ราชันเร้นลับ 614 : สหภาพนักผจญภัย

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ

ราชันเร้นลับ 614 : สหภาพนักผจญภัย โดย Ink Stone_Fantasy

ไคลน์นั่งในผับ กำหมัดแน่นพร้อมกับทุบลงบนโต๊ะเสียงดัง

“เบียร์นันวีลล์หนึ่งแก้ว”

ที่ด้านหลังชายหนุ่ม คนคุมผับจำนวนหนึ่งทำสีหน้าลังเลว่าจะตักเตือนดีหรือไม่ เกี่ยวกับกฎห้ามยิงปืนภายในผับ

บาร์เทนเดอร์ขยิบตาให้เหล่าคนคุม หยิบแก้วขึ้นพลางกล่าวกับไคลน์ด้วยรอยยิ้ม

“ลองน้ำมะนาวหวานสักแก้วไหมครับ บอสของเราถ่อไปถึงทรีอาร์เพื่อเรียนเทคนิคการผสมค็อกเทล จนสามารถบรรลุศาสตร์ผสมค็อกเทลชั้นสูงที่จักรพรรดิโรซายล์คิดค้นขึ้น หลังจากกลับมา บอสเริ่มออกแบบสูตร ‘มะนาวหวาน’ ขึ้นเองจนได้รับความนิยมอย่างล้นหลามจนถึงปัจจุบัน”

ไคลน์ไม่เปลี่ยนใจ ตอบกลับเย็นชา

“ฉันดื่มแต่เบียร์”

“ไม่มีปัญหาครับ” บาร์เทนเดอร์ไม่รีบร้อนเทเบียร์นันวีลล์ลงแก้ว เพียงซักถามด้วยรอยยิ้ม “คุณเป็นนักผจญภัยใช่ไหม”

ไคลน์พยักหน้า ไม่กล่าวสิ่งใดต่อ

บาร์เทนเดอร์เล่าด้วยท่าทีเป็นกันเอง

“ผมขอแนะนำให้คุณขึ้นไปพบบอสของเรา เขาเป็นมิตรกับนักผจญภัยหน้าใหม่เสมอ ส่วนมากมักเลี้ยงเครื่องดื่มสักแก้ว หรือไม่ก็มอบความช่วยเหลือทางใดทางหนึ่ง”

ไคลน์ที่มีแผนจะซื้อวัตถุดิบเสริมของโอสถนักเชิดหุ่นอยู่แล้ว ย่อมไม่ตอบปฏิเสธ เพียงหยิบเหรียญเพนนีทองแดงขึ้นมาดีด ตามด้วยการใช้มือคว้าไว้อย่างชำนาญ

มันวางเหรียญเพนนีลงบนเคาน์เตอร์ คล้ายเป็นทิปขอบคุณบาร์เทนเดอร์ที่ช่วยบอก จากนั้นก็ลุกยืนอย่างไม่รีบร้อน เดินตามคนคุมผับขึ้นบันไดไปยังชั้นสอง ตรงเข้าห้องสุดทางเดินยาว

พื้นห้องถูกปูด้วยพรมสีน้ำตาลผืนหนา กลิ่นเจือจางของถ่านฟืนคุณภาพสูงลอยสัมผัสปลายจมูกอย่างนุ่มนวล ผสมผสานเข้ากับกลิ่นหอมของซิการ์ราคาแพง

ชายวัยกลางคน ผมสีทอง กำลังนั่งเอนหลังบนเก้าอี้นอนด้วยท่าทีผ่อนคลาย ปากสูบซิการ์ ตามองหนังสือพิมพ์ รายล้อมด้วยบอดี้การ์ดมากกว่าหกคน

แม้ไคลน์จะไม่ใช่ผู้วิเศษเส้นทางผู้ชมที่สามารถประเมินเส้นทางอย่างคร่าวของเหล่าบอดี้การ์ด และไม่ใช่เส้นทาง ‘สัตว์ประหลาด’ หรือ ‘ผู้ส่องความลับ’ ที่มองเห็นความลับหรือลักษณะเฉพาะของเป้าหมาย แต่สัมผัสวิญญาณของชายหนุ่มสามารถยืนยันได้ว่า บอดี้การ์ดทุกคนล้วนเป็นผู้วิเศษในระดับที่สามารถเป็นภัยคุกคามต่อตน

