บทที่ 611 ท่าที

บัลลังก์พญาหงส์

ดังนั้นถาวจวินหลันจึงเอ่ยปากยิ้มตอบกลับอย่างไม่เกรงใจว่า “ฮองเฮาเหนียงเหนียงตรัสไม่ถูกต้องนะเพคะ แผ่นดินนี้เป็นแผ่นดินของตระกูลหลี่ของพวกเรา หม่อมฉันกลับไม่ทราบว่าพวกเราคนตระกูลหลี่จะต้องถูกขุนนางกดหัวเอาไว้! พวกเขาทำเช่นนี้ก็เพราะเห็นฮ่องเต้มีเมตตา และเห็นว่าฐานะกับผลงานของตนเองเป็นสิ่งคุ้มกะลาหัวพวกเขากระมัง ถ้าไม่จัดการสั่งสอนให้ดี สักวันพวกเขาคงปีนข้ามหัวพวกเราแล้วเพคะ! แม้เรื่องแต่งตั้งองค์รัชทายาท พวกเขาสามารถแสดงความคิดเห็นและข้อชี้แนะของตนเองได้ แต่ไม่ใช่ว่าพวกเราจะต้องฟังความเห็นของพวกเขาเสมอไปนะเพคะ” 

 

 

“มิเช่นนั้นกษัตริย์ก็คงไม่ใช่กษัตริย์ ขุนนางก็ไม่ใช่ขุนนางสิเพคะ!” ถาวจวินหลันหัวเราะเยาะ “อีกทั้งยังจะต้องดูว่า พวกเราไม่ทำตามความคิดของพวกเขา ไม่ถูกพวกเขาจูงจมูกไป พวกเขาจะกล้าทำอะไร!” 

 

 

ฮองเฮาแทบลืมหายใจ ผ่านไปครู่ใหญ่ก็ยังพูดอะไรไม่ออก เอาแต่จ้องเขม็งถาวจวินหลัน ในใจเต็มไปด้วยความหวาดระแวง นางคิดว่านางชักศึกเข้าบ้านเสียแล้ว นางคิดว่าตนเองประเมินถาวจวินหลันเอาไว้สูงแล้ว แต่เห็นชัดว่ายังไม่มากพอ ถาวจวินหลันยากที่จะชักจูงมากกว่าที่นางคิดเอาไว้ 

 

 

เมื่อเทียบกับปฏิกิริยาของฮองเฮา ไทเฮากลับยินดีเป็นที่ยิ่ง ถ้าไม่กลัวว่าซวนเอ๋อร์จะตกใจ ไทเฮาก็อยากจะปรบมือแสดงออกถึงความชื่นชมของตน แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้เสียงของไทเฮาก็สูงขึ้น เต็มไปด้วยความชื่นชม “ดี! พูดได้ดี! คำพูดของเจ้านี้ถูกใจข้าเสียจริง! ต่อหน้าบรรดาขุนนางเหล่านั้นควรจะปฏิบัติเช่นนี้! เจ้าไม่กดพวกเขาเอาไว้ ไม่คุมพวกเขาให้อยู่หมัด พวกเขาก็จะมาขี่อยู่บนคอเจ้าไม่ใช่อย่างนั้นหรือ?! พวกเราไม่ควรให้พวกเขาสบโอกาสนี้!” 

 

 

ไทเฮาชื่นชมเช่นนี้ ถาวจวินหลันก็ตื่นตกใจทันที และยังมีความละอายแฝงอยู่เล็กน้อย พูดอย่างเขินอายว่า “ข้ากลัวว่าจะพูดผิดเสียอีกเพคะ” 

 

 

ไทเฮาพอใจเป็นอย่างมาก มีเมตตาต่อถาวจวินหลันมากกว่าเดิม “วันนี้เจ้าอยู่ร่วมอาหารกลางวันกับข้าเถิด คิดว่านานที่สุดน่าจะพรุ่งนี้ ราชโอกางแต่งตั้งองค์รัชทายาทก็จะถูกสั่งลงมา วันนี้หลังจากเจ้ากลับไปแล้วก็เตรียมตัวให้พร้อม” 

 

 

ตอนที่ไทเฮาพูดก็แฝงไว้ด้วยความปีติยินดีและผ่อนคลาย 

 

 

