ส่วนที่ 6 ข้ารักครอบครัวข้า ตอนที่ 18 ชายหนุ่ม

เจาะเวลาสู่ต้าถัง

ท้ายที่สุดหลี่เฉิงเฉียนก็เหนื่อยล้าและผล็อยหลับไปบนเก้าอี้ อวิ๋นเยี่ยถอดเสื้อคลุมของเขาออกมาแล้วคลุมให้เขา แล้วเอาผ้าคลุมของหงเฉิงมาคลุมตัวเอง ราตรีบนภูเขานั้นหนาวเหน็บน้ำค้างแรง คงไม่ดีถ้าหากป่วยไป วัยรุ่นอายุสิบห้าปีเป็นคิดคำนวณประหนึ่งผู้สูงวัยห้าสิบปี ไม่รู้จริงๆ ว่าความร่ำรวยมั่งคั่งนี้เป็นเรื่องดีหรือไม่ดีสำหรับเขากันแน่ พ่อและลูกกันไม่เรียกพ่อกับลูกแต่เรียกเป็นฮ่องเต้กับขุนนาง หากอยากได้อำนาจก็ต้องก้าวไปตามเส้นทางที่เคยถูกกำหนดไว้เช่นเดียวกับลาแก่ที่ถูกปิดตาและลากโม่ คิดว่าตนเองกำลังก้าวไปข้างหน้า แต่ใครจะรู้ว่ากำลังหมุนเป็นวงกลมอยู่

 

 

หลิ่งหนานเป็นดินแดนที่เสมือนเนื้อก้อนโต หลี่อันหลานกินไม่ได้ อวิ๋นเยี่ยก็กินไม่ได้ แม้ว่าจะดึงรัชทายาทเข้ามามีส่วนร่วมก็กินไม่ได้ ผลประโยชน์มากเกินไป โชคดีที่มีเหล่าขุนนางที่สร้างความดีความชอบที่ปากสูงอยู่ไม่น้อย หากดึงเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยสักจำนวนหนึ่ง ด้วยการที่มีพวกเขาคอยปกปิดไว้ เรื่องที่จะปกป้องหลี่อันหลานไม่ให้เกิดเรื่องน่าจะยังพอทำได้ แน่นอนว่าสำนักศึกษาก็ต้องเข้ามามีส่วนร่วมด้วย นี่เป็นแหล่งเงินทุนหลักที่มาในอนาคต ต้องตัดจางเลี่ยงทิ้ง คนคนนี้นอกจากจะทำการใหญ่ไม่ได้ทั้งยังจะทำให้งานเสียอีก การเข้าร่วมผู้ถือหุ้นที่แข็งแกร่งเกินไปไม่ใช่เรื่องดี ทหารผ่านศึกของหลี่เซี่ยวกงก็ไม่จำเป็นต้องส่งคืนแล้ว นิสัยเสียของอวิ๋นเยี่ยที่ยืมของของใครแล้วมีหรือจะส่งคืน

 

 

ในตอนนั้นเมื่อเหลาหลี่ให้ยืมคนก็ไม่มีเหตุผลที่จะเอากลับไป แม่เฒ่าตระกูลหลี่มาเยี่ยมท่านย่าที่บ้านเมื่อหลายปีก่อน ปิดประตูห้องนั่งคุยกันอยู่เป็นนาน ไม่รู้ว่าได้ผลประโยชน์จากตระกูลอวิ๋นไปเท่าไร ตอนจากไปก็ยิ้มตาหยี ทั้งยังหยิกแก้มซินเย่ว์อีก บอกว่าฮูหยินใหม่ช่างงดงามนัก หยิกนิดหน่อยแก้มก็แทบย้วย

 

 

ยายเฒ่าปากเสีย แม้กระทั่งภรรยาข้าก็ยังแอบแต๊ะอั๋ง

 

 

อย่างไรก็ตามทะเบียนครัวเรือนตอนนี้มีรายชื่อเพิ่มมากว่าร้อยชื่อ เราเองก็เป็นแค่เจวี๋ยโหว ทำจนที่บ้านมีคนรับใช้สี่ห้าร้อยคนมันจะดูเกินไปหน่อยหรือไม่

 

 

