ตอนที่ 5-2
จู่ๆ ฮอนก็ลากมินอาเข้าไปในห้องที่ไม่มีใครอยู่ และเพราะไม่ได้หลับสนิทดีมาหลายวันทำให้ใต้ตาฮอนเกิดเป็นรอยคล้ำสีเข้ม ด้วยลักษณะเช่นนั้นจึงดูจริงจังมาก
“ทรงตรัสถามได้เลยเพคะ”
“ก่อนพระชายาจะอภิเษกสมรสกับข้า มีชายหนุ่มคนสนิทมาก่อนหรือไม่ หรือไม่ก็สหายที่รู้ใจ…”
“หม่อมฉันไม่ทราบว่าทรงตรัสเรื่องอะไรเพคะ”
เหนื่อยจะตายอยู่แล้ว แต่องค์รัชทายาทดันคว้าตัวมาถามคำถามแปลกๆ ความหงุดหงิดพุ่งขึ้นมาภายในใจของมินอา แต่ไม่สามารถแสดงออกมาภายนอกได้ ยิ่งไปกว่านั้นคือนางไม่รู้เรื่องนี้จริงๆ พอมีเวลาว่างรยูฮาก็เอาแต่ยุ่งกับการฝึกดาบหรือไม่ก็ปลอมตัวเป็นชายหนีออกไปเที่ยวเล่น จะมามีชายหนุ่มคนสนิทหรือสหายที่รู้ใจได้อย่างไร เป็นเรื่องไร้สาระที่สุดแล้วที่ได้ยินมาของปีนี้
“ถ้างั้นเจ้าคนที่ชื่อว่าคยอกรังเป็นใครกันแน่!”
ฮอนคิดว่ามินอาแสร้งทำเป็นไม่รู้เพื่อปกป้องรยูฮา ในที่สุดชื่อที่แอบฟังมาก็หลุดออกจากปากอย่างไม่สนใจศักดิ์ศรี และสิ่งที่ได้กลับมาคือสายตาเฉียบคมพร้อมกับทำหน้านิ่วคิ้วขมวด มินอามองปราดมาทางเขาตั้งแต่บนลงล่างและนึกได้ว่ามีคนสองคนยืนอยู่ข้างใต้ต้นไม้เมื่อคืน
“องค์รัชทายาทคงเข้าใจผิดจากคำพูดที่บังเอิญได้ยินมาเพคะ”
ในที่สุดก็ตั้งใจจะแก้ตัวสินะ ฮอนถึงกับเครียดแล้วรอคอยคำพูดต่อไปของมินอา
“คยอกรัง…เป็นเพียงชื่อเหยี่ยวที่พระชายาทรงเลี้ยงไว้ที่เรือนเพคะ งานอดิเรกของพระชายาคือทรงโปรดการใช้เหยี่ยวล่าสัตว์เพคะ”
* * *
แชยอนที่วุ่นวายไปทั้งคืนลุกนั่งในสภาพตาลึกโบ๋ เมื่อวานหญิงสาวหลับไปแล้วก็สะดุ้งตกใจตื่นเป็นอย่างนี้ซ้ำไปซ้ำมาทั้งคืน และตรวจดูว่าโฮจินยังอยู่ตรงนั้นหรือไม่อยู่เรื่อยๆ เพราะจังหวะที่นางลืมตาขึ้น มันเหมือนราวกับว่าเขาจะถือมีดเข้าไปฆ่าบ่าวทั้งหลาย
“ตื่นแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ”
โฮจินถือผ้าและยกน้ำล้างหน้ามาด้วยตัวเองก่อนจะขยับเก้าอี้มาข้างเตียงแล้วนั่งลง เขาดูแลแชยอนและจุ่มผ้าลงในน้ำอุ่น
“ข้าจะทำเอง”
แต่วันนี้เขาไม่ต้องดูแลก็ได้ แชยอนใช้ผ้าที่ฉวยมาจากอีกฝ่ายเช็ดไปตามใบหน้า ลำคอแล้วก็มือตามลำดับ แต่โฮจินผู้ซึ่งทอดสายตามองแชยอนกลับขมวดคิ้วขึ้นมา
“โมโหหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“เปล่า”
“กระหม่อมไม่รู้ว่าทำไมท่านถึงได้โมโห”
“บอกว่าไม่ได้โมโห”
“ถ้าเช่นนั้นท่านไม่ชอบข้างั้นหรือพ่ะย่ะค่ะ”
การถกเถียงที่ดูเหมือนจะไม่จบแค่นี้ แชยอนไม่ได้โมโหหรือไม่ชอบโฮจิน หญิงสาวคิดว่าไม่ได้อยู่ในจุดที่จะมาโมโหหรือไม่ชอบใครได้ แชยอนมองไปยังดวงตาสีน้ำตาลที่ทอดมองมาด้วยความเป็นกังวลสักครู่ ก่อนจะถอนหายใจแล้ววางผ้าลง
“ไม่ได้ไม่ชอบ”