ฮองเฮากลับเต็มไปด้วยความผิดหวังและหงุดหงิด 

 

 

ถาวจวินหลันหัวเราะรับคำ “ได้ร่วมโต๊ะอาหารกับไทเฮา นับเป็นเกียรติของหม่อมฉันเพคะ” นางย่อมต้องสัมผัสได้ถึงท่าทีที่ไทเฮาปฏิบัติกับนาง ในใจจึงเกิดความยินดี มากไปกว่านั้นคือความซาบซึ้งใจ 

 

 

ไทเฮาเปลี่ยนไป ย่อมไม่ใช่เพราะนางทำให้ไทเฮาพอใจได้ทั้งหมด แต่เป็นเพราะไทเฮากำลังปูทางและจงใจวางท่า ไทเฮาใช้ตนเองมาช่วยนาง สิ่งที่ทำได้ล้วนทำหมดแล้ว 

 

 

ถาวจวินหลันจะไม่ซาบซึ้งไม่ได้ ในใจนั้นยิ่งตั้งปณิธาน ต่อจากนี้ไปจะต้องกตัญญูต่อไทเฮาให้มากกว่าเดิม มิเช่นนั้นจะตอบแทนบุญคุณนี้ของไทเฮาได้อย่างไร? 

 

 

หลังจากฮองเฮากลับไปแล้ว ไทเฮาถึงได้ให้คนอุ้มซวนเอ๋อร์ไปเล่นอีกทางหนึ่ง ยิ้มพลางพูดกับถาวจวินหลันว่า “การวางท่าของเจ้าในวันนี้ ทำให้ฮองเฮาสงบลงไปได้จริงๆ ต่อจากนี้ก็ควรเป็นเช่นนี้ถึงจะดี คำพูดของเจ้าเหมาะที่จะนำไปใช้กับขุนนาง และเหมาะที่จะใช้กับฮองเฮาเช่นเดียวกัน ไม่ว่าอย่างไรสองฝ่ายก็ต้องข่มกันไปมา เจ้ากดนางเอาไว้ ไม่ยอมก้มหัวให้นางเลยแม้แต่น้อย ผ่านไปนานวันนางย่อมต้องแพ้” 

 

 

ถาวจวินหลันค้อมตัวให้ไทเฮาอย่างนอบน้อม พูดอย่างจริงใจ “ขอบพระทัยไทเฮาที่สั่งสอนเพคะ” 

 

 

ไทเฮามองถาวจวินหลัน ทอดถอนใจเล็กน้อย “จะต้องได้รับบทเรียนด้วยตนเองถึงจะดี ข้าชักจะชอบเจ้าเสียแล้ว แต่เรื่องวัง ทำไมเจ้าถึงได้ถอยให้เล่า?” 

 

 

ถาวจวินหลันไม่จำเป็นต้องปิดบังไทเฮา พูดออกมาตามจริง “หม่อมฉันคิดว่าที่นั่นอับโชคเพคะ” 

 

 

ไทเฮาอึ้งไป จากนั้นก็ถอนหายใจ “จริงอย่างเจ้าว่า องค์รัชทายาทฮุ่ยเต๋อ…ช่างเถิด ไม่พูดถึงแล้ว ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้าก็เลือกอีกแห่งที่ดีเถิด” 

 

 

“ไทเฮามีความเห็นหรือไม่เพคะ?” ถาวจวินหลันเอ่ยถามอย่างจริงใจ 

 

 

ไทเฮาคิดว่าสุดท้ายแล้วถาวจวินหลันก็ยังไม่เข้าใจวังหลวงเท่าไรนัก หลังจากนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก็ชี้แนะ “วังเสียนฝูก็ไม่เลว วังชุ่ยเวยก็ดีมาก แต่จากที่ข้าดูแล้ว ที่ีดีที่สุดก็ยังเป็นวังตวนเปิ่น” 

 

 

ถาวจวินหลันลองนึกย้อน แต่ก็จำไม่ค่อยได้เท่าไรนัก ดังนั้นจึงถามว่า “เช่นนั้นหม่อมฉันกลับไปแล้วจะถามท่านอ๋อง ดูว่าเขาเห็นอย่างไรเพคะ” 

 

 

