บทที่ 69 เยือนถิ่นเก่า Ink Stone_Fantasy
“ข้าวกลางวัน? เอ้า…ป่านนี้แล้วเหรอ ไว้ฉันค่อยไปดูข้าวกลางวันแถวนี้แล้วกัน โอเคๆ เดี๋ยวหิวฉันจะไปหาอะไรกินเองนั่นแหละ ตามนี้นะ! วันนี้เธอมีนัดไม่ใช่เหรอ รู้แล้ว รู้แล้ว”
ถาวซย่ามั่นวางสายแล้วออกเดินต่อ
การก้าวเดินท่ามกลางเมืองนี้
เธอผู้ซึ่งหลงใหลในการถ่ายภาพ มันยากมากที่จะไม่หยิบกล้องแคนนอนของเธอออกไปเดินถ่ายภาพในช่วงเวลานี้
เวลาไม่ไหลย้อนกลับ แต่รูปภาพช่วยให้หวนนึกถึงวันวานได้
ยิ่งไปกว่านั้น ช่วงนี้เธออารมณ์ไม่ค่อยดี…รู้สึกว้าวุ่นใจแปลกๆ เธอรู้สาเหตุอย่างชัดเจน
ด้วยเหตุนี้ งานอดิเรกจึงเป็นกิจกรรมหนึ่งที่ช่วยให้เธอลืมบางเรื่องได้อย่างดี
เธอนั่งอยู่บนรถเมล์ธรรมดา มองดูสิ่งก่อสร้างต่างๆ รวมไปถึงคนเดินถนนผ่านเลนส์กล้องของเธอไป ก่อนค่อยๆ เปรียบเทียบเมืองในความทรงจำของตัวเองกับเมืองในปัจจุบันนี้
เมื่อรถบัสเที่ยวชมเมืองประกาศชื่อสถานีหนึ่งขึ้นมา ถาวซย่ามั่นก็ลงจากรถ แต่ขณะที่เธอกำลังเดินอยู่ที่นี่ ก็มองไปยังชื่อถนน ก่อนเริ่มลังเลโดยไม่รู้ตัว
ถนนจี้หัว
ไม่รู้ตัวเลยว่า…กลับมาที่นี่อีกแล้ว
ถาวซย่ามั่นส่ายหัว
เธอเคยอยู่ที่นี่
ที่นี่นับว่าเป็นการมาเยือนถิ่นเก่าของเธอจริงๆ สินะ?
ถาวซย่ามั่นไม่รู้ว่าคือที่ไหน เธอเริ่มก้าวเดินอีกครั้ง เพียงแต่ตอนที่อยู่บนถนนเก่าเว้นนี้ เธอกลับหยิบกล้องแคนนอนขึ้นมาน้อยครั้งมาก
ถึงเป็นสถานที่ในความทรงจำ แต่ทุกวันนี้กลับเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง สิ่งก่อสร้างใหม่ๆ ปรากฏขึ้นมากมาย จนเธอแทบจะจำสถานที่พวกนี้ไม่ได้เลย
ถาวซย่ามั่นหยุดอยู่หน้าร้านบะหมี่ร้านหนึ่ง
‘…คุณพ่อคะ หนูอยากกินบะหมี่เตาเซียวเมี่ยนใส่เจียวโถว*เยอะๆ’
‘…บะหมี่เตาเซียวเมี่ยนก็คือบะหมี่เตาเซียวเมี่ยน บะหมี่เจียวโถวเมี่ยนก็คือบะหมี่เจียวโถวเมี่ยน ใครเขากินแบบลูกกันล่ะ’
…ไม่สนๆ หนูอยากกินนี่นา! ได้ไหมคะ!