“อยากจะเข้ามาก็เข้ามา ข้าไม่กัดหรอก ยักแย่ยักยันอะไรอยู่ได้” หงเฉิงยังไม่ได้ไปพักผ่อน มองดูอวิ๋นเยี่ยกำลังคิดเรื่องต่างๆ ก็เดินวนเวียนอยู่รอบๆ อวิ๋นเยี่ย คิดอยากจะเข้ามาหาอยู่หลายครั้งแต่ก็ฝืนไม่เข้ามา ช่างดูน่าสงสาร

 

 

“อวิ๋นโหวกำลังวางแผนการที่จะสร้างผลกำไรให้กับพวกเรา จะให้กล้ารบกวนได้อย่างไร หากเกิดความคิดดีๆ หายไป ก็ทำให้ทุกคนพลอยเสียผลประโยชน์ไปด้วย” หงเฉิงยิ้มแหยๆ แล้วเดินเข้ามา ผู้ชายคนนี้ไม่โง่รู้ว่าการค้าครั้งนี้จะต้องเกี่ยวข้องกับผู้คนมากมาย เป็นไปไม่ได้เด็ดขาดที่จะสามารถทำได้ด้วยตระกูลเดียวเพียงลำพัง มีความเกี่ยวพันกันมากมาย

 

 

“คิดดีแล้วใช่ไหม รู้ว่าครั้งนี้เจ้าจะได้เชิดหน้าชูตาครั้งใหญ่ ไม่เพียงแต่เป็นตัวแทนของราชวงศ์ แต่ยังมีมหาเศรษฐีจำนวนมากคอยเป็นกำลังหนุนอยู่เบื้องหลัง ดีกว่าตำแหน่งไก่กาของเจ้าในหน่วยข่าวกรองมากมายเลยกระมัง” ต่างก็เป็นคนที่เข้าใจง่าย อวิ๋นเยี่ยจึงเปิดอกพูดอย่างชัดเจน

 

 

“ข้าเหล่าหง แม้แต่คิดยังไม่เคยคิดว่าในสถานที่ที่ป่าเถื่อนเช่นนั้นจะมีเรื่องดีๆ เช่นนี้ได้ ขอขอบคุณอวิ๋นโหวเป็นการล่วงหน้า” คนอย่างหงเฉิงปกติไม่ขอบคุณผู้อื่น นั่นก็คือแต่ไหนแต่ไรมาเป็นจำพวกไม่ยอมลงทุนลงแรงแม้แต่น้อยแต่จะแสวงหาผลประโยชน์ จะไม่เป็นหนี้บุญคุณของใครเด็ดขาด เพื่อที่ภายหน้าหากจะต้องลงมือจัดการในใจจะได้ไม่มีพันธะผูกพัน

 

 

“เหล่าหงเจ้าติดค้างหนี้น้ำใจข้าครั้งหนึ่ง หนี้น้ำใจนี้ข้าต้องการให้เจ้าคืนให้โซ่วหยาง ข้าเป็นหนี้นางมากมาย ข้าต้องการให้เจ้าไม่ว่าอย่างไรก็ตามต้องคุ้มครองนางให้ปลอดภัย ให้นางใช้ชีวิตบั้นปลายที่เหลืออย่างมีความสุข แน่นอน หากมีเจ้าพวกตาบอดคนไหนคิดหาเศษหาเลยกับนาง ช่วยข้ากำจัดมันด้วยและถือว่าข้าเป็นหนี้เจ้า”

 

 

เป็นไปไม่ได้ที่หงเฉิงจะไม่รู้ถึงความสัมพันธ์อันยุ่งเหยิงระหว่างอวิ๋นเยี่ยกับองค์หญิงโซ่วหยาง ขอเพียงแค่ไม่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของราชวงศ์ ถ้าต้องฆ่าคนสักหนึ่งหรือสองคนเขาก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร

 

 

ขอบฟ้าเริ่มปรากฏแสงขาวๆ เสียงไก่ขันดังขึ้นแต่ไกล สำหรับอวิ๋นเยี่ยแล้ว วันที่เจ็บปวดที่สุดก็มาถึงในที่สุดหลังจากอาหารเช้า หลี่ซื่อหมินกำลังเตรียมตัวกลับวัง หยางเฟยและอินเฟยกลับไม่ได้กลับไปด้วย จำเป็นต้องอาศัยอยู่จนกว่าช่างฝีมือจะเปลี่ยนน้ำในสระไท่เยี่ยออกทั้งหมดก่อนจึงจะกลับไป สำหรับข้อนี้อวิ๋นเยี่ยมีความเข้าใจใหม่เกี่ยวกับหลี่ซื่อหมิน เขาไม่กลัวอันตรายและจะไม่ให้อันตรายพุ่งเป้าไปที่ภรรยาและลูกๆ ของเขา เขาจะบุกน้ำลุยไฟเพียงคนเดียว เป็นคนคนหนึ่งที่มีความรับผิดชอบมาก

