ตอนที่ 1831 ความสามารถของร่างทอง

A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน

นักปราชญ์ตะโกนด้วยเสียงแผ่วเบา ปีศาจผีเสื้อทั้งหมดกระพือปีกทั้งสองข้าง ผงห้าสีทะลักออกมาจากหมอกลำแสง จากนั้นก็ร่ายอาคมกระตุ้น กลายเป็นเมฆพิษห้าสีขนาดสองสามหมู่ ห่อหุ้มมาทางหานลี่

แทบจะในเวลาเดียวกันเสียงนักปราชญ์บริกรรมพลันดังขึ้น อ้าปากออก พ่นคัมภีร์ไม้ไผ่สีแดงอ่อนออกมา

คัมภีร์ไม้ไผ่มีลำแสงไหลวนโคจรแล้วเปิดออก ชั่วขณะนั้นลำแสงสีแดงพลันเปล่งแสงสว่างวาบ คาดไม่ถึงว่าจะมีอักขระเปล่งแสงสีแดงวาววับจำนวนมากบินออกมา

อักขระยันต์เหล่านี้ดูลึกลับ แต่เมื่อบินออกมา ก็ทยอยกันบิดเบี้ยว กลายเป็นวิหคเพลิงสีแดง ไล่ตามหานลี่ไปติดๆ ราวกับหมอกพิษ

แม้ว่าเหลาอัยผู้นี้จะเป็นแค่สิ่งมีชีวิตระดับผสานอินทรีย์ขั้นต้นคนหนึ่ง แต่การลงมือกลับไม่ธรรมดา

มิน่าล่ะหลังจากที่เห็นหานลี่ต้านทานกับสิ่งมีชีวิตระดับขั้นกลางแล้ว ก็ยังคงกล้าขึ้นมาท้าประลอง

ทว่าขั้นตอนเหล่านี้ล้วนยังคงไม่มีค่าอันใดสำหรับหานลี่

หานลี่เห็นการโจมตีที่ดุเดือด กลับไม่ตกตะลึงแต่ฉีกยิ้มออกมา

และไม่เห็นว่าเขาจะใช้สมบัติใดๆ แค่ใช้สองมือร่ายอาคมที่ทรวงอกอย่างรวดเร็ว ลำแสงสีทองเปล่งแสงสว่างวาบ แผ่นหลังมีเงาลวงตาสีทองสามเศียรหกกรปรากฏขึ้น

กรทั้งหกของเงาลวงตานี้ร่ายอาคมพร้อมกัน ผิวมีลำแสงไหลวนโคจรไปมา คาดไม่ถึงว่าจะกลายเป็นร่างที่แท้จริงสีทองเรืองรอง

ใบหน้าทั้งสามเหมือนกับหานลี่ทุกระเบียบนิ้ว ล้วนชัดเจนราวกับมนุษย์จริงๆ ในเวลาเดียวกันแขนทั้งหกพลันมีเกล็ดสีทองปรากฏขึ้น อักขระยันต์ปรากฏขึ้นบนใบหน้ารางๆ ดูแล้วลึกลับเป็นอย่างยิ่ง

นั่นก็คือร่างทองพราหมณ์ศักดิ์สิทธิ์มารเที่ยงแท้ที่หานลี่หลอมขึ้น

“เทวรูปร่างทอง!”

บรรพชนตระกูลหล่งที่อยู่ด้านล่างแท่นเห็นรูปร่างของเทวรูปพราหมณ์ศักดิ์สิทธิ์มารเที่ยงแท้ชัดเจน คาดไม่ถึงว่าจะร้องอุทานเสียงหลงออกมา ใบหน้าที่แต่เดิมไร้ความรู้สึกเผยสีหน้าตกตะลึงออกมา

ไม่ใช่แค่บรรพชนตระกูลหล่ง สิ่งมีชีวิตระดับผสานอินทรีย์ขั้นกลางของตระกูลเยี่ยและตระกูลหลิงก็รู้จักร่างทองเช่นกัน และมีสีหน้าตกตะลึงไปเช่นกัน