แค่กลัวเท่านั้น หญิงสาวกลืนคำพูดที่ตั้งใจจะพูดต่อเข้าไปข้างใน โฮจินดูจะพอใจกับแค่คำตอบส่วนหน้า
“งั้นกระหม่อมจะออกไปก่อน แต่งตัวให้เรียบร้อยแล้วออกมานะพ่ะย่ะค่ะ”
หลังจากนั้นไม่นานแชยอนและโฮจินก็ลงมาชั้นล่างเพื่อกินอาหาร ด้านในคนเยอะขึ้นกว่าเมื่อวานอย่างเห็นได้ชัด สีหน้าของพวกเขาดูกลมกลืนไปกับที่นี่และบรรยากาศดูวุ่นวายแปลกๆ เถ้าแก่เจอโฮจินเข้าพอดีจึงวิ่งเข้ามาโค้งตัวกล่าวคำทักทาย
“หลับสบายดีหรือไม่ขอรับ ให้เตรียมอาหารเลยไหมขอรับ”
“อืม เหล้าไม่ต้อง เอาอาหารที่มี ว่าแต่…ทำไมถึงวุ่นวายเช่นนี้”
“ไม่ทราบหรือขอรับ เช้านี้องค์รัชทายาทเสด็จมาเมืองนี้ขอรับ! ข้าเองก็ไปรับเสด็จมา พระองค์ท่านช่างสง่างาม พระชายาเองก็…”
เถ้าแก่พูดอย่างสนุกสนานแล้วก็เม้มปากเงียบเสียงลงอย่างฉับพลัน อาจจะเป็นเพราะใบหน้าของลูกค้าคนสำคัญดูตึงเครียดและสายตากระหายเลือดขึ้นมา
“ข้าจะไปนำอาหารมาให้ พูดยาวไปหน่อยท่านคงหิวแล้ว”
พอเถ้าแก่วิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว โฮจินก็มองไปทางแชยอนด้วยสายตาไม่พอใจ ใบหน้าถูกปิดบังอยู่ครึ่งหนึ่งแต่สิ่งที่ลอยขึ้นมาในดวงตากลมโตนั้นคือความดีใจไม่ผิดแน่ โฮจินพยายามข่มความหงุดหงิดที่พุ่งขึ้นมาไว้ แล้วเบนสายตาไปทางอื่น
“กินให้อร่อยนะขอรับ”
อาหารมากมายถูกจัดวางเรียงตรงหน้าพร้อมส่งกลิ่นหอมน่าอร่อยราวกับเชิญชวนให้กินเข้าไป แต่มีแค่แชยอนที่คีบตะเกียบกินอย่างเอร็ดอร่อย ส่วนโฮจินชำเลืองมองแค่แวบเดียวแล้วก็ไม่แตะเลย
“ไม่กินหรือเจ้าคะ”
“อย่าสนใจเลย เจ้ากินเยอะๆ เถอะ”
ดูท่าคงไม่อยากอาหาร แชยอนคิดอย่างนั้นแล้วก็จัดการอาหารในส่วนของตัวเองเสียจนเกลี้ยง โฮจินเห็นหญิงสาววางตะเกียบและช้อนลงก็ลุกขึ้นอย่างเย็นชาแล้วเดินไปทางห้องพักโดยไม่เหลียวหลังกลับมา มาตอนนี้แชยอนถึงได้รู้ว่ามีอะไรบางอย่างไปกระทบอารมณ์ของเขา แล้วนางก็รีบวิ่งตามไปอย่างรวดเร็ว
“ดีใจงั้นหรือพ่ะย่ะค่ะ”
แชยอนถอนหายใจเดินตามเข้ามาในห้องแล้วก็ปิดประตู หญิงสาวกะพริบตาปริบๆ ให้กับน้ำเสียงเย็นชานั่น
“ท่านหมายถึงอะไร”
“กระหม่อมถามว่าดีใจหรือที่จะได้ไปหาองค์รัชทายาทผู้สูงส่งนั่น”
“ไม่ใช่ว่าท่านมาด้วยกันเพื่อส่งตัวข้าไปให้องค์รัชทายาทหรอกหรือ…กรี๊ด!”
เสียงกรีดร้องเบาๆ ดังตามมาหลังพูดจบ หน้าอกของโฮจินที่อยู่ห่างออกไปเล็กน้อยเคลื่อนมาอยู่ตรงหน้า ส่วนมืออันใหญ่โตและหยาบกร้านของเขาก็อยู่ตรงผนังที่แชยอนยืนพิงอยู่ ข้อมือบางนั้นถูกฉวยไว้เต็มแรงจนเหมือนจะหัก มาถึงตอนนี้โฮจินไม่เคยรุนแรงกับหญิงสาวเลยแม้แต่สักครั้ง แชยอนพูดไม่ออกแล้วดิ้นไปมาเหมือนผีเสื้อที่ถูกจับปีกไว้
“ท่านบอกว่ากระหม่อมจะส่งตัวท่านไปให้องค์รัชทายาทหรือ น่าขำ”
“ตะ แต่ว่า!”
