บทที่ 402.2 อาจารย์อาน้อยกับแม่นางน้อย

กระบี่จงมา! Sword of Coming

นางเคยไปงานวัดของวัดฉางฝู ที่นั่นมีผู้คนคลาคล่ำ นางอยากได้งูกระบอกชนิดหนึ่งที่ทำมาจากเขาวัวมาก คนมีเงินที่มาที่นี่มีเยอะ แม้แต่ข้ารับใช้ที่ติดตามเหล่าลูกหลานชนชั้นสูงซึ่งมองดูแล้วเย่อหยิ่งกว่าเจ้านายก็ยังชอบสวมเสื้อหนังชวนสู่ (หนูชนิดหนึ่ง) ย้อมดำ สวมรอยเป็นว่าสวมเสื้อคลุมหนังจิ้งจอกหนังเสือดาว

หลี่เป่าผิงยังเคยไปเตร่แถววังหลวง แล้วก็ไปนั่งอยู่ที่นั่นนานถึงครึ่งวันบ่าย ถึงได้รู้ว่าที่แท้มีคนหามเกี้ยวและหญิงทอผ้าจำนวนมาก คนเหล่านี้ไม่ใช่คนในวัง แต่ก็สามารถเข้าออกวังหลวงได้เหมือนกัน เพียงแต่ว่าต้องมีป้ายพกไว้ที่เอว ในบรรดานั้นก็มีช่างทำกระดาษมือจำนวนไม่น้อยที่หอวัฒนธรรมซึ่งเป็นผู้รวบรวม แก้ไขซ่อมแซมหนังสือประวัติศาสตร์ของแต่ละยุคสมัยจ้างมา

จากนั้นนางก็วนไปยังประตูหลังของวังหลวงที่อยู่ทางทิศเหนือ ที่นั่นเรียกว่าประตูตี้จิ่ว จำนวนครั้งที่หลี่เป่าผิงไปเยือนที่นั่นจะมากกว่า เพราะที่นั่นคึกคักมากกว่า เคยไปที่ร้านขายเครื่องเงินเบ็ดเตล็ดแห่งหนึ่ง แล้วก็เคยได้เห็นคลื่นมรสุมครั้งหนึ่ง เป็นเหตุการณ์มือปราบจับโจรอย่างดุดัน เสียงดังเอะอะเรียกสายตาผู้คน ภายหลังนางถามจากเถ้าแก่ร้านที่อยู่ใกล้กันถึงได้รู้ว่าที่แท้ร้านที่ทำการค้าสกปรก แต่กลับมีเงินทองไหลมาเทมาแห่งนั้นคือรังที่รับซื้อของโจร ของที่ขายส่วนใหญ่ล้วนเป็นของในวังที่คนในวังหลวงต้าสุยขโมยออกมาโดยการซ่อนไว้ในพวกถุงหอม แม้แต่แผ่นดีบุกที่ใช้ซ่อมแซมร่องน้ำของตำหนักก็ยังถูกขโมยมา เศษวัสดุที่เหลือจากการซ่อมแซมพระราชวังประจำปีก็ถูกพวกพ่อค้านอกวังจับจ้องตาเป็นมันเช่นกัน การรายงานของเสียหายของสูญหายจำนวนมากของฝ่ายก่อสร้างก็ยิ่งทำกำไรได้เป็นกอบเป็นกำ โดยเฉพาะฝ่ายทำเครื่องทองเครื่องหยกและฝ่ายติดประดับที่เอาของแทรกปะปนออกมานอกวัง แล้วนำมาแปรเปลี่ยนเป็นเงินทองได้อย่างง่ายดาย

ตอนนั้นหลี่เป่าผิงไม่ค่อยเข้าใจนัก อยู่ภายใต้เปลือกตาของฮ่องเต้ขนาดนี้ยังมีคนกล้าขโมยของของเชื้อพระวงศ์ออกมาได้อย่างไร เถ้าแก่ผู้เฒ่าที่สนิทสนมกับนางจึงยิ้มอธิบายว่า นี่เรียกว่าการค้าตัดหัวมีคนทำ การค้าขาดทุนไม่มีคนทำ

หลี่เป่าผิงยังไปที่สะพานซิ่วอีซึ่งห่างจากประตูตี้จิ่วไม่ไกล ที่นั่นมีทะเลสาบใหญ่ เพียงแต่ว่าถูกพวกกำแพงสูงของจวนอ๋อง จวนขุนนางชั้นสูงขวางกั้นเอาไว้ ที่ว่าการผู้บัญชาการทหารราบก็ตั้งอยู่ในตรอกแห่งหนึ่งที่มีชื่อว่าเตียวเม่า หลี่เป่าผิงกินขนมพลางเดินกลับไปกลับมาอยู่หลายเที่ยว เพราะมีเพื่อนร่วมชั้นเรียนที่นางไม่ค่อยชอบมักคุยโวว่าบิดาเขาที่ทำงานอยู่ในที่ว่าการสวมหมวกขุนนางใหญ่ที่สุด ต่อให้เขาปีนขึ้นไปบนตัวสิงโตหินของที่นั่นแล้วฉี่รดมันก็ยังไม่มีใครกล้ามายุ่ง