ชั่วพริบตาที่แผ่นหลังของหานลี่มีร่างทองปรากฏขึ้น หมอกพิษและวิหคเพลิงทั่วทั้งท้องฟ้าก็มาอยู่ตรงหน้า มองปราดเดียวก็ร่อนลงมาหายวับไป

แต่แววตาของหานลี่กลับฉายแววเย็นชา ฉับพลันนั้นพลันมีเสียงร้องตะโกนดังขึ้น

ร่างทองที่แผ่นหลังพลิ้วไหว มาต้านทานด้านหน้าเขาเอาไว้อย่างไรก็มิอาจทราบได้ และยิ่งไปกว่านั้นผิวก็เปล่งแสงสีทองออกมา ร่างกายขยายใหญ่ขึ้นสองสามเท่า จนมีขนาดสองสามจั้ง ในเวลาเดียวกันก็ชูแขนทั้งหกขึ้น ตบไปทางหมอกพิษและวิหคเพลิงเบาๆ

เสียง “พรึ่บๆ” ดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง!

ในมือสีทองทั้งหกมีดวงแสงสีทองปรากฏขึ้น หมุนคว้างอยู่ตรงใจกลางฝ่ามือไม่หยุด

ทันใดนั้นแขนก็ขยับ ดวงแสงทั้งหกพุ่งออกมา ผสานกันกลางอากาศ คาดไม่ถึงว่าจะกลายเป็นระลอกคลื่นสีทองกลุ่มหนึ่ง

แทบจะในเวลาเดียวกัน ร่างทองสามเศียรก็ลืมตาขึ้นพร้อมกัน เปล่งเสียงบริกรรมคาถาที่ไม่เหมือนกันออกมา

ท่ามกลางระลอกคลื่น เสียงฟ้าผ่าดังขึ้นพร้อมกับเสียงสวดมนต์ภาษาสันสกฤต เปล่งแสงสว่างวาบแล้วมีขนาดยักษ์สามสี่จั้ง

จากนั้นคลื่นสีทองที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่าก็พุ่งออกมาจากระลอกคลื่น ทุกแห่งที่กวาดผ่านไป ไม่ว่าหมอกพิษที่ร่อนลงมาหรือวิหคเพลิงที่พุ่งไปทั่วทั้งสี่ทิศ ล้วนถูกม้วนเข้าไปอย่างไม่อาจต้านทานได้ ถูกดูดเข้าไปในระลอกคลื่น

หลังจากผ่านไปชั่วครู่ กลางอากาศที่เดิมมีท่าทีน่าสะพรึงกลัว พลันถูกกวาดออกไปจนเกลี้ยง ไม่เหลือร่องรอยเลยสักนิด

เหลาอัยเห็นเช่นนี้ ย่อมตกตะลึง!

เขาขยับพู่กันยักษ์สีทองในมืออย่างรีบร้อน ยามที่หมายจะทำการโจมตีอีกครั้ง กลับไม่มีโอกาสแล้ว

หานลี่เคลื่อนไหวความคิด ร่างทองพราหมณ์ศักดิ์สิทธิ์ตรงหน้าโบกสะบัดแขนทั้งหก ชี้ไปที่นักปราชญ์ที่อยู่ตรงข้าม แล้วกลับพลิกฝ่ามือโจมตีออกไป

หลังจากเสียง “ปังๆ” ดังขึ้น เงากำปั้นสีทองเจิดจ้าหกลูกก็บินออกมาจากร่างทอง แต่เปล่งแสงสว่างวาบก็หายวับไปอย่างไร้ร่องรอย

“แย่แล้ว!”

