ส่วนที่ 3 ภาคก่อกำเนิดพายุโหมอัสนีคลั่ง ตอนที่ 26 เด็กหนุ่มกับกาลเวลา

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ในตำหนักแสงสว่าง ใต้เท้ามุขนายกกำลังคิดถึงการสังหารหมู่อันดำมืด…เพื่อแก้ปัญหาความขัดแย้งที่เหล่าเด็กหนุ่มของสำนักฝึกหลวงก่อขึ้น เพื่อที่จะให้ได้จุดจบที่ทุกฝ่ายสามารถยอมรับได้ ถ้าหากใต้เท้าสังฆราชไม่ปกป้องเฉินฉางเซิงอีก แน่นอนว่าโจวทงสามารถที่จะตายไปได้

แต่ อย่างไรเสียโจวทงก็ไม่ใช่คนธรรมดา และก็เป็นตอนที่ทุกคนล้วนคิดว่าเรือนเล็กที่เต็มไปด้วยดอกไห่ถังได้เข้าสู่ทางตันแล้วนั่นเอง เขาก็ยังไม่ยอมรับจุดจบที่คนอื่นเตรียมไว้ให้ เขาถึงได้มอบจุดจบที่โลกใบนี้คาดไม่ถึง

ใต้เท้าสังฆราชถอนสายตาที่มองท้องฟ้ากลับมา และมองไปยังราชันย์แห่งหลิงไห่ พลางแย้มยิ้มขึ้น

เสียงของราชันย์แห่งหลิงไห่ถึงกับแตกสลาย ก็เหมือนกับน้ำทะเลที่ดำมืดกลับกลายเป็นฟองสีขาวในพริบตา

“เขาคิดจะทำอะไรกันแน่”

……

……

“หลายปีก่อน พี่สาวของข้าถูก…ลูกชายของตระกูลอ๋องผู้หนึ่งฆ่า อืม ไม่ใช่ทายาท และก็ไม่ใช่บุตรชายคนเล็กที่ได้รับความเอ็นดูอะไร ก็แค่ลูกคนที่ธรรมดาอย่างมาก ลูกชายคนหนึ่งของเมียรอง ข้ากล้าที่จะพนันด้วยซ้ำ อ๋องผู้นั้นขนาดที่ว่ามีลูกชายคนนี้หรือเปล่าก็ยังไม่ชัดเจน เพราะว่าเขาเหมือนกับหมูตัวหนึ่งที่มีลูกชายสี่สิบกว่าคน แล้วยังมีลูกสาวก็กองหนึ่ง แต่ว่าอย่างไรก็…ยังเป็นแซ่เฉิน”

โจวทงมองเฉินฉางเซิง แววตาเย็นชาอย่างมาก แต่ในส่วนลึกที่สุดกลับซ่อนความทรงจำที่โหดร้ายเอาไว้ “ราชสำนักจะสนใจเรื่องเล็กๆ เช่นนี้ได้อย่างไร จวนจิงตูกับกองทัพไหนเลยจะกล้าไปจับคนในจวนอ๋อง ดังนั้นเรื่องนี้จึงค่อยๆ ถูกคนลืมไป สุดท้ายแล้วก็เหลือเพียงแค่ข้าคนเดียวที่ยังจำได้ว่าในวันนั้นมีฝนตกหนักอย่างมาก บนร่างพี่สาวของข้ามีแผลที่ถูกเดรัจฉานกัดไว้ไม่รู้เท่าไหร่…ใช่ ยากที่จะลืมไปได้ ถ้าหากพวกเจ้าเป็นข้า พวกเจ้าจะทำเช่นไร”

ดอกไห่ถังที่อยู่ในเรือนเล็ก โรยเต็มพื้นราวหิมะ แต่ด้านในกลับมีสีเลือดอยู่บ้าง

พวกเฉินฉางเซิงทั้งสามคนไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงพูดเรื่องเก่าเหล่านี้ขึ้นมา และยิ่งไม่รู้ว่าควรจะรับมืออย่างไร