…ได้สิลูกพ่อ
เสียงหัวเราะสดใสดังกังวาน
ถาวซย่ามั่นจำบทสนทนาที่เคยเกิดขึ้นที่นี่เมื่อนานมากแล้วได้ดี เหมือนเธอเห็นภาพเด็กผู้หญิงคนหนึ่งกำลังลากพ่อตัวเองเข้าไปข้างใน…จำได้เป็นครั้งคราว และก็เป็นภาพที่ไม่ควรจดจำ
ทันใดนั้นถาวซย่ามั่นก็รู้สึกได้ถึงบทสนทนาจริงที่ชวนให้รู้สึกสะเทือนใจ แต่ถึงอย่างนั้น เธอก็ไม่คิดที่จะเข้าไป อย่างน้อยที่สุดในตอนนี้ ขาทั้งสองข้างของเธอเหมือนถูกอะไรดึงไว้ ทำให้เธอขาหนักอึ้งจนยากจะก้าวเดินไปข้างหน้า
บางทีถ่ายสักภาพก็พอแล้ว เธอคิดเช่นนี้ ก่อนจับเลนส์กล้องถ่ายภาพไว้แน่น
“ไม่คิดจะเข้าไปหรือครับ”
ทันใดนั้นก็มีเสียงชายหนุ่มดังมาจากด้านหลังของเธอ ถาวซย่ามั่นรีบหันกลับไป ก็เห็นชายหนุ่มในชุดลำลองคนหนึ่งที่ดูอายุน้อยกว่าเธอ เหมือนจะเป็นเด็กนักเรียนอายุราวยี่สิบปีได้
ประตูร้านบะหมี่นี้ค่อนข้างเล็ก เป็นเพียงประตูธรรมดาๆ…ถาวซย่ามั่นไม่คิดว่าร้านบะหมี่เก่าแก่แบบนี้จะอยู่มาได้จนถึงทุกวันนี้…ที่อยากจะบอกก็คือ เธอกำลังยืนขวางทางเข้าร้าน
“ขอโทษค่ะ” ถาวซย่ามั่นกล่าวขอโทษ แล้วจึงถอยออกมาหนึ่งก้าว
ชายหนุ่มเพียงพยักหน้า หัวเราะน้อยๆ ก่อนเดินเข้าไปในร้านบะหมี่ หลังจากชายหนุ่มคนนี้เดินเข้าไปแล้ว ถาวซย่ามั่นก็ถอยออกมา เหมือนมีบางอย่างดึงเธอเอาไว้
จากนั้นเธอก็เดินตามเข้าไปในร้านบะหมี่ แล้วได้ยินบทสนทนาระหว่างชายหนุ่มกับเจ้าของร้านพอดี…ถาวซย่ามั่นยังมีความทรงจำเกี่ยวกับเจ้าของร้านนี้ เพียงแต่ตอนนี้เขาผมขาวหมดแล้ว
“พี่ชาย มาอีกแล้ว! เหมือนเดิมไหม”
“ครับ รบกวนด้วยครับเถ้าแก่”
“ได้สิ! นั่งรอก่อนนะ อีกเดี๋ยวก็ได้แล้ว!” เจ้าของร้านผมขาวตอบอย่างมั่นใจ จากนั้นก็ตะโกนเข้าไปในครัวว่า “บะหมี่เจียวโถวเมี่ยนหนึ่งชาม บะหมี่เตาเซียวเมี่ยนหนึ่งชาม! เอาเจียวโถวใส่บะหมี่เตาเซียวเมี่ยนห่อ กลับบ้าน!”