 

 

อวิ๋นเยี่ยปลุกเฉิงเฉียนให้ตื่นขึ้นแล้วพรมน้ำเย็นลงบนตัวเขาเล็กน้อย ทั้งยังไม่ยอมช่วยปัดฝุ่นบนตัวเขาด้วย สร้างเป็นภาพลักษณ์ลูกชายที่ดีที่รีบเดินทางไกลมาเพื่อปกป้องบิดา หงเฉิงรู้สึกอิจฉาหลี่เฉิงเฉียนที่มีคนคอยให้ความช่วยเหลือ ตนเองนอนตากน้ำค้างจนเปียกแฉะไปทั้งตัวก็ไม่มีใครสงสาร

 

 

“ไม่ต้องพรมน้ำให้รัชทายาทแล้ว ความทุกข์ยากของลูกข้าเรารู้ดี สร้างรายละเอียดในการเล่นละครได้ถึงจุดนี้ก็มีแต่เจ้าอวิ๋นเยี่ยถึงจะทำเรื่องเช่นนี้ได้ รัชทายาท เจ้าไม่ควรเรียนรู้เรื่องพวกนี้จากเขา การประพฤติตนเป็นพวกจอมปลอมนั้นถือว่าไม่ซื่อสัตย์ “

 

 

ไม่รู้ว่าหลี่ซื่อหมินปรากฎตัวอยู่บนระเบียงตั้งแต่เมื่อไหร่แล้วก้มมองลงมาด้านล่าง ไม่เหลือภาพลักษณ์ของฮ่องเต้เลยแม้แต่น้อยนิด

 

 

 “เจ้าหนุ่ม จัดเตรียมการเดินทางของเราเสร็จแล้วใช่หรือไม่ จะให้ดีก็จงตั้งใจทำเสียหน่อย มิฉะนั้นถ้าหากเราเกิดเรื่องร้าย เจ้าเองก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันสักเท่าไร” หลี่ซื่อหมินพูดอย่างเรียบง่าย ไม่เห็นเรื่องการลอบสังหารเป็นเรื่องใหญ่อะไร ตัวเขาเองก็คลานเอาชีวิตรอดออกมาจากกองศพ เมื่อพบเจอเหตุการณ์ดังกล่าวมามาก ตัวเขาจึงมีความมั่นใจในตัวเองที่แข็งแกร่งมาก ประสาอะไรกับการที่เขาได้เตรียมไว้ล่วงหน้าแล้ว หากยังเกิดเรื่องอีก ต้องเสียชีวิตไปก็สมน้ำหน้าแล้ว

 

 

“กระหม่อมจัดรถม้าไว้สามคันหนึ่ง ตกแต่งหรูหราหนึ่งคันและตกแต่งธรรมดาสองคัน จำนวนองครักษ์เท่ากัน ที่เหลือก็ขึ้นอยู่กับว่ามือสังหารจะโจมตีรถม้าคันไหนแล้ว” อวิ๋นเยี่ยพูดกับหลี่ซื่อหมิน

 

 

“เจ้าจะให้เรานั่งคันไหน” หลี่ซื่อหมินลูบเคราแล้วมองอวิ๋นเยี่ยด้วยอาการดูหมิ่น ไม่ว่าจะนั่งคันไหนก็มีอันตรายทั้งสิ้น ให้เด็กหนุ่มทำงานก็มักจะทำอะไรเหลวไหลเสมอ หากทำตามที่เขาบอกรมีหวังคงต้องถูกมือสังหารหัวเราะเยาะตาย

 

 