“แน่นอนว่าก็ต้องฆ่าทิ้งอยู่แล้ว” โจวทงพูดขึ้นอย่างสงบ “เพื่อที่จะฆ่าลูกชายของอ๋องผู้นั้น อืม ในตอนนั้นข้ายังอยากที่จะฆ่าอ๋องผู้นั้นไปด้วย ข้าเตรียมตัวเป็นเวลานานมาก เตรียมตัวที่จะใช้ชีวิตของตนแลกกับความสุขชั่วครู่นั่น และในตอนที่ข้าเตรียมจะบุกเข้าไปในจวนอ๋อง ข้ากลับถูกคนผู้หนึ่งขวางเอาไว้ คนผู้นั้นก็คือเหนียงเหนียง”

เขามองไปทางพระราชวัง ในสายตามีความรู้สึกที่ซับซ้อน หลังจากที่นิ่งเงียบไปเป็นเวลานาน จึงได้พูดพึมพำขึ้นต่อ “เหนียงเหนียงพูดกับข้าว่า สัญลักษณ์ของคนที่ยังไม่โตก็คือ เขายอมที่จะตายอย่างดื้อรั้นเพื่อเหตุผลบางอย่าง สัญลักษณ์ของผู้ที่โตเป็นผู้ใหญ่แล้วคือ เขายอมที่จะมีชีวิตอย่างถ่อมตัวเพื่อเหตุผลบางอย่าง”

โจวทงถอนสายตากลับมา มองไปทางเฉินฉางเซิง แล้วพูดขึ้นอย่างสงบและจริงจัง “เจ้าเข้าใจไหม”

เฉินฉางเซิงคิดอย่างจริงจัง หลังจากนั้นก็ส่ายหน้าพูด “เข้าใจ แต่ว่าทำไม่ได้”

โจวทงยิ้มขึ้นมา แล้วพูดขึ้น “ใครสามารถทำได้กัน ข้าไม่ได้เห็นด้วยกับวิธีของเหนียงเหนียง ดังนั้นจึงยังคงหยิบมีดออกมาและบุกเข้าไปในจวนอ๋อง แต่โชคดีที่เหนียงเหนียงใช้เพียงแค่นิ้วเดียว ก็สามารถทำให้ข้าหมดสติไป”

ถังซานสือลิ่วถามขึ้น “หลังจากนั้นล่ะ”

โจวทงพูดขึ้น “ภายหลังแน่นอนว่าข้าก็เข้าใจแล้ว ดังนั้นข้าจึงเริ่มต้นที่จะอดทน อดทนเป็นเวลานานอย่างมาก”

ถังซานสือลิ่วนึกถึงคดีเลือดที่สั่นสะเทือนต้าลู่ในตอนนั้นขึ้นมาได้ เขาสงสัยอยู่บ้าง แต่กลับไม่กล้ายืนยัน จึงถามขึ้น “สุดท้ายล่ะ”

“สุดท้ายแน่นอนว่าข้าได้ฆ่าคนผู้นั้น ไปจนถึงอ๋องผู้นั้น แน่นอน…เป็นการฆ่าอย่างเชื่องช้า แน่นอนว่าคนของทั้งจวนอ๋องล้วนถูกข้าสังหาร ลูกชายสี่สิบกว่าคนกับลูกสาว…ที่เกิดมาเหมือนหมู ไหนเลยจะฆ่าทิ้งอย่างรวดเร็ว ที่เหนียงเหนียงพูดนั้นถูกต้องแล้ว ข้าถ่อมตัวจนถึงขั้นมีชีวิตอย่างต่ำต้อยมาหลายปีขนาดนั้น สุดท้ายแล้วก็สามารถบรรลุเป้าหมายของตน”