ครั้นแล้วชายหนุ่มก็หาเก้าอี้เพื่อมานั่งรอ
ถาวซย่ามั่นมองดูเขาด้วยความสนใจ
เธอพบเห็นชายหนุ่มที่ดูสงบเสงี่ยมแบบนี้น้อยมาก เขาไม่เล่นโทรศัพท์รอเวลาเหมือนคนส่วนใหญ่ แต่กลับหยิบหนังสือหนึ่งเล่มขึ้นมาเปิดอ่าน
บนหนังสือยังมีที่คั่นหนังสือเสียบอยู่ด้วย นี่เป็นนิสัยของคนที่ชอบอ่านหนังสือบ่อยๆ
“ทำไมถึงเอาเจียวโถวของบะหมี่เจียวโถวเมี่ยนไปใส่กับบะหมี่เตาเซียวเมี่ยนล่ะ แบบนั้นบะหมี่ เจียวโถวเมี่ยนก็ไม่อร่อยน่ะสิ”
เธอนั่งลงตรงหน้าชายหนุ่มคนนี้
นี่เป็นโรงอาหารขนาดใหญ่ เลือกที่นั่งได้ตามใจชอบ แต่กิจการของร้านบะหมี่นี้กลับไม่ดีนัก ทั้งที่ตอนนี้น่าจะเป็นเวลาอาหารกลางวัน แต่กลับมีลูกค้านั่งอยู่เพียงสามโต๊ะเท่านั้น
โต๊ะที่ชายหนุ่มคนนี้นั่งคือหนึ่งในสามโต๊ะที่ว่า
“มีปัญหาหรือครับ” ชายหนุ่มค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมา เขาแทบจะไม่ได้สนใจคำถามเสียมารยาทแบบนี้เลย
ถาวซย่ามั่นส่ายหน้า “ไม่มีปัญหาหรอกค่ะ แค่ไม่ค่อยเห็นใครกินแบบนี้ก็เลยแปลกใจ อ้อ ขอโทษที่ฉันเสียมารยาท สวัสดีค่ะ ฉันชื่อถาวซย่ามั่น เป็น…เป็นคนที่ชอบถ่ายภาพ”
“สวัสดีครับ” ชายหนุ่มพยักหน้า
ตอนนี้ต้องแนะนำตัวเองสักหน่อยไม่ใช่เหรอ?
แต่ถาวซย่ามั่นกลับรู้สึกสนใจ ทั้งที่เป็นประโยคสวัสดีง่ายๆ ทว่ากลับดูดีกว่าการแนะนำเธอมากนัก
เรียกว่ายังไงนะ
พอเหมาะหรือเปล่า
นี่คือความรู้สึกเดียวที่ถาวซย่ามั่นรู้สึกในเวลาต่อมา
เธอถามว่า “เธอ…เธอมาบ่อยไหม”
ชายหนุ่มพยักหน้า “ช่วงนี้ก็บ่อยนะครับ”
เธอถาม “อยู่ที่นี่เหรอ”
ชายหนุ่มส่ายหน้า “ไม่ได้อยู่ที่นี่หรอกครับ”
ถาวซย่ามั่นจึงยิ้มแล้วพูดว่า “ไม่ได้อยู่ที่นี่ก็ยังมาซื้อของกินที่นี่ ดูท่าจะชอบรสชาติที่นี่มากนะ”
ชายหนุ่มยิ้มตอบ “ที่จริงผมมาซื้อให้คนอื่น อืม…ไม่นานมานี้ผมรู้จักเพื่อนอยู่คนหนึ่ง เขาชอบทำงานจนลืมกินข้าว ผมกลัวว่าร่างกายเขาจะรับไม่ไหว”
ถาวซย่ามั่นพยักหน้า “โชคดีจริงๆ ที่เขามีเพื่อนอย่างเธอ”
ชายหนุ่มไม่ได้พูดอะไร เขาเพียงยิ้มมุมปากบางๆ จากนั้นเจ้าของร้านบะหมี่ก็ถือกล่องใส่บะหมี่ออกมาสองกล่อง “เสร็จแล้ว พี่ชาย บะหมี่ของเธอ!”
ชายหนุ่มจ่ายเงินแล้วลุกขึ้นยืน ก่อนมองไปที่ถาวซย่ามั่นแวบหนึ่ง พูดเสียงเบาว่า “ไม่ว่าสุดท้ายบะหมี่เจียวโถวเมี่ยนจะอร่อยหรือไม่ แต่เพื่อนของผมก็กินหมดเสมอ”
เธอรู้สึกประหลาดใจจริงๆ
…
กระทั่งท่อนสุดท้ายของประโยคสั้นๆ นี้ ถาวซย่ามั่นก็ยังไม่รู้ว่าชายหนุ่มคนนี้ชื่ออะไร…แน่นอนว่านี่ไม่ใช่การพบกันอันแสนโรแมนติก
เพราะเธอมีว่าที่สามีที่รักเธอ และเธอก็รักเขามากอยู่แล้ว
เธอเพียงแค่คิดว่าการพบกันโดยบังเอิญนี้เหมือนกับเนื้อเพลงที่เงียบสงบท่ามกลางเมืองใหญ่
“อ๊ะ…คุณผู้หญิง จะทานอะไรไหมครับ?”