“ฝ่าบาทไม่ต้องประทับที่รถม้าคันไหนทั้งสิ้น รอให้กระหม่อมจับมือสังหารได้แล้ว พระองค์จึงค่อยเสด็จกลับ ขบวนคุ้มกันที่จะใช้หลอกล่อมือสังหารจะออกเดินทางในอีกหนึ่งชั่วยาม หากไม่มีอันตรายใดๆ ขบวนก็จะกลับไปถึงวัง หากมีอันตราย คราวนี้แม้มือสังหารจะติดปีกก็บินหนีไม่พ้น”

 

 

หลี่ซื่อหมินพยักหน้า การทำเช่นนี้สิจึงค่อยดูสมเหตุผลหน่อย ฮ่องเต้ไม่ได้มีไว้เพื่อเป็นเหยื่อล่อศัตรู

 

 

ทันใดนั้นทหารประจำตระกูลอวิ๋นก็วิ่งเข้ามาหาอวิ๋นเยี่ยและกระซิบอยู่สองสามประโยค อวิ๋นเยี่ยจึงสั่งการเพียงไม่กี่คำ ทหารคนนั้นจึงรับคำสั่งแล้วจากไป อวิ๋นเยี่ยเงยหน้าขึ้นและพูดกับหลี่ซื่อหมินว่า “ฝ่าบาท บางทีอาจจะไม่ต้องยุ่งยากถึงเพียงนั้นแล้วก็ได้ มีชาวบ้านพบรถม้าที่บรรทุกรถยิงหน้าไม้แล้ว กระหม่อมได้สั่งล้อมตลาดเอาไว้แล้ว แม้จะไม่รู้ว่าเจ้าโจรขโมยซ่อนตัวอยู่ที่ร้านไหนก็ตาม แต่เชื่อว่าภายใต้การค้นหาของแม่ทัพหงเฉิงต้องไม่มีทางเล็ดรอดออกไปได้อย่างแน่นอน”

 

 

หลี่ซื่อหมินก็ไม่แปลกใจ เพียงแค่โบกมือให้อวิ๋นเยี่ยและหงเฉิงไปจัดการ แล้วจึงเรียกรัชทายาทขึ้นมาพบ ตั้งใจจะถามเขาเกี่ยวกับสถานการณ์ของการไปบรรเทาทุกข์โดยลำพังในครั้งนี้ว่าเป็นอย่างไร ซึ่งก็ถือเป็นการทดสอบไปในตัว

 

 

โต้วเยี่ยนซันเก็บซ่อนตัวอยู่ในที่ปลอดภัยมาโดยตลอด ที่ร้านค้ามีโจวต้าฝูคอยดูแลก็เพียงพอแล้ว นี่คืองานที่ต้องเสี่ยงแลกด้วยชีวิต โจวต้าฝูไม่เพียงแต่ไม่กลัว แต่กลับรู้สึกตื่นเต้นมาก เมื่อเขาคิดว่าประเดี๋ยวจะมีฮ่องเต้ต้องตายด้วยน้ำมือตนเองก็ตื่นเต้นจนมือเท้าสั่นเทาไปทั้งร่าง นั่งอยู่ในห้องใต้หลังคา เปรียบเทียบมุมของรถยิงหน้าไม้อีกครั้ง หัวสิ่วหกดอกที่ใช้ทะลวงกำแพงเมืองหากยิงออกไปในระยะใกล้เช่นนี้ แม้เป็นเทพเซียนก็หนีไม่รอดแน่

 

 

เขาลูบศีรษะของเด็กหนุ่มผู้ที่กำลังควบคุมรถยิงหน้าไม้อยู่อีกด้านหนึ่งแล้วพูดด้วยน้ำเสียงอันอ่อนโยนว่า “หยาจื่อ เจ้าฮ่องเต้เลวคนนี้ทำให้พ่อของเจ้าต้องตายและแม่ของเจ้าก็ฆ่าตัวตายเพราะเรื่องนี้ ฮ่องเต้ชั่วคนนี้ติดหนี้เลือดพวกเรา วันนี้จะได้จัดการให้จบสิ้นไปเสียที วิญญาณของพ่อและแม่เจ้าบนสวรรค์จะต้องยินดีอย่างแน่นอน อีกสักครู่ไม่ต้องกลัว อาจะอยู่เป็นเพื่อนเจ้าเอง พวกเราจะฆ่าฮ่องเต้ชั่วด้วยกัน จะจารึกชื่อไว้ในประวัติศาสตร์”

 

 

