั้นอยู่เล็กน้อย เมื่อผมเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง ก็ได้พบกับสายตามากมายที่ส่งมาทางผม ในสายตาเหล่านั้นเต็มไปด้วยความสงสัยใคร่รู้ 

 

แม้มีความแตกต่างกันอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้น้อยลงเลย ผมยืดตัวขึ้นแล้วสบตากับพวกเขาโดยตรง ผมพูดขึ้นพร้อมก้าวเท้าออกไปอย่างมั่นใจ 

 

“ยินดีที่ได้รู้จักครับ ผมคิมซูฮยอน ปัจจุบันอาศัยอยู่ที่โมนิก้าและเป็นผู้บริหารจัดการเผ่าเมอร์เซนต์นารี่ซึ่งเป็นเผ่าทหารรับจ้างอิสระครับ” 

 

เมื่อผมจบคำทักทายอย่างง่ายๆ ลง ก็มีเสียงปรบมือเบาๆ ดังตามมา และในตอนนั้น ใบหน้าของพี่ก็ปรากฏเข้ามาในสายตา 

 

พี่มองผมด้วยใบหน้าที่แสนประทับใจอย่างสุดซึ้ง เหมือนสายตาของพ่อแม่ที่มองดูลูกชายคนโตของตนไม่มีผิด อย่างไรก็ตาม ผมก็อธิษฐานให้พี่เขาช่วยอยู่เงียบๆ ในครั้งนี้ด้วย แล้วจึงส่งหน้าที่ต่อให้อีฮโยอึล แต่หล่อนก็เข้ามาใกล้ผมโดยที่ผมไม่รู้ตัวเสียแล้ว 

 

“ถึงแม้ว่าทุกท่านจะรู้เรื่องคร่าวๆ จากฉันมาบ้างแล้ว แต่ก็คงมีท่านที่อยากมายืนยันต่อหน้าด้วยตาตัวเองอยู่มากทีเดียว ความจริงแล้ว ท่านที่คิดเช่นนั้นมีเยอะเลยสินะคะ?” 

 

อีฮโยอึลยกหางเสียงขึ้น แล้วจู่ๆ ก็มาจับที่แขนผมและพูดต่อ 

 

“ท่านที่ยืนอยู่ตรงนี้ เป็นผู้เล่นที่มีความผูกพันลึกซึ้งกับฉัน เป็นน้องชายแท้ๆ ของแคลนลอร์ดแฮมิลที่อยู่ทางโน้น และเป็นผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตฉันเอาไว้ แน่นอนว่าย่อมมีสิ่งที่สำคัญที่สุด ทุกท่านคงจะได้ยินข่าวลือกันมาหมดแล้วนะคะ เมื่อครั้งที่พวกเร่ร่อนโจมตีครั้งแรกนั้น ในวันนั้นแคลนลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่เองก็อยู่ที่มิวล์ด้วย…” 

 

“ผมมีจุดที่สงสัยเกี่ยวกับส่วนนั้น ต้องการจะถามแคลนลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่ครับ” 

 

ในตอนนั้นใครบางคนก็ถามขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง เมื่อผมหันไปมองก็เห็นชายคนหนึ่งที่นั่งอยู่แถวทางซ้ายมือกำลังยกมือขึ้นถามอยู่ เมื่อลองมองดูก็เห็นว่ามีคำว่า ‘ซู’ สักเอาไว้อยู่ ผมกำลังจะพยักหน้าให้ แต่อีฮโยอึลก็ก้าวมาข้างหน้าหนึ่งก้าวแล้วห้ามเอาไว้ 

 

“ไม่เห็นหรือว่าฉันกำลังพูดอยู่น่ะ” 

 

“ขะ ขอโทษครับ แต่เพราะผมสงสัยจริงๆ…” 

 

“ฉันบอกไปไม่รู้กี่ครั้งแล้วแท้ๆ…จิ๊ แต่เอาเถอะ ตอนนี้ฉันยังไม่อนุญาตให้ถาม ยังไงก็จะมีเวลาให้ถามอยู่แล้ว ไว้ค่อยถามแล้วกัน” 

 

“ครับ! เข้าใจแล้วครับ” 

 

อีฮโยอึลพ่นลมหายใจออกมาเบาๆ พร้อมกันนั้นหล่อนก็ได้จับเส้นผมของแพคซอยอนขึ้นมา เปิดเผยใบหน้าให้ทุกคนได้เห็น 