“อืม” ไทเฮาพยักหน้า จากนั้นก็พูดว่า “แต่ก็ไม่อาจให้ลูกและภรรยาขององค์รัชทายาทฮุ่ยเต๋ออาศัยอยู่ที่วังบูรพาไปได้ตลอด นั่นก็ไม่เหมาะสม เจ้ากลับไปคิดดูเอา อีกอย่างรอจนถึงพิธีแต่งตั้ง เจ้าเองก็จะต้องจัดการเรียงฐานะของบรรดาอนุภรรยา อย่างน้อยก็ขาดเหลียงตี้สองคนไม่ได้ เจียงซื่อไม่ต้องพูดถึง อย่างไรนางก็ให้กำเนิดเซิ่นเอ๋อร์ ตำแหน่งเหลียงตี้อีกคนหนึ่งย่อมไม่อาจขาดได้ เหลืออีกหนึ่งคน…” 

 

 

“หม่อมฉันจะไปพิจารณาดูก่อนเพคะ เลือกระหว่างจิ้งหลิงกับกู่อวี้จือมาสักคนเพคะ” ถาวจวินหลันคิดเรื่องนี้มานานมากแล้ว ไทเฮาเอ่ยขึ้นมาในตอนนี้ นางก็จะได้ถามความคิดเห็นของไทเฮาพอดี ดูว่าไทเฮาจะเลือกอย่างไร 

 

 

ไทเฮาครุ่นคิด สุดท้ายก็ส่ายหน้า “จิ้งหลิงแม้ว่าจะเลี้ยงเด็กสาวเอาไว้คนหนึ่ง แต่นางก็ไม่ได้คลอดมาด้วยตนเอง หากจะให้ข้าเลือกก็เป็นกู่อวี้จือเถิด ชาติกำเนิดของนางอย่างไรก็สูงกว่าหน่อย อีกทั้งตระกูลกู่ยังมีรากฐานและชื่อเสียงดีอยู่บ้าง” 

 

 

ถาวจวินหลันเข้าใจความหมายของไทเฮา นี่ทำเพราะไม่อยากให้บรรดานางสนมของหลี่เย่ดูน่าสงสารเกินไปนัก ถึงเวลาจะถูกคนหัวเราะเยาะเอาได้ 

 

 

แม้จะบอกว่าความคิดเห็นที่ไทเฮาพูดออกมาไม่ตรงกับสิ่งที่อยู่ในใจของนาง แต่ถาวจวินหลันก็ยังโล่งใจไปได้เฮือกหนึ่ง ไทเฮาไม่ได้พูดเรื่องเลือกคนใหม่ให้หลี่เย่ เท่านี้นางก็สบายใจแล้ว 

 

 

ทางด้านฮองเฮาเพิ่งกลับวังไป ก็เรียกพบพระชายาองค์รัชทายาท ไม่ใช่ จะต้องเรียกว่าหวังฮูหยิน มาพูดคุย ชายารองหวังก็ตามมาด้วยเช่นกัน 

 

 

หวังฮูหยินย่อมต้องรู้แผนการของฮองเฮา ดังนั้นพอมาถึงแล้วก็ไม่ได้สนใจเรื่องอื่น แต่กลับถามออกมาตรงๆ ว่า “เสด็จแม่ทำสำเร็จตามหวังแล้วหรือไม่เพคะ?” 

 

 

ฮองเฮาหน้าขรึมไม่ตอบกลับ 

 

 

หวังฮูหยินใจดิ่งลง จากนั้นก็ถอนหายใจเบาๆ “เสด็จแม่อย่าใส่ใจไปเพคะ ในเมื่อยอมถอยให้ถึงขั้นนี้แล้ว พวกเราก็ไม่มีอะไรต้องไปไล่บี้คิดเล็กคิดน้อยอีกเพคะ” 

 

 

ฮองเฮาได้ยินก็ยิ่งอารมณ์เสียกว่าเดิม 

 

 

ชายารองหวังเห็นสถานการณ์เช่นนั้น ก็เบนหน้าไปกล่าวโทษหวังฮูหยิน “ท่านพี่จะทำอะไรเพคะ อยู่ดีๆ จะพูดถึงเรื่องนี้ทำไมเล่า? ให้ตายเถิด” พอพูดจบก็ก้าวขึ้นไปปลอบฮองเฮา พลางพูดหยอกเย้าให้อารมณ์ดีขึ้น 

 