นักปราชญ์เองก็เป็นผู้บำเพ็ญเพียรที่มีชีวิตมาเนิ่นนาน เมื่อเห็นสถานการณ์เช่นนี้ก็ร้องอุทานในใจออกมา เดิมที่คิดจะใช้การโจมตีจากพู่กันยักษ์สีทองพลันหดหายไป

ลำแสงสีทองสว่างวาบ โล่ทรงกลมสีทองพลันปรากฏขึ้นตรงหน้า

แทบจะในเวลาเดียวกันเขาพลันพ่นคัมภีร์ไม้ไผ่สีแดงออกมาแล้วกลายเป็นม่านลำแสงสีแดง ห่อหุ้มร่างของเขาเอาไว้

ประกอบกับไม้สีทองที่กลายเป็นสายรุ้งสีดำในยามแรก คาดไม่ถึงว่าเขาจะวางเครื่องป้องกันที่ดูไม่ธรรมดาเอาไว้สามชั้น

แต่แทบจะในพริบตาที่เครื่องป้องกันปรากฏขึ้น เงากำปั้นสีทองหกกลุ่มก็เข้ามาประชิดแค่คืบแล้ว

เดิมมีขนาดแค่ฝ่ามือ แต่เปล่งแสงสว่างวาบ ก็มีขนาดเท่าศีรษะ และส่งเสียงหวีดร้องแหลมสูงออกมาทำการโจมตี

ลำแสงสีทองเจิดจ้าจนแสบตา เงากำปั้นสามกลุ่มระเบิดออก เครื่องป้องกันสามชั้นเปล่งแสงสว่างวาบแล้วหายวับไป เผยร่างที่แท้จริงของเหลาอัยออกมา

นักปราชญ์เห็นเช่นนี้ย่อมตกใจจนขวัญกระเจิง ไม่ทันต้องคิด สองมือพลันประกบเข้าด้วยกันแล้วแยกออก คาดไม่ถึงว่าในมือจะมีค้อนกระดูกสีขาวโพลนเพิ่มขึ้นมา

สองมือถือเอาไว้ ขวางไว้ด้านหน้าอย่างรวดเร็ว

ค้อนกระดูกสีขาวมีขนาดสองสามจั้ง!

เงากำปั้นสีทองสามกลุ่มมาอยู่ตรงหน้านักปราชญ์อย่างต่อเนื่องท่ามกลางเสียงหวีดร้อง

เสียงอึกทึก “ตึงๆ” ดังสนั่นขึ้น!

ลำแสงสีทองและลำแสงสีขาวตัดสลับกันไปมา นักปราชญ์รู้สึกเพียงว่าพลังมหาศาลกลุ่มหนึ่งส่งออกมาจากค้อนกระดูก นิ้วทั้งสิบกำลังจะแตก จึงถอยร่นไปก้าวหนึ่งโดยไม่รู้ตัว

แต่ไม่รอให้เขาได้ยืนให้มั่นคง เงากำปั้นสีทองลูกที่สองก็โจมตีไปบนค้อนกระดูกเช่นกัน

หลังจากเสียงอึกทึกที่สองดังขึ้น นักปราชญ์ก็หน้าซีดเผือดไร้สีโลหิต ไม่อาจกุมค้อนกระดูกยักษ์เอาไว้ได้อีก หลังจากเสียงสวบดังขึ้น คาดไม่ถึงว่าจะบินออกมาจากเงากำปั้นที่สอง

ยามนี้เงากำปั้นที่สามไม่ให้โอกาสนักปราชญ์ได้ตอบโต้ เปล่งแสงสว่างวาบ แล้วโจมตีไปลำแสงที่คุ้มครองร่างของเขา

นักปราชญ์หน้าซีดขาวไร้สีโลหิต จากนั้นก็รู้สึกเพียงว่าเบื้องหน้ามีลำแสงสีทองเจิดจ้า ชั่วขณะนั้นพลังมหาศาลพลันทะลักออกมา

แทบจะไม่มีพลังต้านทานเลยสักนิด ร่างของนักปราชญ์สั่นเทาอย่างหนักแล้วบินออกมา หลังจากเสียงอึกทึกดังขึ้น คาดไม่ถึงว่าจะปะทะเข้ากับกำแพง ถูกโจมตีจนกระเด็นออกมาจากแท่นหมื่นวิญญาณ บินออกมาไกลจากแท่นหินสิบกว่าจั้ง

ในที่สุดผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ตระกูลเหลาก็เปล่งแสงสว่างวาบ เมื่อยืนนิ่งได้กลางอากาศอีกครั้ง กลับตรวจสอบร่างกายตนเองอย่างรีบร้อน ผลคือพลันมีสีหน้าผ่อนคลายพลางพ่นลมหายใจออกมา