หลี่เป่าผิงยังไปที่ตรอกจงกวานที่อยู่ทางใต้ของเมือง คือสถานที่ที่ขันทีวัยชราและนางกำนัลผมขาวของวังหลวงมาอยู่อาศัยในช่วงบั้นปลายชีวิตหลังออกจากวัง ที่นั่นมีวัดวาอารามเยอะมาก เพียงแต่ขนาดไม่ใหญ่ พวกขันทีและนางกำนัลเหล่านั้นล้วนพากันไปทำบุญโดยไม่เสียดายเรี่ยวแรงที่เหลืออยู่ไม่มากของตัวเอง อีกทั้งยังมีความจริงใจอย่างถึงที่สุด

ดังนั้นหลี่เป่าผิงจึงมักจะเห็นคนแก่หลังค่อมมีข้ารับใช้คอยประคอง หรือไม่ก็คนแก่ถือไม้เท้าเดินเพียงลำพังไปจุดธูปที่วัดวาอารามเหล่านั้น

เดินเตร็ดเตร่อยู่หลายครั้ง หลี่เป่าผิงจึงรู้ว่าที่แท้นางกำนัลที่มีประสบการณ์มากที่สุดจะถูกเรียกขานว่าเหล่าเลาฝ่ายใน คือนางกำนัลอายุมากที่ปรนนิบัติรับใช้ฮ่องเต้ฮองเฮา นางกำนัลวัยชราที่ทุกวันมีหน้าที่หวีพระเกศาให้กับฮ่องเต้จะมีตำแหน่งสูงศักดิ์ที่สุด และยังมีบางคนที่ได้รับยศเป็น ‘ฟูเหริน’

ทางทิศตะวันตกของเมืองหลวงมีตลาดที่ใหญ่ที่สุดของต้าสุย ร้านค้าเยอะที่สุด รถม้าสัญจรขวักไขว่ ผู้คนเนืองแน่น เงินก็ไหลสะพัด หนึ่งในนั้นก็มีร้านหนังสือร้านหนึ่งที่หลี่เป่าผิงชอบไปเยือนที่สุด พวกเถ้าแก่ร้านหนังสือที่ใจกล้าหน่อยยังแอบขายหนังสือบางส่วนที่หากอิงตามกฎหมายของต้าสุยแล้วจะไม่สามารถนำออกไปจากอาณาเขตของแคว้นได้ พวกทูตของแคว้นใต้อาณัติมักจะส่งข้ารับใช้มาซื้อตำราเหล่านี้เป็นการส่วนตัว แต่หากโชคไม่ดีถูกมือปราบที่ลาดตระเวนของทางตลาดจับได้ก็จะถูกหิ้วตัวไปกินข้าวแดงที่ที่ว่าการ

ในสามปีมานี้ แม่นางน้อยที่ไม่ว่าจะสวมชุดผ้าฝ้ายบุนวมหรือชุดอาภรณ์ธรรมดาก็ล้วนเป็นสีแดงสดเคยช่วยเหลือผู้คนอยู่หลายครั้ง ไม่ว่าจะประคองผู้เฒ่าขากะเผลกไปจุดธูปไหว้พระ ช่วยปีนต้นไม้ไปเก็บว่าวมาให้เด็กที่ร้องไห้จ้าอยู่ใต้ต้นไม้

ช่วยผู้เฒ่าสวมชุดเก่าปอนเข็นรถเทียมวัวบรรจุถ่านไม้ที่ล้อจมอยู่ท่ามกลางดินหรือไม่ก็หิมะ ดูผู้เฒ่าเล่นหมากล้อมตรงหัวมุมถนน เขย่งปลายเท้าถามราคาของตกแต่งห้องหนังสือในร้านขายของโบราณหลายแห่ง นั่งบนขั้นบันไดด้านล่างสะพาน ฟังพวกคนเล่านิทานเล่าเรื่องราวต่างๆ เดินสวนไหล่กับเหล่าพ่อค้าหาบเร่ที่ร้องเรียกลูกค้าอยู่ตามตรอกน้อยใหญ่นับครั้งไม่ถ้วน และยังเคยช่วยแยกพวกเด็กๆ ที่ต่อยตีกันมะรุมมะตุ้ม…