 

“ขอโทษนะคะ แต่ฉันขอพูดอีกรอบ หญิงสาวที่นั่งอยู่ตรงนี้คือพวกเร่ร่อนชื่อแพคซอยอน เป็นบุคคลที่มีชื่อเสื่อมเสียมากมายนัก ฉันเชื่อว่าไม่มีท่านใดที่ไม่ทราบเรื่องนี้ แคลนลอร์ดเมอร์เซนต์นารี่คะ จะไม่อธิบายอย่างง่ายๆ ให้ทุกท่านที่นี่ทราบสักหน่อยหรือคะว่าจับกุมหญิงเร่ร่อนคนนี้ได้อย่างไรกัน” 

 

“ครับ หลังออกจากมิวล์และอยู่ระหว่างทางกลับเมือง พวกเราโดนพวกเร่ร่อนสะกดรอยตามาครับ ผมกับพวกผู้เล่นที่อยู่ด้วยกันได้เปิดสงครามกับคนพวกนั้น ผมจับเชลยมาได้หลายคนพร้อมกับเอาชนะพวกมันได้ เรื่องก็มีเพียงเท่านี้แหละครับ”  

 

ผมพูดง่ายๆ ตามที่อีฮโยอึลบอก แต่เนื้อเรื่องที่พูดไปนั้นไม่ได้ง่ายด้วยเลย ผมรู้สึกได้ถึงเสียงที่ดังอึกทึกในห้องประชุมที่เคยเงียบสงบ 

 

เพราะพวกเขาเองก็รู้ว่าเป็นปีแรกของผม ดังนั้นปฏิกิริยาแบบนี้จึงไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด ผมลองตั้งใจฟังบรรดาเสียงเซ็งแซ่ที่ดังก้องห้องประชุมดู 

 

“อะไรกัน ถ้างั้นแสดงว่าข่าวลือเป็นจริงงั้นเหรอ ไม่ใช่เรื่องโม้หรอกเหรอ” 

 

“ไม่รู้จะพูดอะไรเลย เพราะฉันเองก็คิดว่าเป็นเรื่องหลอกลวงเหมือนกัน ก่อนหน้านี้ฉันได้เจอกับผู้เล่นคนหนึ่งที่หนีจากมิวล์มาได้…” 

 

“เป็นปีซวยจริง ในที่สุดก็โดนจับสินะ” 

 

“สมน้ำหน้า คราวฉิบหายของพวกเร่ร่อนจริงๆ” 

 

พวกผู้เล่นพยายามดูให้แน่ชัดว่านั่นคือแพคซอยอนจริงๆ แล้วยังมีผู้เล่นหลายคนที่แสดงสีหน้าโกรธแค้นออกมา แต่ถึงอย่างนั้น แพคซอยอนก็ยังคงสร้างความสัมพันธ์ที่ไม่ดีมากกว่าผมไปขั้นหนึ่งอยู่ดี 

 

ผ่านไปประมาณหนึ่งนาที อีฮโยอึลจึงยกมือขึ้นมา ทำให้ความโกลาหลนั้นสงบลง หล่อนปล่อยเส้นผมของแพคซอยอนลงแล้วพูดต่อ 

 

“ถ้าเช่นนั้น เนื่องจากหลายท่านต้องการมีส่วนเกี่ยวข้อง ฉันจึงจะขอเข้าสู่ขั้นตอนการตรวจสอบนะคะ ราชินีแห่งเงามืด?” 

 

“ค่ะ ฉันพร้อมแล้ว” 

 

อีฮโยอึลขยิบตาให้กับคำตอบที่ดูสดชื่นของโกยอนจูแล้วจึงค่อยๆ ผงกหัวช้าๆ 

 

“ดีเลยค่ะ ถ้าอย่างนั้นจะตอบคำถามที่เขียนไว้ในบันทึกใช่ไหมคะ ช่วงถามคำถามตั้งแต่ข้อหนึ่งถึงข้อสี่เลยค่ะ” 

 

“ค่ะ ถ้าอย่างนั้น ขอเวลาสักครู่ค่ะ” 

 

โกยอนจูย้ายไปตรงหน้าแพคซอยอนตามคำขอของอีฮโยอึล ผมถอยหลังออกมาแล้วย้ายไปยืนอยู่ข้างอันซลที่ยืนทำหน้าไม่สบายใจอยู่ โกยอนจูเชยคางแพคซอยอนขึ้นมา พร้อมกับกวาดตามองโดยรอบ 