โจวทงยิ้มขึ้นมาเหมือนกับเด็ก เบิกบานใจอย่างมาก เพราะไร้เดียงสา เช่นนั้นจึงรู้สึกโหดร้ายอย่างมาก

เซวียนหยวนผ้ออ้าปากพะงาบๆ ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไร รู้สึกเพียงเรือนเล็กนั้นเหน็บหนาวขึ้นมาอย่างกะทันหัน

ถังซานสือลิ่วยืนยันได้ว่าเป็นคดีประหารจวนอ๋องฉีซานทั้งตระกูลจริงๆ จึงนิ่งเงียบไม่พูดจา

เฉินฉางเซิงพูดขึ้นอย่างกะทันหัน “ข้าคิดว่าตัวท่านที่ถือดาบเตรียมจะบุกเข้าจวนอ๋องในตอนนั้นดียิ่งกว่าตัวท่านในภายหลัง”

ตอนที่พูดคำพูดประโยคนี้ เขามองดวงตาของโจวทงอย่างจริงจัง

โจวทงพูดขึ้น “ต่อให้นั่นจะเป็นคนที่ยังไม่โตเป็นผู้ใหญ่ กระทั่งโง่เขลาน่ะหรือ”

เฉินฉางเซิงพูดขึ้น “เรื่องบางอย่าง ในบางครั้ง บางทีการไม่โตเป็นผู้ใหญ่ก็จะดีกว่าอยู่บ้าง”

โจวทงนิ่งเงียบเป็นเวลานาน หลังจากนั้นก็หัวเราะขึ้นมาอย่างกะทันหัน

เขาหมุนตัวเดินไปทางเรือนด้านหลัง แขนเสื้อทั้งสองข้างของชุดขุนนางสีแดงสดสะบัดเบาๆ พัดให้กลีบดอกไม้สีขาวและแดงกระจายไปเป็นแถบ

ประตูที่ข้างเรือนมีเสียงเปิดประตูดังขึ้น ขุนนางกรมอาญาหลายคนได้หามเปลออกมา

เจ๋อซิ่วนอนอยู่บนเปล ใบหน้าซีดขาว ดวงตาทั้งสองปิดสนิท

……

……

การจับเจ๋อซิ่วมาขังไว้ในคุกโจว ครั้งเดียวก็ขังนานหลายวันขนาดนี้ ไม่ว่าจะพระราชวังหลีหรือสำนักเด็ดดาราจะกดดันมากมายขนาดไหน โจวทงล้วนทำเป็นมองไม่เห็น เพราะว่านี่เป็นเจตนารมณ์ของจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ อีกทั้งนี่ยังเป็นการกดดันเขาหลีซาน

…ก็เหมือนกับที่เฉินฉางเซิงพูดนั่น เจ๋อซิ่วอยู่ในคุกโจว ก็หมายความว่าคดีในสวนโจวนั่นยังไม่จบ พรรคกระบี่เขาหลีซานที่เพิ่งจะหลุดพ้นจากความวุ่นวายภายใน แน่นอนว่าจะต้องทำอะไรบางอย่างเพื่อเรื่องนี้ เรื่องนี้สำหรับโจวทงแล้ว แน่นอนว่าเป็นเรื่องที่ดี

แน่นอน เขาไม่ยอมปล่อยเจ๋อซิ่ว ยังมีเหตุผลที่ลึกล้ำกว่าอีกชั้นหนึ่ง แต่นั่นไม่อาจบอกกับใครได้ ก็เหมือนกับก่อนจะถึงนาทีนี้ ก็ไม่มีใครรู้ ที่จริงเขาก็เตรียมจะปล่อยตัวเจ๋อซิ่วออกมาแล้ว เพียงแต่…

“ใต้เท้า เหตุใดท่านถึงเห็นด้วยกับการปล่อยคน” ในห้องที่เย็นยะเยือกที่สุดในกรมอาญา อาจารย์ซินถามขึ้นอย่างไม่เข้าใจ