“ขอบพระคุณสหายที่ปรานี อิทธิฤทธิ์ของพี่หานกว้างใหญ่นัก ข้าน้อยรู้ตัวว่ามิใช่คู่ต่อสู้” เหลาอัยประสานกำปั้น คาดไม่ถึงว่าจะเอ่ยขอบคุณหานลี่อย่างซาบซึ้งใจ

เห็นได้ชัดว่าจากอานุภาพมหาศาลของเงากำปั้นตรงหน้าของหานลี่ เขาไม่อาจอยู่รอดปลอดภัยได้ และรู้ว่าอีกฝ่ายยั้งมือแล้ว

“ไม่เป็นไร ในเมื่อเป็นการประลอง ทำเช่นนี้เป็นเรื่องที่สมควรแล้ว” หานลี่หัวเราะน้อยๆ ออกมา ปากก็เอ่ยอย่างราบเรียบออกมา

หากไม่จำเป็น เขาย่อมไม่มีทางสร้างความแค้นกับผู้ใดง่ายๆ

ทว่าศิษย์ตระกูลจิตวิญญาณเที่ยงแท้ที่อยู่ด้านล่างแท่นกลับกำลังตกตะลึงจนตาค้าง

แม้ว่าคนส่วนใหญ่ล้วนมองออกว่าหานลี่ไม่ใช่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ขั้นต้นธรรมดาๆ แต่จากที่เหลาอัยเพิ่งจะประมือกับเขาได้แค่กระบวนท่าเดียว แม้กระทั่งแค่ไม่กี่พริบตา อีกฝ่ายก็ถูกโจมตีจนกระเด็นออกจากแท่นหมื่นวิญญาณ นี่มันน่าเหลือเชื่อเกินไปแล้ว!

ส่วนสิ่งมีชีวิตระดับผสานอินทรีย์ในตระกูลจิตวิญญาณเที่ยงแท้ สายตาที่มองหานลี่บนแท่นหมื่นวิญญาณ ย่อมมีสีหน้าที่แตกต่างกันไป ส่วนใหญ่ล้วนแฝงเอาไว้ด้วยความหวาดกลัวและเคารพนับถือ ส่วนน้อยล้วนเผยสีหน้าสลับซับซ้อนยากจะเข้าใจออกมา

ส่วนหานลี่พลันบินออกมาจากม่านลำแสงอย่างทระนงองอาจ กลับมานั่งด้านข้างผู้บำเพ็ญเพียรตระกูลกู่อีกครั้ง

“ท่านอาจารย์ เชิญดื่มชา!” ไป๋กั่วเอ๋อร์ชงสุราวิญญาณเสร็จตั้งแต่เมื่อไหร่ก็สุดจะรู้ได้ พลางส่งมาตรงหน้าหานลี่อย่างนอบน้อม

หานลี่มองเด็กหญิงผู้นั้นแวบหนึ่ง เห็นนางมีสีหน้าแดงระเรื่อ ใบหน้าเต็มไปด้วยสีหน้าตื่นเต้นดีใจ

ก็ไม่แปลกที่เด็กหญิงจะมีสีหน้าเช่นนี้!

แม้ว่านางจะรู้ว่าหานลี่เป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ แต่กลับไม่เคยเผยอิทธิฤทธิ์อันใดออกมาต่อหน้านาง ยามนี้เห็นอาจารย์ของตนมีพลังปราณที่น่าเหลือเชื่อ จะรู้สึกดีใจแค่ไหนแค่คิดก็รู้แล้ว

หานลี่หัวเราะน้อยๆ ออกมา รับชาวิญญาณมาลิ้มรสอึกหนึ่ง

ยามนี้เซียนเสี่ยวเฟิงและอาวุโสเซียวที่อยู่ด้านข้างกำลังตกตะลึงกับอิทธิฤทธิ์ของหานลี่ ในเวลาเดียวกันก็รู้สึกยินดีอย่างเหลือเชื่อ