ชายหนุ่มที่ถือค้อนไม้ขนาดใหญ่อยู่ในมือ ดูเหมือนจะสงบนิ่งกว่าโจวต้าฝูเสียอีก พูดกับโจวต้าฝูว่า “ท่านอาโจว ประเดี๋ยวเมื่อใช้ค้อนใหญ่อันนี้ทุบลงไป ลูกดอกก็จะพุ่งออกมาใช่ไหม”

 

 

“ถูกต้อง เพียงแค่ทุบลงไป ฮ่องเต้ชั่วก็จะตายแน่นอน พ่อและแม่ของเจ้า… “

 

 

โจวต้าฝูยังไม่ทันพูดจบ ชายหนุ่มก็พูดต่อว่า “ข้าเคยเจอท่านพ่อไม่กี่ครั้ง ท่านแม่วันหนึ่งๆ ก็เอาแต่ร้องไห้ ทำอะไรไม่เป็น พอท่านพ่อตายท่านแม่ก็ผูกคอตาย ก็แค่คนไม่เอาไหนสองคน การฆ่าฮ่องเต้ก็เป็นการทำในฐานะลูกชายของพวกเขา หลังจากเรื่องนี้เสร็จแล้ว ท่านอาโจวก็ไม่ต้องมาหาข้าอีก ไม่อย่างนั้นข้าจะฆ่าท่านด้วย ข้าเพียงแค่ไม่อยากให้ท่านแม่มารังควานข้าในความฝันอีก ข้ายังต้องการแต่งงานมีลูกและใช้ชีวิตที่ดีต่อไป หากต้องมีความฝันแบบนี้ไปตลอดมันไม่ดีเลย เรื่องนี้จะสำเร็จหรือไม่ก็เพียงแค่ครั้งนี้ครั้งเดียว”

 

 

โจวต้าฝูมองแววตาที่เย็นชาของชายหนุ่มแล้วก็รู้สึกเสียวสันหลังโดยไม่รู้ตัว หากทั้งสองหลบหนีออกไปได้ โจวต้าฝูไม่สงสัยเลยว่าชายหนุ่มที่เหมือนหมาป่าตัวนี้จะต้องฆ่าตนเองอย่างแน่นอน เมื่อคิดถึงตรงนี้แล้วก็ถอยหลังสองก้าว ไปยืนอยู่หลังรถยิงหน้าไม้ของตนเองและไม่พูดอะไรอีกเลย

 

 

เมฆหมอกบางๆ ระหว่างช่องเขาค่อยๆ ลดต่ำลงมาปกคลุมตลาดจนทำให้เห็นเงาผู้คนอย่างเลือนราง ตลาดเริ่มคึกคักวุ่นวายขึ้น แต่ไหนแต่ไรมาตลาดของหมู่บ้านตระกูลอวิ๋นเริ่มทำการค้าขายกันตั้งแต่เช้า เหล่าพ่อค้าที่ขยันขันแข็งก็เริ่มเปิดประตูเพื่อทำการค้า

 

 

ชายหนุ่มที่ดุดันเหมือนเสือดาวจู่ๆ ก็พูดกับโจวต้าฝูว่า “พวกเราถูกพบแล้ว มีคนมาจำนวนมากด้วย” โจวต้าฝูตื่นตระหนกและเปิดผ้าม่านที่ทำด้วยผ้าป่านเพื่อมองดูภายนอกซึ่งก็แดดร่มลมสงบไม่มีอะไรผิดปกติกับตลาด จึงอดไม่ได้ที่จะหันกลับไปมองชายหนุ่มคนนั้น

 

 

ชายหนุ่มเพียงแค่ทุบค้อนลงไปที่แท่นยิงลูกดอกที่ใช้ทะลวงกำแพงก็เกิดเสียง ฟิ้ว พุ่งออกไปยังกลุ่มคนที่อยู่กลางตลาด ซึ่งมีสองคนหนีไม่พ้น จึงถูกลูกดอกทะลวงกำแพงปักล้มลงกับพื้น ส่วนอีกดอกหนึ่งปักทะลุด้านหลังของอีกคนหนึ่งพร้อมกับเสียง ฟุบ ล้มลงบนถนนหินและขนตรงด้านปลายก็รับแรงกระแทกทำให้ฉีกออกจากกันเป็นชิ้นๆ ลอยไปทั่วท้องฟ้า

 

 