อาจารย์ซิน! ใครก็นึกไม่ถึง เขาที่ในหลายเดือนสุดท้ายนี้ใต้เท้ามุขขนายกเหมยหลี่ซาเชื่อใจมากที่สุด ถึงกับมาปรากฏตัวขึ้นที่นี่ในเวลานี้ อีกทั้งยังเห็นได้อย่างชัดเจนอย่างมากว่าความสัมพันธ์ของเขากับโจวทงนั้นไม่ธรรมดา ไม่รู้ว่าเขาเป็นใครกันแน่

“ทำไมถึงจะไม่ปล่อยคนล่ะ แรงกดดันที่ให้กับเขาหลีซานก็น่าจะพอแล้ว เดิมทีข้าอยากจะเห็นว่าพระราชวังหลีจะมีการตอบสนองอย่างไร ผลคือนักปราชญ์อย่างใต้เท้าสังฆราชก็ไม่ใช่คนที่ข้าจะวางแผนใส่ได้จริงๆ แต่อย่างน้อยข้าก็ยังได้เห็นกับตาว่าเขาเป็นคนเช่นไร”

โจวทงหลับตาลง ย้อนนึกถึงเด็กหนุ่มแสนสะอาดที่อยู่ใต้ต้นไห่ถังผู้นั้น

ในใจของอาจารย์ซินคิดถึงเรื่องที่เมื่อครู่ใต้เท้าพูดถึงคำนิยามของการโตกับยังไม่โตเป็นผู้ใหญ่ ซึ่งมีเหตุผลอย่างมาก และยากจะรับมือ เดิมทีเขาคิดว่าคำตอบของเฉินฉางเซิงนั้นทำให้จิตวิญญาณในวัยเยาว์ของใต้เท้าหวั่นไหว ดังนั้นเจ้าถึงได้รับปากปล่อยคน…

“หวั่นไหวหรือ” โจวทงราวกับมีความสามารถในการอ่านใจคน เขาลืมตาขึ้น แล้วพูดด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ “แต่ไหนแต่ไรมาข้าก็ไม่เคยมีพี่สาว จะหวั่นไหวกับใคร คำตอบของใครที่ทำให้ข้าหวั่นไหว”

อาจารย์ซินส่ายหน้า พลางพูดขึ้น “ก่อนที่ใต้เท้ามุขนายกจะจากไป เขาอ่านหนังสือเล่มนี้มาโดยตลอด”

ในตอนที่พูด เขาก็ล้วงเอาคัมภีร์เล่มหนึ่งออกมาจากอกแล้วส่งไป

โจวทงยื่นไปรับมา พบว่าเป็นคัมภีร์เล่มหนึ่งของนิกายหลวงที่ชื่อคัมภีร์กาลเวลา

มองดูคัมภีร์เล่มนี้ เขาก็นึกถึงเด็กหนุ่มที่อยู่ใต้ต้นไห่ถังก่อนหน้านี้ และนิ่งเงียบไปเป็นเวลานานอย่างมาก

ที่เขาพูดกับอาจารย์ซินเป็นเรื่องจริง

ตั้งแต่ต้นจนจบที่เขาไม่ยอมปล่อยตัวเจ๋อซิ่ว ก็เพื่อที่จะใช้ที่นี่ อาศัยดอกไห่ถังทั้งสองต้น บรรยากาศสังหารในคุกโจว มองดูเฉินฉางเซิงอย่างละเอียดและจริงจัง ตั้งแต่หัวจรดเท้า ตั้งแต่ภายในสู่ภายนอก

สำหรับเขาแล้ว นี่ถึงจะเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด ล้วนสำคัญมากกว่าเจ๋อซิ่ว มากกว่าจุดประสงค์ในการทำลายอย่างเย็นชาของใต้เท้ามุขนายกทั้งสอง

เพราะว่าเขาอยากจะมองเห็นกาลเวลาช่วงหนึ่ง ที่อยู่บนร่างของเฉินฉางเซิง