 

แต่อารมณ์ของฮองเฮากลับไม่ได้ดีขึ้นแม้แต่น้อย สุดท้ายแล้วนางก็ลุกขึ้นเดินออกไปสองก้าวอย่างอารมณ์เสีย น้ำเสียงไม่ค่อยดีเท่าไรนัก “ทำไมพวกเจ้าถึงไม่รู้ถึงอันตรายที่จะมาถึงเลยเล่า? ถึงเวลาไหนแล้ว? ยังจะมีอารมณ์ทำเรื่องเหล่านี้อีกหรือ? พวกเจ้าควรจะคิดให้ดีว่าต่อจากนี้ไปจะทำอย่างไรดีกว่า! ตัวข้าก็ช่างเถิด แต่ชีวิตหลังจากนี้ของพวกเจ้า—” 

 

 

หวังฮูหยินนิ่งเงียบไม่พูดจา 

 

 

 ชายารองหวังกลับเบะปากอย่างน้อยใจ ในใจนั้นรำพึงรำพัน นางจะทำอะไรได้อีก? หากตอนแรกไม่เข้าวังมาก็คงจะดี จากนั้นก็คิดได้ว่าตอนนี้แม้แต่จะคลอดลูกนางก็ยังทำไม่ได้ ชีวิตนี้ไม่มีความหวังอะไรอีกแล้ว จึงคับแค้นใจและหงุดหงิดมากกว่าเดิม 

 

 

แม่สามีและลูกสะใภ้สามคนนั่งกันอยู่ในห้องแต่ไม่มีใครเอ่ยปากพูดจา แต่ละคนนั่งคิดว่าต่อไปจะทำอย่างไรดี 

 

 

และสิ่งที่พวกนางไม่รู้ก็คือหยวนฉงหวามีจุดประสงค์และแผนการอยู่นานแล้ว 

 

 

หยวนฉงหวามองไปยังอาอู่ ยื่นมือไปหยอกล้อเขาอย่างรักใคร่ ปากก็ถอนหายใจพูดว่า “อาอู่ พวกเราคงต้องยอมก้มหัวเสียแล้ว ไม่รู้ว่าทำไมเจ้าถึงชื่ออาอู่? ข้าอยากให้นางจำเจ้าได้ อย่าลืมความรักและความเอ็นดูที่นางมีต่อเจ้า ต่อจากนี้ไปนางคงไม่สร้างความลำบากให้เจ้านัก บางทีอาจจะปฏิบัติกับเจ้าดีอีกต่างหาก เมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเราแม่ลูกก็จะได้ความเป็นอยู่ดีขึ้น อาอู่ ข้ารู้สึกผิดเหลือเกินเหตุใดสุดท้ายแล้วข้ายังต้องประจบนางอีกเล่า? นางช่างน่าโมโหเสียจริง” 

 

 

แต่ถึงจะน่าเบื่อก็ต้องประจบ ในใจของหยวนฉงหวาเข้าใจความจริงนี้ดี 

 

 

ตอนที่กำลังคิดเรื่องนี้อยู่ ทางด้านอี๋เฟยก็พาองค์ชายเก้ามาเล่นกับอาอู่ 

 

 

แม้ว่าฐานันดรของเด็กทั้งสองคนนี้จะห่างกันเป็นเท่าตัว แต่อายุไล่เลี่ยกัน ดังนั้นอี๋เฟยจึงใช้ข้ออ้างนี้ ทำให้คนไม่คิดสงสัยอะไร 

 

 

อี๋เฟยดูแล้วมีเรื่องให้คิดอยู่เต็มอก 

 

 

หยวนฉงหวามองอย่างแปลกใจ “อี๋เฟยวันนี้เป็นอะไรไปเพคะ?” 