มีคนมากมายวิ่งออกจากร้านค้าแต่ละร้าน แห่กรูมุ่งหน้าไปที่ร้านขายปลาของโจวต้าฝู ฉวยโอกาสตอนที่โจวต้าฝูกำลังงงงวย ชายหนุ่มก็ใช้ค้อนทุบไปที่แท่นยิงของรถยิงหน้าไม้ของโจวต้าฝูทันที ลูกดอกทะลวงกำแพงสามดอกก็พุ่งออกมา ท่ามกลางฝูงชนที่แน่นขนัด ภายในเวลาชั่วพริบตาก็ปรากฏคราบเลือดเป็นทางสามเส้น เมื่อมองไปยังศพที่เกลื่อนกลาดอยู่บนพื้นแล้ว ชายหนุ่มก็แสยะยิ้ม เมื่อยกมือขึ้น ค้อนขนาดใหญ่ก็ฟาดลงบนศีรษะของโจวต้าฝู เพียงพริบตาศีรษะของโจวต้าฝูก็แหลกเละ ร่างทั้งร่างหน่วงหนักเหมือนกระสอบล้มตึงลงบนพื้น ดวงตาข้างหนึ่งถูกแรงอัดจนกระเด็นตกบนพื้นดิน แต่ยังคงแฝงไว้ด้วยแววตาแห่งความสับสน

 

 

ชายหนุ่มหยิบค้อนขึ้นมาอีกครั้งและทุบใส่ใบหน้าของโจวต้าฝูจนไม่สามารถแยกแยะได้อีก จากนั้นถอดเสื้อบนตัวที่เปื้อนเลือดแล้วคลุมลงบนศีรษะของโจวต้าฝู เขาเพียงแค่กระโดดเบาๆ ก็คว้าแปที่อยู่บนสุดของห้องใต้หลังคาได้ เมื่อออกแรงที่เอวก็ตีลังกาห้อยศีรษะลงเท้าชี้ฟ้า เคลื่อนตัวขึ้นไปบนหลังคา แกนกลางของหลังคาช่วยป้องกันเขาได้เป็นอย่างดี แล้วเคลื่อนตัวราวกับงูออกไปจากร้านขายปลาของบ้านโจว ฉวยโอกาสในขณะที่มือเกาทัณฑ์ที่เป็นหน่วยลาดตระเวนบนหลังคาฝั่งตรงข้ามกำลังโจมตีคนชุดดำที่เหลืออยู่ในร้านขายปลา เขากระโดดข้ามจากหลังคาหนึ่งไปยังอีกหลังคาหนึ่งอย่างง่ายดาย จนมาถึงร้านขายเนื้อเล็กๆ แห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ริมทางเดินตลาด

 

 

เขากระโดดจากลานบ้านลงมาโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย แล้วคว้าเอามีดฆ่าหมูจากหิ้งแล้วแทงเข้าไปตรงหัวใจหมูอ้วนที่ถูกผูกไว้ตัวหนึ่ง มีเลือดหลายหยดกระเด็นใส่เสื้อสีน้ำเงิน จึงคลายเชือกที่ผูกติดกับปากหมูไว้อย่างพอใจ ปล่อยให้หมูได้เปล่งเสียงร้องครวญเป็นครั้งสุดท้าย

 

 

หมูกำลังร้องคร่ำครวญ แต่ชายหนุ่มกำลังร้องไห้สะอื้นอยู่ ปากก็บ่นพึมพำว่า “ท่านแม่ ลูกได้แก้แค้นให้ท่านแล้ว ชีวิตคนเจ็ดแปดคนน่าเพียงพอที่จะทำให้ท่านพอใจแล้วกระมัง ต่อจากนี้ไปลูกจะตั้งใจทำกิจการร้านหมูนี้เป็นอย่างดี ไม่มีอะไรต้องกังวลอีกแล้ว”

 

 

ประตูด้านนอกมีเสียงพังประตูดังขึ้น ชายหนุ่มเดินก้าวโตเพื่อไปเปิดประตู ก็เห็นชายเจ็ดแปดคนยืนอยู่ด้านนอกประตู แต่ละคนถือมีดดาบและโล่แนวขวางอยู่ในมือ ธนูถูกง้างรอไว้ ขอเพียงแค่เขามีท่าทีผิดปกติก็จะโจมตีทันที