แม่นางน้อยเคยได้ยินเสียงนกหวีดนกพิราบ (คือนกหวีดชนิดหนึ่งที่ผูกไว้ตรงหางนกพิราบ เวลาที่นกพิราบบินจะเกิดเสียงดัง) ที่ดังผ่านท้องฟ้าเหนือเมืองหลวง แม่นางน้อยเคยเห็นว่าวกระดาษงดงามที่ไหวโยน แม่นางน้อยเคยกินเกี๊ยวน้ำที่อร่อยที่สุดในใต้หล้า แม่นางน้อยเคยหลบฝนอยู่ใต้ชายคา เคยหลบแดดร้อนแรงอยู่ใต้ร่มไม้ใหญ่ เคยเป่าลมใส่มือถูเข้าหากันเพื่อให้ร่างกายอุ่นขณะที่เดินอยู่ท่ามกลางลมหิมะ…

วันนี้หลี่เป่าผิงไปที่ร้านหนังสืออีกครั้ง ระหว่างทางไปร้านนางแวะกินมื้อเที่ยงที่ร้านอาหารเล็กๆ แห่งหนึ่งที่อาหารอร่อยและราคาถูก ขากลับก็เปลี่ยนมากินร้านบะหมี่ในตรอกเล็กที่สูตรการทำถ่ายทอดมาตั้งแต่รุ่นบรรพบุรุษ เถ้าแก่และเถ้าแก่เนี้ยะต่างก็คุ้นเคยกับนางเป็นอย่างดี มักจะบอกว่าจะคิดเงินราคาถูก หรือไม่ก็ไม่คิดเงินเลย แต่หลี่เป่าผิงกลับไม่ยอม บอกว่าเอาไว้คราวหน้าค่อยลดให้ก็ได้ แต่ว่าคราวหน้าในอีกๆ หลายครั้งต่อจากนั้น ร้านอาหารทั้งสองต่างก็ไม่เคยได้รับโอกาสนี้ นานวันเข้าจึงคิดแค่ว่าแม่นางน้อยแค่พูดไปตามมารยาท ไม่อยากให้กิจการเล็กๆ ที่เดิมทีก็ได้เงินน้อยของพวกเขาขาดเงินไม่กี่เหรียญนั้นไป แต่อันที่จริงพวกเขาอยากหัวเราะมาก มาเจอกับลูกค้าที่ทั้งน่ารักและรู้ความเช่นนี้ ต่อให้พวกเขาจะหาเงินได้ยากขนาดไหนก็ไม่มีทางถือสากับเงินเล็กๆ น้อยๆ แค่นั้น

ท่ามกลางแสงสายัณห์

เงาร่างที่พุ่งฉิวของหลี่เป่าผิงมาปรากฏตัวอยู่บนถนนใหญ่เส้นที่อยู่นอกประตูของสำนักศึกษาซานหยา

แม่นางน้อยรู้สึกว่าที่ในตำรากล่าวไว้ว่ากาลเวลาผ่านไปเร็วดุจกระสวย ดุจควบม้าขาวผ่านร่องแคบ ดูเหมือนจะไม่ค่อยถูกสักเท่าไหร่ ทำไมพอมาเกิดกับนาง เวลาถึงได้ผ่านไปอย่างเชื่องช้านัก ทำให้คนร้อนใจจะตายอยู่แล้ว?

แม่นางน้อยผู้สวมชุดกระโปรงสีแดงที่ดวงตามองไปแต่ทิศไกลเอ่ยทักทายอาจารย์ผู้เฒ่าที่เฝ้าประตูอย่างรวดเร็วแล้วก็พุ่งตัวผ่านไป

อาจารย์ผู้เฒ่าที่กำลังงีบหลับนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ จึงหันไปตะโกนกับแผ่นหลังนั้น “เป่าผิงน้อย เจ้ากลับมานี่!”

หลี่เป่าผิงหยุดชะงัก นางเหวี่ยงมือสองข้าง เท้าหนึ่งก้าวออกไป เท้าหนึ่งปักตรึงอยู่ที่เดิม หันหน้ากลับมามองอาจารย์ผู้เฒ่าที่กำลังกวักมือเรียกตนแล้วก็วิ่งถอยหลัง แถมนางยังวิ่งได้เร็วมากอีกด้วย…

หลี่เป่าผิงวิ่งกลับมาที่หน้าประตู ยืนนิ่งแล้วก็ถามว่า “อาจารย์เหลียง มีธุระอะไรหรือ?”

อาจารย์แซ่เหลียงถามอย่างใคร่รู้ “เจ้าไม่ได้เจอคนรู้จักระหว่างทางหรือ?”

หลี่เป่าผิงเบิกตากว้าง ส่ายหน้าพูด “ไม่เจอ”

อาจารย์ผู้เฒ่ายิ้มถาม “ถ้าอย่างนั้นวันนี้เจ้าไม่ได้เลี้ยวมาทางถนนป๋ายเหมาสินะ?”