 

“จะเริ่มเดี๋ยวนี้แล้วค่ะ” 

 

หล่อนถือบันทึกที่มีคำถามไว้ในมือซ้ายแล้วเริ่มอ่านคำถามด้วยน้ำเสียงเหนื่อยล้า 

 

“ข้อหนึ่งผู้เล่นของทวีปทางตะวันตกและพวกเร่ร่อนที่เข้ารุกรานทวีปทางเหนือ มีจำนวนทั้งหมดเท่าไหร่” 

 

“ฉันไม่รู้รายละเอียดนัก…แต่รู้ว่ามีประมาณหนึ่งหมื่นห้าพันคนค่ะ” 

 

เสียงแหบแผ่วเบาที่มีพลังเพียงเล็บมือจนไม่สามารถหาเสียงได้ ดังขึ้นท่ามกลางห้องประชุม จนถึงตอนนั้น เสียงดังวุ่นวายภายในห้องประชุมก็พลันหายไปทันที อีฮโยอึลจึงได้ถามคำถามถัดไป 

 

“ข้อสอง ถ้าอย่างนั้นผู้เล่นที่บัญชาการผู้เล่นของทวีปทางตะวันตกคือใครกัน” 

 

“ชื่อไซม่อนค่ะ ข้อมูลโดยละเอียดนั้น ฉันเองก็ไม่ทราบเช่นกัน แต่ได้ยินว่าเขาเป็นชายหนุ่มที่ดูเหมือนว่าจะเป็นผู้กุมอำนาจสูงสุดในเขตนอกกฎหมายของทวีปทางตะวันตกค่ะ” 

 

“ข้อสาม เหตุผลที่พวกเร่ร่อนเข้ารุกรานทวีปทางเหนือก็เพื่อล้างแค้นจากแผนการล้างเผ่าพันธุ์พวกเร่ร่อนใช่หรือไม่” 

 

“ไม่ใช่นะคะ จริงอยู่ที่มีความแค้นเป็นส่วนหนึ่ง แต่นั่นไม่ใช่จุดประสงค์สุดท้ายหรอกค่ะ” 

 

เป็นคำพูดที่คาดไม่ถึง เสียงวุ่นวายที่เกือบจะเงียบลงไปแล้วกลับเริ่มดังขึ้นมาอีกครั้ง แต่ว่ายังไม่ทันที่แพคซอยอนจะตอบจนจบ ดวงตาของหล่อนก็กลับเป็นมันวาวไปด้วยสีขี้เถ้า 

 

“ถ้าอย่างนั้น จุดประสงค์หลักของพวกเร่ร่อนคืออะไรกันแน่” 

 

“มันคือ…” 

 

แพคซอยอนเว้นช่วงไปสักพัก แล้วจึงพูดต่อจนจบด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง 

 

“การเปลี่ยนทวีปทางเหนือให้เป็นตะวันตกค่ะ” 

 

ทวีปทางตะวันตกเป็นพื้นที่ที่แตกต่างกับทวีปอื่นๆ โดยสิ้นเชิง ถ้าหากทวีปทางตะวันออก ใต้และเหนือต่างกำลังเตรียมตัวอย่างเป็นจริงเป็นจังเพื่อที่จะได้รับซีโร่โค้ดตามเป้าหมายของแต่ละทวีป ก็จะเห็นได้ว่าทวีปตะวันตกนั้นเป็นทวีปที่มีสงครามกลางเมืองไม่เคยหยุดหย่อน เป็นที่ที่การฆ่าฟัน, ปล้นจี้, ข่มขืนกระทำชำเรา และการกระทำชั่วร้ายทั้งหมดทั้งปวงเกิดขึ้นเป็นประจำ 

 

เป็นทวีปที่แสดงให้เห็นตอนจบของฉากสุดท้ายจนเรียกได้ว่าเป็น ‘เขตนอกกฎหมาย’ นั่นเอง 

 

เพราะแบบนั้นคำพูดของแพคซอยอนที่ว่า ‘การเปลี่ยนทวีปทางเหนือให้เป็นตะวันตก’ นั้น จึงมีน้ำหนักไม่เบาทีเดียว 

 