ชายวัยกลางคนวางหนังสือพิมพ์ลง ขยับเนกไทบนเสื้อเชิ้ตสีดำเล็กน้อย ลุกขึ้นยืนและเดินมาหาไคลน์อย่างไม่รีบร้อน แขนขวาเหยียดออกมาด้านหน้า

“ยินดีต้อนรับสู่โอลาวี สหายนักผจญภัย”

ดวงตาสีฟ้าของอีกฝ่ายเผยความอ่อนโยนและจริงใจ

ไคลน์ยื่นมือขวาจับตอบ ออกแรงเขย่าเล็กน้อยโดยไม่กล่าวสิ่งใด รอให้อีกฝ่ายเริ่มเปิดประเด็นสนทนา

ชายวัยกลางคนชี้ไปทางโซฟาด้านตรงข้ามเก้าอี้เอนหลัง พลางหัวเราะในลำคอ

“บิลต์·แบรนโด้ บอสใหญ่ของที่นี่ ผมเคยเป็นนักผจญภัยมาก่อน แถมยังมีฝีมือพอตัว หลักฐานยืนยันคือการทำเงินได้เป็นกอบเป็นกำจวบจนทุกวันนี้”

มั่นใจในฝีมือของตัวเองจนกล้าป่าวประกาศต่อหน้าคนเพิ่งพบกันครั้งแรก…

ไคลน์นั่งลงโดยไม่มากพิธี เอนตัวมาด้านหน้าด้วยอารมณ์ไม่แปรเปลี่ยน ท่าทีคล้ายกับรอให้บิลต์เล่ารายละเอียดเพิ่มเติม

เมื่อเห็นนักผจญภัยฝั่งตรงข้ามไม่ตอบสนอง บิลต์นั่งลง สูบซิการ์ กล่าวด้วยท่าทีเป็นกันเอง

“ขอพูดตามตรงก็แล้วกัน ผมมีเหตุผลที่ต้องการพบปะนักผจญภัยหน้าใหม่อยู่เสมอ”

มันชี้ไปยังแผนที่บนโต๊ะทำงาน กล่าวบรรยายด้วยน้ำเสียงน่าฟัง

“จากหมู่เกาะรอสต์จนถึงสุดเขตตะวันออก ท้องทะเลยิ่งทวีความปั่นป่วน อิทธิพลของกองทัพและโบสถ์หลักย่อมไม่แข็งแกร่งเท่ากับแผ่นดินใหญ่ มีปัญญาปกป้องได้เฉพาะฐานทัพเรือของตัวเองเท่านั้น น่านน้ำละแวกดังกล่าวเปรียบดังแดนสวรรค์ของโจรสลัด ถือเป็นข่าวร้ายสำหรับนักผจญภัยอย่างพวกเรา ผมจึงต้องการรวมทุกคนเข้าด้วยกันเป็นกลุ่มก้อน สร้างสายสัมพันธ์อย่างหลวม ๆ ระหว่างนักผจญภัยด้วยกัน และจูงมือกันฝ่าฟันอันตราย เป็นความสัมพันธ์แบบไม่ผูกมัด คุณมีสิทธิ์ไม่ช่วยนักผจญภัยคนอื่นในยามเดือดร้อน แต่ขณะเดียวกันก็ห้ามคาดหวังว่าใครจะช่วยเหลือ มีหนึ่งสิ่งที่ผมสามารถรับปากให้ได้ หากนักผจญภัยคนใดต้องการซื้อสินค้ากับผม ทุกคนจะได้รับส่วนลดจนใกล้กับราคาขั้นต่ำ และเมื่อต้องการขายสินค้าหลังจากเก็บเกี่ยว ที่นี่จะรับซื้อในราคาท้องตลาด”

กล่าวจบ บิลต์จ้องนักผจญภัยฝั่งตรงข้ามพลางเผยรอยยิ้มเป็นมิตร

“เป็นอย่างไรบ้าง สนใจจะเข้าร่วมพันธมิตรอย่างหลวม ๆ ของผมหรือไม่? อย่าได้คิดมาก ทางเราไม่มีการหักค่าใช้จ่ายแรกเข้าหรืออะไรทำนองนั้น จุดประสงค์เพียงอยากให้ร่วมมือกันปกป้องตัวเองจากโจรสลัด”

ไคลน์ผงกหัว

“น่าสนใจ”

“ฮะฮะ! ผมก็คิดแบบนั้น อันที่จริง ผมเคยคิดจะตั้งชื่อพันธมิตรนี้ว่า ‘ภารดรภาพนักผจญภัย’ แต่คำถามว่า ‘ภารดรภาพ’ ฟังดูผิดจุดประสงค์ไปสักนิด จึงเปลี่ยนมาเป็น ‘สหภาพนักผจญภัย’ แทน” บิลต์เล่าพลางหัวเราะ