หลี่เป่าผิงพยักหน้า “ใช่แล้ว ทำไมหรือ?”

อาจารย์ผู้เฒ่ายิ้มตาหยีถาม “เป่าผิง ก่อนจะตอบคำถามของเจ้า เจ้าตอบคำถามของข้าก่อน เจ้าคิดว่าความรู้ของข้ายิ่งใหญ่หรือไม่?”

หลี่เป่าผิงครุ่นคิด “น้อยกว่าเจ้าขุนเขาเหมาเล็กน้อย”

อาจารย์ผู้เฒ่าพลันสะอึกอึ้งไปกับคำตอบที่จริงใจของแม่นางน้อย

แต่หากเปลี่ยนมุมมองความคิดเสียใหม่ แม่นางน้อยเอาตนไปเปรียบเทียบกับอริยะลัทธิขงจื๊อ นี่ก็ถือว่าเป็นประโยคน่าฟังไม่ใช่หรือ?

ดังนั้นอารมณ์ของอาจารย์ผู้เฒ่าจึงไม่เลว บอกกับหลี่เป่าผิงว่ามีคนหนุ่มคนหนึ่งมาหานางที่สำนักศึกษา ก่อนหน้านี้มายืนอยู่หน้าประตูนานมาก ภายหลังเอาสัมภาระไปเก็บไว้ในหอพักแขก แล้วก็มาที่นี่อีกสองรอบ รอบสุดท้ายคือเมื่อครึ่งชั่วยามก่อน มาแล้วก็ไม่จากไปอีก

อาจารย์ผู้เฒ่ายิ้มพูด “ข้าเลยโน้มน้าวเขาว่าไม่ต้องร้อนใจไป เป่าผิงน้อยของพวกเราคุ้นเคยกับเมืองหลวงไม่ต่างจากบ้านของตัวเอง ไม่มีทางหลงทางได้แน่ แต่คนผู้นั้นก็ยังเดินกลับไปกลับมาอยู่บนถนนเส้นนี้ ภายหลังข้าก็ร้อนใจแทนเขาขึ้นมาบ้างแล้ว จึงบอกเขาว่าโดยทั่วไปแล้วเจ้าจะเลี้ยวเข้ามาทางตรอกป๋ายเหมา คาดว่าเขาน่าจะรอเจ้าอยู่ที่ตรอกนั่น พอไม่เห็นเจ้าก็เลยเดินขยับไปข้างหน้าอีกหน่อย คงคิดอยากจะพบเจ้าให้เร็วขึ้นกระมัง ดังนั้นพวกเจ้าสองคนถึงได้คลาดกัน ไม่ต้องรีบร้อน เจ้ารออยู่ที่นี่เถอะ รับรองว่าอีกไม่นานเขาก็กลับมาแล้ว”

หลี่เป่าผิงพลันหันขวับแล้ววิ่งตะบึงจากไป

อาจารย์ผู้เฒ่ากล่าวอย่างร้อนใจ “เป่าผิงน้อย เจ้าจะไปหาเขาที่ถนนป๋ายเหมาหรือ? ระวังว่าเพื่อตามหาเจ้า เขาจะออกห่างจากถนนป๋ายเหมาไปไกลแล้ว แล้วถ้าเขาไม่ได้ย้อนกลับมาที่เดิม พวกเจ้าจะไม่คลาดกันอีกหรือ? ทำไม พวกเจ้าคิดจะเล่นซ่อนหากันหรือไง?”

หลี่เป่าผิงร้อนใจเหมือนมดในกระทะร้อน เดินวนไปวนมาอยู่ที่เดิม

นี่เป็นภาพที่เหล่าอาจารย์ในสำนักศึกษาไม่เคยเห็นมาก่อน

แต่แล้วหลี่เป่าผิงที่น้ำตาคลอเจียนจะหยดก็พลันตะโกนขึ้นเสียงดังว่า “อาจารย์อาน้อย!”

เงาร่างสวมชุดขาวของคนผู้หนึ่งประหนึ่งรุ้งยาวสีขาวเส้นหนึ่งที่เลี้ยวจากถนนป๋ายเหมาเข้ามาในคลองจักษุ จากนั้นก็ใช้ความเร็วที่มากกว่าเดิมพุ่งทะยานมาถึงในเสี้ยววินาที

หลังจากที่เรือนกายที่ล่องลอยของคนหนุ่มผู้นั้นหยุดยืนนิ่งแล้ว ชายแขนเสื้อใหญ่สีขาวหิมะสองข้างของเขายังคงโบกสะบัดประหนึ่งเจ๋อเซียนผู้สง่างาม

เขามายืนอยู่ตรงหน้าแม่นางน้อยชุดแดง คลี่ยิ้มกว้างสดใส พูดเบาๆ ว่า “อาจารย์อาน้อยมาแล้ว”