จนถึงยามนี้ตำแหน่งของตระกูลจิตวิญญาณเที่ยงแท้ของตระกูลกู่ ถึงจะไม่สั่นคลอนอีกครั้งอย่างแท้จริง

ทุกอย่างต่อจากนี้กลับง่ายดายขึ้นมาก

เพราะว่าพวกเขาต่างรู้พละกำลังของแต่ละตระกูล จึงไม่ค่อยเกิดเหตุการณ์การท้าประลองขึ้นมากนัก

หลังจากมีการประลองแค่สองสามครั้ง การแข่งขันจัดอันดับก็จบลง

เรื่องราวต่อจากนี้ ก็เป็นการมอบแผ่นป้ายที่ถูกสร้างขึ้นจากอสูรหมื่นวิญญาณและทรัพยากรรวมทั้งผลประโยชน์ให้กับตระกูลต่างๆ ตามลำดับของตระกูลต่างๆ

สถานการณ์จากนี้ย่อมไม่ใช่เรื่องของหานลี่แล้ว ล้วนเป็นหน้าที่ของเซียนเสี่ยวเฟิงและอาวุโสเซียวผู้ดูแลตระกูลกู่

หานลี่นั่งนิ่งอยู่บนเก้าอี้ มองผู้บำเพ็ญเพียรที่นั่งอยู่บนแท่นหมื่นวิญญาณ กำลังถกปัญหากันไปมาไม่หยุด ก็อดที่จะกระตุกมุมปากขึ้นเล็กน้อยไม่ได้

อาวุโสผู้ดูแลตระกูลเหล่านั้นไม่มีบุคลิกเลยสักนิด การแบ่งปันทรัพยากร ต่อให้ถอยให้เพียงเล็กน้อย ก็เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ที่น่าตกตะลึง แน่นอนว่าย่อมไม่ยอมให้ตระกูลใดๆ

นี่เป็นสถานการณ์ที่แต่ละตระกูลถูกจัดเรียงอันดับ มิเช่นนั้นต่อให้แย่งชิงกันสามวันสามคืน เกรงว่าก็คงไม่มีทางมีความเห็นตรงกันได้

ทว่าสิ่งมีชีวิตระดับผสานอินทรีย์เหล่านี้ย่อมไม่มีทางแย่งชิงกันอย่างเสียมาดได้ แต่จะนั่งอยู่ด้านล่างแท่นหิน รอผลตัดสินครั้งสุดท้ายอย่างเงียบๆ

ผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์หนึ่งในนั้นยังคงใช้สายตาประหลาดใจพิจารณาเขาไม่หยุด

โชคดีที่ครั้งนี้สายตาของคนเหล่านี้ย่อมไม่กล้าแฝงไว้ด้วยเจตนาร้าย หานลี่จึงหลับตาทำสมาธิแสร้งทำเป็นไม่รับรู้

“ร่างแยกที่สอง เทวรูปร่างทอง! อิทธิฤทธิ์ของสหายหาน เกรงว่าจะไม่ได้มีแค่ที่แสดงออกมาบนเวทีสินะ!” ฉับพลันนั้นข้างหูก็มีเสียงราบเรียบดังขึ้นที่ข้างหู นั่นคือเสียงของบรรพชนตระกูลหล่ง

“อ๋อ อิทธิฤทธิ์ของพี่หล่ง ก็ไม่มีทางมีแค่ครึ่งมังกรสินะ” หานลี่ได้ยินพลันหน้าเปลี่ยนสี สายตากวาดไปมองบรรพชนตระกูลหล่งแวบหนึ่ง ริมฝีปากขยับเล็กน้อย แล้วถ่ายทอดเสียงออกไปอย่างราบเรียบเช่นกัน

“นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว ทว่าอิทธิฤทธิ์ของพี่หานเหนือกว่าที่ผู้แซ่หล่งคาดเอาไว้ ไม่ทราบว่าพี่หานและเกาะศักดิ์สิทธิ์มีความสัมพันธ์อันใดกัน?” บรรพชนตระกูลหล่งเงียบขรึมไปชั่วครู่ ฉับพลันนั้นก็เอ่ยปากปัญหาที่ทำให้หานลี่ตกตะลึง