กล่าวถึงตรงนี้ มันลดมือข้างถือซิการ์ลง เม้มปากล่างเล็กน้อยพร้อมกับส่ายหน้า

“จริงสิ ผมลืมถามชื่อของคุณ”

ไคลน์ไม่เปลี่ยนท่านั่ง มอบคำตอบเสียงเย็น

“เกอร์มัน·สแปร์โรว์”

“เกอร์มัน·สแปร์โรว์…” บิลต์หรี่ตาลงทันที รอยยิ้มบนใบหน้าพลันหดหาย บอดี้การ์ดรอบตัวปรับเปลี่ยนท่าทีกะทันหัน คล้ายกับเตรียมรับมือการจู่โจมจากศัตรู

เพียงไม่นาน บิลต์กลับเป็นปรกติ และไม่คิดสืบสวนว่าอีกฝ่ายคือเกอร์มัน·สแปร์โรว์ตัวจริงหรือไม่ ยังคงเล่าต่อไปด้วยรอยยิ้มเป็นมิตร

“แล้วคุณอยากซื้ออะไรบ้างไหม ผมมีสินค้าพร้อมขายหลายชนิด”

“น้ำจากบ่อน้ำพุทองคำแห่งเกาะโซเนีย”

ไคลน์ตอบกระชับ ภายในใจนึกกังวลเล็กน้อย

มันไม่เอ่ยชื่อของเปลือกต้นมังกรเนื่องจากวัตถุดิบดังกล่าวสามารถหาซื้อได้จากร้านขายสมุนไพรทั่วไป ขณะเดียวกันก็เพื่อไม่ให้อีกฝ่ายคาดเดาสูตรโอสถ

บิลต์·แบรนโด้หายใจทั่วท้อง ฉีกยิ้มกว้าง

“พร้อมขายสามสิบปอนด์ต่อหนึ่งร้อยมิลลิลิตร เชื่อผม ถึงคุณจะไปซื้อถึงเกาะโซเนียโดยตรง แต่ราคาก็จะถูกกว่านี้แค่ไม่กี่ปอนด์ พวกคนป่าฟุซัคเอาแต่ผูกขาดน้ำพุทองคำไว้ฝ่ายเดียว ยากที่คนนอกจะแฝงตัวเข้าไปกอบโกย”

“ตกลง”

ไคลน์พอจะมีราคาสินค้าในใจ จึงมองว่าสามสิบปอนด์ต่อหนึ่งร้อยมิลลิลิตรนั้นค่อนข้างถูก

เมื่อตกลงปากเปล่าเสร็จ บิลต์เตรียมเปิดปากเล่าบางสิ่ง แต่ก็ต้องชะงักหลังจากได้ยินใครบางคนเคาะประตู

มันให้สัญญาณอนุญาต คนคุมผับรายหนึ่งเดินเข้ามาด้านในและกระซิบข้างหู กล่าวบางคำด้วยเสียงที่ไคลน์ไม่ได้ยิน

สีหน้าบิลต์พลันดำมืด คล้ายอวัยวะทุกส่วนในร่างกายเย็นเฉียบกะทันหัน จิตสังหารเอ่อล้นออกมาอย่างท่วมท้น

เขาไม่ได้โกหก… ฝีมือแข็งแกร่งพอตัว หากไม่ใช่นักผจญภัยที่เก่งกาจ ก็ต้องเคยเป็นโจรสลัดแถวหน้ามาก่อน… คงอยู่ราวลำดับกลาง…

ไคลน์จ้องสำรวจอีกฝ่ายอย่างใจเย็น

บิลต์หันหน้ามาทางชายหนุ่ม กล่าวด้วยท่าทางไม่เต็มใจ

“มิสเตอร์สแปร์โรว์ ผมมีเรื่องด่วนต้องรีบไปสะสางให้เสร็จ ไว้หาโอกาสดื่มด้วยกันใหม่”

“เชิญ” ไคลน์ลุกยืน ไม่ประสงค์จะสอดมือเข้าไปข้องแวะกับปัญหาของอีกฝ่าย

แน่นอน มันเกิดความอยากรู้อยากเห็น แต่ความอยากรู้อยากเห็นก็เคยพาตนฉิบหายมานักต่อนักแล้ว