ตามคาด เมื่อแพคซอยอนพูดจบ ภายในห้องประชุมก็เริ่มเกิดความวุ่นวาย เสียงโหวกเหวกหนวกหูเป็นเรื่องที่แน่นอนอยู่แล้ว พวกเขาต่างมองหน้ากันไปมา ดูคล้ายกำลังสับสนงงงวยกันไม่เบาเลยทีเดียว 

 

“หยุด! ได้ฟังเรื่องทั้งหมดกันมาก่อนแล้วแท้ๆ ทำไมถึงยังวุ่นวายแบบนี้อีก” 

 

และในตอนนั้นเอง เสียงตะโกนแหลมบาดหูของอีฮโยอึลก็ดังขึ้น ตั้งแต่ที่ผมเข้ามาในห้องประชุม ภาพของหล่อนที่ผมเห็นนั้นดูต่างจากครั้งก่อนที่พบกันมากนัก ความจริงหล่อนบอกว่าทำหน้าที่ผู้พิทักษ์มาเจ็ดปีแล้ว นอกจากหล่อนจะได้รับประสบการณ์โดยการประทับตราในช่วงนั้น ถ้าหากหล่อนไม่เปิดเผยความสามารถในการครอบครองคงน่าเสียดายแย่ 

 

“ยังมีคำถามเหลืออยู่อีก สิ่งที่ฉันอยากจะบอกก็ยังมีอีกมากมาย ไคลแม็กซ์ก็ยังไม่ออกมาเลยด้วยซ้ำ หากรีบตกใจกันเสียตั้งแต่ก่อนหน้านี้ คงลำบากกันแย่เลยนะคะ” 

 

“เฮ้อ หากนี่ไม่ใช่ไคลแม็กซ์ แล้วมันคืออะไรกันแน่ล่ะ อีฮโยอึล?” 

 

ขณะนั้น บุคคลสำคัญท่านหนึ่งที่นั่งเงียบอยู่ ณ ที่นั่งอันทรงเกียรติมาตลอดจนถึงตอนนี้ก็ได้เอ่ยขึ้น อายุของท่านผู้นั้นดูราวสี่สิบกว่าๆ น่าจะได้ เป็นชายรูปงามที่มีดวงตาเป็นมิตรและเครื่องหน้าที่เด่นชัด อีฮโยอึลเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยให้กับลักษณะการพูดที่แฝงไว้ด้วยความหยิ่งยโส แล้วตอบออกไป 

 

“ถ้ารอดูก็จะทราบเองค่ะ แคลนลอร์ดโครยอ” 

 

หล่อนมองไปยังโกยอนจูที่ยืนเหม่อลอยอยู่แล้วจึงพูดต่อ 

 

“ราชินีแห่งเงามืด ช่วยถามต่อทีได้ไหมคะ” 

 

โกยอนจูผงกหัวช้าๆ แล้วจึงเริ่มถามคำถามกับแพคซอยอนอีกครั้ง 

 

“การเปลี่ยนทวีปทางเหนือให้เป็นตะวันตก เธอช่วยพูดเรื่องนี้ให้ละเอียดกว่านี้หน่อยจะได้ไหม” 

 

คำถามใหม่ถูกถามขึ้น เพียงพริบตาเดียว ทุกอย่างก็กลับมาเงียบสงบอีกครั้ง ทุกคนที่นี่ต่างมุ่งสายตาไปที่ปากของแพคซอยอน และให้ความสนใจอย่างใกล้ชิด ขณะที่กำลังตกอยู่ในสายตาของทุกคน ริมฝีปากของหล่อนก็ขยับแยกออก 

 

“ค่ะ ก้าวแรกเพื่อการเปลี่ยนทวีปทางเหนือให้เป็นตะวันตก ก็คือการสังหารผู้พิทักษ์ของทวีปทางเหนือค่ะ ซึ่งตอนนี้ก็สำเร็จไปแล้วด้วยการสังหารแม่ทูนหัวค่ะ” 

 

“อะไรนะ นี่เธอกำลังบอกว่าไอ้พวกเร่ร่อนมันสังหารแม่ทูนหัวอย่างนั้นเหรอ” 

 

เมื่อหล่อนพูดต่อ เสียงพูดคุยราวกับปะทัดก็ดังขึ้นตามมา แม้ว่าจะได้ฟังจากอีฮโยอึลมาบางส่วนแล้วก็ตาม  แต่การรับฟังมากับการได้มาฟังเองโดยตรงก็ยังมีความแตกต่างอยู่ โดยเฉพาะยิ่งเป็นคำที่พูดต่อหน้า ‘ดวงตาแห่งการล่อลวง’ ที่ช่วยสกัดกั้นความน่าจะเป็นที่หล่อนจะโกหกไว้อีกด้วย 