 

 

อี๋เฟยหัวเราะขมขื่น เงยหน้าขึ้นมองหยวนฉงหวา ในดวงตามีน้ำตาเป็นประกาย “ข้าคงมีชีวิตได้อีกไม่นาน” 

 

 

หยวนฉงหวาตกใจเป็นยิ่ง “เกิดอะไรขึ้นหรือเพคะ? อยู่ดีๆ ทำไมตรัสไม่เป็นมงคลเล่าเพคะ?” แม้จะบอกว่าอีกฝ่ายเป็นแม่แท้ๆ ของอาอู่ แต่ก็ไม่ได้ข่มขู่นางแม้แต่นิดเดียว ดังนั้นนางจึงไม่จำเป็นต้องหวาดระแวงอี๋เฟย แล้วยังคาดหวังให้อี๋เฟยได้ใช้ชีวิตดี อย่างไรหากฐานะของอี๋เฟยดีขึ้น นางก็ไม่มีทางละเลยอาอู่แน่นอน 

 

 

แล้วอี๋เฟยพูดเช่นนี้ออกมาจะไม่ให้นางอกสั่นขวัญแขวนได้อย่างไร? 

 

 

แต่หยวนฉงหวาก็ฉุกคิดได้อย่างรวดเร็ว “หรือว่าฮองเฮาจะลงมือกับท่านหรือเพคะ?” 

 

 

อี๋เฟยส่ายหน้าเบาๆ “ตอนนี้ยังไม่มี แต่คิดว่าคงอีกไม่นาน” 

 

 

จากนั้นอี๋เฟยก็ถอนหายใจ พูดพึมพำกับตนเอง “แต่ข้าเองก็สมควรตาย หากยังไม่ตาย ถึงเวลาเรื่องแดงขึ้นมา ก็จะวุ่นวายไปกันใหญ่” 

 

 

หยวนฉงหวาได้ยินอย่างชัดเจน ทันใดนั้นก็ยิ่งตกใจ หนังตากระตุกอย่างรุนแรง รีบพูดกล่อมว่า “ท่านอย่าคิดสั้นไปนะเพคะ ตอนนี้ตวนชินอ๋องจะได้เป็นองค์รัชทายาทแล้ว ดูจากร่างกายของฮ่องเต้คงจะทนได้อีกไม่นาน รอจนฮ่องเต้สวรรคตไป ท่านยังจะต้องกลัวอะไรอีกเพคะ? ต่อให้ฮองเฮาไม่ชอบใจที่ท่านมีชีวิต นางเองก็ไม่กล้าพูดอะไรเพคะ” 

 

 

จากที่หยวนฉงหวาดูแล้วนั้น ผ่านไปสักช่วงระยะเวลาหนึ่งอี๋เฟยก็จะดีขึ้น อย่างไรฮ่องเต้สวรรคตไป ใครจะกล้ามาไล่เลียงเรื่องนี้? 

 

 

อี๋เฟยเพียงแค่หัวเราะขมขื่น ไม่ได้พูดอะไรมาก 

 

 

ในขณะเดียวกัน กู้ซีก็นั่งขมวดคิดเรื่องนี้อยู่ภายในวังของตน แม้แต่นางกำนัลรู้ใจพูดคุยอยู่ข้างๆ ก็ไม่ได้ฟังเข้าหูแม้แต่น้อย รอจนนางกำนัลพูดจบ นางถึงได้ถอนหายใจ “คิดไม่ถึงว่าฮองเฮาจะกลับตัวกะทันหัน คิดไม่ถึงเลยจริงๆ ดูท่าทางถาวซื่อคงไม่ธรรมดา มิน่าตวนชินอ๋องถึงได้ให้ความสำคัญกับนางนัก” 

 

 

นางกำนัลพูดกล่อมอย่างระมัดระวัง “เหนียงเหนียงอย่าเสียใจไปเพคะ อีกครู่หนึ่งต้องไปปรนนิบัติฮ่องเต้ จะต้องเรียกสติและเรี่ยวแรงมาให้ดีนะเพคะ” มิเช่นนั้นหากฮ่องเต้กริ้ว คงไม่มีเรื่องดีตามมาเป็นแน่ 

 

 

กู้ซีหลุดหัวเราะ “ตาแก่นั่นคุ้มดีคุ้มร้าย ไม่รู้ว่าจะตายไปเมื่อไร” 

 

 

คำพูดของกู้ซีนั้นฟังดูใจดำโหดร้าย น่ากลัวจนนางกำนัลตัวสั่นสะท้าน รีบกวาดตามองไปรอบด้าน เห็นว่าไม่มีใครแอบฟังถึงได้โล่งอก รีบพูดกล่อมว่า “เหนียงเหนียงอย่าพูดเช่นนี้เลยเพคะ! มีคนได้ยินเข้าจะไม่ดีนะเพคะ!”