หลังออกจากผับมะนาวหวาน ไคลน์กลับไปพักในโรงแรมที่เช็กอินไว้

ณ เมืองเงินพิสุทธิ์ จังหวะของสายฟ้าเบื้องบนค่อนข้างถี่ หมายถึงเวลา ‘กลางวัน’

หลังจากเดอร์ริค·เบเกอร์ฝึกฝนพลังในขอบเขต ‘ข้ารับใช้สุริยัน’ จนพึงพอใจ มันเดินไปตามถนนลานฝึก ปลายทางคือหอคอยคู่

เนื่องจากเคยเข้าร่วมชุมนุมทาโรต์หลายหน มันพอจะจับระยะห่างของการชุมนุมแต่ละครั้งได้บ้างแล้ว คาดคะเนได้ว่าอีกกี่ ‘กลางวัน’ จึงจะถูกมิสเตอร์ฟูลดึงขึ้นไปบนมิติหมอก

และวันนี้คือ ‘กลางวัน’ สุดท้าย

เด็กหนุ่มตัดสินใจเข้าหอสมุดเพื่ออ่านบันทึกตำนานเกี่ยวกับเทพบรรพกาล เพื่อนำข้อมูลดังกล่าวไปจ่ายหนี้ให้เดอะฟูล

หลังจากเดินพ้นลานฝึก เดอร์ริคเหลือบไปเห็นทีมสำรวจล่าสุดที่เพิ่งกลับมาถึง เป็นทีมของโคลิน·อีเลียด เจ้าเมืองและประธานสภาอาวุโสแห่งเมืองเงินพิสุทธิ์

เมื่อไม่กี่วันก่อน กลุ่มคนเหล่านี้สำเร็จภารกิจสำรวจตามคำอธิบายของเด็กชายแจ็ค และเดินทางกลับมาพักอยู่ในเขตกักกันตัวชั่วคราว

เด็กหนุ่มเบือนหน้ากลับ เร่งฝีเท้าตรงไปทางหอคอย ขึ้นชั้นสามโดยไม่แวะพักที่ไหน

ขณะกำลังมองหาตำนานเทพบรรพกาลบนชั้นหนังสือในหมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง มันบังเอิญหันไปเห็นบุคคลที่คุ้นเคย

อีกฝ่ายคือสตรีงดงาม สวมชุดคลุมสีดำสลับแถบม่วง เส้นผมสีเงินม้วนหยักศกเล็กน้อย

ไม่ใช่ใครนอกจากหนึ่งในหกสภาอาวุโสประจำเมือง โลเฟียร์·ทิฟฟานี่ ผู้ควรถูกคุมขังในคุกใต้ดินเป็นเวลานาน

เมื่อสายตาคนทั้งสองประสานกัน เดอร์ริคพลันรู้สึกคล้ายดวงวิญญาณตนถูกเสียดแทง ร่างกายแข็งทื่อนานหลายวินาที

“ค…คารวะอาวุโสโลเฟียร์” เด็กหนุ่มรีบก้มศีรษะพลางใช้มือทาบหน้าอก

โลเฟียร์เดินเข้ามาใกล้ พยักหน้าเล็กน้อยพร้อมส่งเสียงกระซิบ

“ฉันถูกปล่อยตัวแล้ว”

สิ้นเสียงอันแผ่วเบา หญิงสาวหันหลังกลับและเดินจากไปโดยไม่กล่าวคำใดเพิ่ม

เดอร์ริคยืนแน่นิ่งเช่นนั้นเป็นเวลานาน เหงื่อเย็นเม็ดใหญ่ผุดขึ้นตามลำตัว

ทำไมเธอถึงถูกปล่อย?

สภาเมืองยืนยันแล้วว่าเธอไม่เป็นพิษภัย?

เดอร์ริคครุ่นคิดด้วยอารมณ์ตึงเครียดสุดขีด

วันจันทร์ช่วงบ่าย

ณ มิติเหนือสายหมอกเทา

ไคลน์วางศอกลงบนที่พักแขนเก้าอี้ สองมือประสานด้านหน้า สายตาจ้องกลุ่มแสงสีแดงเข้มรอบโต๊ะทองแดงยาว ร่างแล้วร่างเล่าถูกฉายเหนือเก้าอี้ในลักษณะคล้ายโฮโลแกรมที่ไม่คมชัด

จากนั้น ชายหนุ่มได้ยินคำทักทายจากจัสติส

“ทิวาสวัสดิ์ค่ะ มิสเตอร์ฟูล~”

……………………