เจ้าของร้านบะหมี่ยังยืนอยู่ที่เดิม
ถาวซย่ามั่นก็เกรงใจที่จะบอกว่าไม่กิน
เธอก้มหน้าคิดอยู่สักพัก มองกระบอกใส่ตะเกียบบนโต๊ะแล้วพูดว่า “ขอเตาเซียวเมี่ยนชามหนึ่ง แล้วก็เพิ่มเจียวโถวค่ะ”
“ได้เลยครับ!”
…
หลังออกจากร้านบะหมี่แล้ว ถาวซย่ามั่นก็เดินไปยังบ้านที่เธอเคยอาศัย เธอเดินไปด้วยท่าทางรีบร้อน แต่ตอนที่คนเดินถนนเดินผ่านไป กลับต้องตกใจในท่าทางรีบร้อนของเธอ
ไม่นานท่าทางรีบร้อนนั้นก็หายไป เหลือเพียงความเศร้าโศกอันเลือนราง
สุดท้ายเธอก็เงยหน้าขึ้นมอง สูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ แล้วเดินไปยังทางออกตรงสี่แยก
รสชาติของบะหมี่เตาเซียวเมี่ยนที่เพิ่มเจียวโถวนั้นยังอร่อยไม่เปลี่ยน แต่นี่อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายที่เธอได้ลิ้มรสชาตินี้
เพราะเธอไม่รู้ว่าเธอจะยังมีโอกาสมาที่นี่อีกไหม หรือร้านบะหมี่นี้จะยังอยู่ที่นี่อีกหรือเปล่า
ที่น่าสนใจก็คือ ตอนที่จะเดินไปจากถนนเก่าแก่เส้นนี้ ถาวซย่ามั่นบังเอิญเจอคนรู้จัก เป็นเพื่อนสมัยเรียนของเธอ…เพื่อนที่นั่งโต๊ะติดกับเธอ
เธอมองจากระยะไกล เด็กตัวเล็กๆ ผอมๆ ในตอนนั้นกลายเป็นคนอวบอ้วนไปเสียแล้ว ดูท่าน่าจะแต่งงานไปนานแล้ว…ถาวซย่ามั่นมองเพื่อนสมัยเรียนที่กำลังจูงเด็กราวสี่ห้าขวบเดินผ่านแผงขายไอศครีมเล็กๆ ไป
เพื่อนสมัยเรียนจำเธอไม่ได้ เธอจึงได้แต่มองอีกฝ่ายจูงมือลูกอยู่เงียบๆ และหายไปตรงหัวมุมถนนในที่สุด
ถาวซย่ามั่นคิดว่าตัวเองควรไปทักทายเธอเสียหน่อย เพียงแต่ความทรงจำตอนเด็กบางอย่างเหมือนถูกล็อกไว้กับความทรงจำที่เธอเพิ่งได้มาจากร้านบะหมี่เก่าแก่นั้น
บาดแผลในใจเป็นเรื่องราวทั้งชีวิต
กาลเวลากัดกร่อนร่องรอยทั้งหมดของถนนเก่าแก่เส้นนี้ไป ขณะเดียวกันก็กัดกร่อนความทรงจำของเธอไปด้วยเช่นกัน
เธอหวังให้เป็นเช่นนี้
การเยือนถิ่นเก่าของถาวซย่ามั่นจึงจบลงตรงนี้
…
แต่ถาวซย่ามั่นไม่คิดว่า วันนี้เธอยังต้องเจอเรื่องที่ไม่คาดคิดอีกเรื่องหนึ่ง
“เธอคือถาวซย่ามั่นใช่ไหม?”
เธอเห็นผู้ชายร่างสูงใหญ่ สวมแว่นดำ มีรอยสักเต็มตัวเดินเข้ามาทักเธอ บอกว่าตัวเองชื่อเฉียงจื่อ
*เจียวโถวผักหรือเนื้อในน้ำซอสเข้มข้นที่ราดบนข้าวหรือบะหมี่