โฮจินตัดบทแชยอนที่กำลังตั้งใจจะตะโกนขึ้นมา
“กระหม่อมตั้งใจแย่งชิงท่านต่างหาก ไม่ได้นำตัวท่านมาเพื่อส่งไปให้”
เสียงก้องกังวานเหมือนสัตว์ร้ายที่เต็มไปด้วยความโกรธกลับมาดังเดิมในชั่วพริบตา แต่ต่อมาเสียงกระซิบแผ่วเบาของเขาตรงข้างหูก็คล้ายกับกำลังอ้อนวอน
“ได้โปรด อย่าไปจากกระหม่อมเลย กระหม่อมจะทำให้ท่านมีความสุขมากกว่า ไม่ว่าท่านจะปรารถนาสิ่งใด กระหม่อมจะทำให้ เพราะอย่างนั้นได้โปรด…”
คำพูดสุดท้ายถูกเอ่ยออกมาพร้อมกับริมฝีปากอุ่นที่จุมพิตลงบนริมฝีปากของแชยอน ริมฝีปากนั้นไล่เลียด้านนอกอย่างนุ่มนวลแล้วแทรกตัวเข้าไปภายใน แชยอนปิดปากไม่รับเข้ามา
“จะรักนวลสงวนตัวไว้ให้เจ้าคนเฮงซวยเช่นนั้นหรือ”
คำพูดแสนเย็นชาเหมือนคมมีดหลุดออกมาจากปากของโฮจินซึ่งขยับตัวออกมาเพียงเล็กน้อย
“องค์รัชทายาทไม่ได้มีใจให้ท่าน ไม่เคยมีใจ หากมีใจให้ท่านจริงต่อให้ต้องขัดคำสั่งก็ต้องพาท่านไปด้วยสิ คงไม่ยื่นให้คนแปลกหน้าเช่นนี้”
“พอได้แล้ว”
“ทั้งตัวและร่างกายของเขาเป็นของพระชายา ไม่แน่ว่าระหว่างช่วงที่ท่านไม่อยู่นี้ดอกรักคงเบ่งบานเต็มที่”
แต่ละคำตอกย้ำแชยอนที่กำลังสับสน ผีเสื้อที่ถูกยึดปีกไว้พยายามดิ้นรนให้หลุดพ้นจากเขาและปกป้องตัวเองอย่างเอาเป็นเอาตาย
“ฝ่าบาทไม่ใช่คนเช่นนั้น ข้าจะกลับไปหาฝ่าบาท”
“คิดว่าจะทำเช่นนั้นได้หรือพ่ะย่ะค่ะ!”
โฮจินใช้มือข้างหนึ่งดึงเปียยาวของแชยอนไปด้านหลัง แล้วอาศัยจังหวะที่ริมฝีปากของหญิงสาวเผยอออกแทรกลิ้นอุ่นเข้าไปแล้วเริ่มต้นก่อกวนภายในริมฝีปากนั้น
“อ๊ะ…อื้อ”
ข้อมือที่แดงไปหมดแล้วถูกโฮจินยึดไว้อีกครั้งแล้วดึงขึ้นไปอยู่เหนือหัวของหญิงสาว ไม่ได้รู้สึกถึงความเอาใจจากริมฝีปากที่ร้อนแรงและหยาบกร้านนั้น มีเพียงแต่ไล่เลียและดูดเม้มไม่หยุดราวกับจะกลืนกินไปจนถึงจิตวิญญาณของนาง จนบนใบหน้าของเขาที่กำลังดูดเม้มอย่างแรงลงบนผิวหนังขาวใสมีหยดน้ำเปียกชื้นไหลลงมาโดน
“ร้องไห้ทำไมพ่ะย่ะค่ะ เพราะเจ้านั่นงั้นหรือ”
โฮจินถอนริมฝีปากออกมาเล็กน้อยแล้วพูดพึมพำ เขาไม่รอคำตอบและใช้ริมฝีปากนั้นประทับลงไปบนซอกคอ ฝันขาวขบกัดลงบนเนื้ออ่อน
“โอ๊ย!”
เลือดสดสีแดงไหลลงมาจากตรงลำคอที่เขากัดลงเต็มแรง โฮจินดูดกลืนสิ่งนั้นโดยไม่หลงเหลือไว้สักหยด ต่อมาพอเขาถอนริมฝีปากออกสิ่งที่เขาพ่นออกมากลับไม่ใช่เลือด แต่เป็นคำพูดน่ากลัวที่เปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ
“ฝ่าบาทไม่ใช่คนเช่นนั้นหรือ ถ้างั้นดูให้ดีเต็มสองตาว่าใครกันที่องค์รัชทายาทมีใจให้อย่างแท้จริง แล้วก็ท่านควรจะเป็นของใคร”