 

“ถ้าอย่างนั้น ไม่ใช่ว่าเป็นฝีมือของโดยองรกหรอกเหรอ” 

 

“นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันแน่…! อ๊ะ เดี๋ยวนะ” 

 

มีเสียงดังเซ็งแซ่ขึ้นมา แล้วก็เงียบ แล้วก็ดังขึ้นอีกครั้ง และเงียบลง แล้วก็ดังขึ้นอีกหน 

 

ขณะที่สถานการณ์ที่น่าสนุกนี้กำลังเกิดขึ้นซ้ำไปมา อีฮโยอึลก็ได้ก้าวออกมาเบื้องหน้าหนึ่งก้าว แล้วเดินช้าๆ ไปตามทางตรงกลางราวกับจงใจจะแสดงความสบายใจออกมาให้เห็น 

 

“ใช่แล้วล่ะ คนร้ายน่ะ ไม่ใช่เผ่าสิงโตทองแล้วก็ไม่ใช่เราด้วย แต่เรากลับทะเลาะกันเอง ทั้งๆ ที่พวกเร่ร่อนที่เป็นผู้ร้ายตัวจริงกลับไม่ได้ถูกเปิดเผย” 

 

“คำพูดนั้น…” 

 

“พอดูแบบนี้แล้ว ก็อาจจะมีทั้งคนที่รู้และไม่รู้ ทุกคนคงจะสงสัยกันนะคะว่าทำไมจึงไม่เรียกแม่ทูนหัวว่าผู้พิทักษ์ และเพราะเหตุใดพวกเร่ร่อนจึงตั้งใจจะสังหารแม่ทูนหัว” 

 

แม้จะพอจับใจความได้จากการสนทนาที่เคยแลกเปลี่ยนกับอีฮโยอึลมาก่อนหน้านี้ แต่ก็ยังมีส่วนที่ผมเองยังไม่รู้รายละเอียดอยู่อีกเหมือนกัน ผมตั้งใจฟังสิ่งที่หล่อนกำลังจะพูดเพราะคิดว่ามันคงมีค่าพอให้ฟังไว้ 

 

“แต่ฉันขอบอกก่อนว่า ฉันนี่ล่ะ ผู้พิทักษ์ที่แท้จริงแห่งทวีปทางเหนือ ฉันทำหน้าที่นี้มากว่าเจ็ดปีแล้ว ทุกท่านคงทราบกันดีอยู่แล้วใช่ไหมคะ” 

 

“ถ้าอย่างนั้น คำพูดที่ออกมาจากปากของแพคซอยอนเมื่อสักครู่คืออะไรกันคะ ไม่ใช่ว่าเธอกำลังโกหกหรอกหรือ?” 

 

“แม่ทูนหัวนั้น…อืม ถึงฉันบอกมันก็ไม่สำคัญหรอกค่ะ จริงๆ แล้วก็คือ แม่ทูนหัวเคยรับหน้าที่เป็นผู้พิทักษ์มาก่อนค่ะ แต่สุดท้ายท่านก็ออกจากหน้าที่หลังจากผ่านไปเพียงปีเดียว และกำหนดให้ฉันเป็นผู้สืบทอดหน้าที่ต่อมา นี่คือความจริงค่ะ” 

 

เสียงกลั้นหายใจดังมาจากทุกหนทุกแห่ง หลังจากเดินรอบห้องประชุมหนึ่งรอบ อีฮโยอึลก็กลับมาอยู่ข้างผมอีกครั้ง หลังจากมองดูปฏิกิริยาของทุกคน หล่อนก็พูดต่อด้วยเสียงที่สูงกว่าเก่า 

 

“สรุปก็คือ เธอไม่ได้โกหกหรอกนะคะ แต่พวกเร่ร่อนอาจจะเข้าใจผิดในตอนแรก ไม่สิ ต้องพูดว่าตกหลุมพรางหรือเปล่านะ? อย่างไรก็ตาม แม้คิดจะฆ่าฉันในทีแรก แต่กลับมุ่งไปผิดที่ แม่ทูนหัวสละชีวิตเพื่อฉันแท้ๆ”