ภาคที่ 3 ขยายแผนการอันยิ่งใหญ่ ตอนที่ 41.2 วิธีเป็นสมาชิกของพันธมิตรหมื่นเซียน (2)

กาลหนึ่งเคยมีเขากระบี่วิญญาณ

ตอนที่ 41 วิธีเป็นสมาชิกของพันธมิตรหมื่นเซียน (2) โดย Ink Stone_Fantasy

 

“จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร” หวังลู่เหยียดยิ้ม “พวกเขาได้รับแค่ส่วนแบ่ง ถ้าจะให้พวกกังฉินที่ยึดถือแค่เรื่องเงินมาบริหารสำนักภูมิปัญญา เช่นนั้นสำนักก็ได้ล่มจมกันพอดี”

“หากเจ้าไม่ยอมให้หอนภาเร้นลับเข้ามาบริหารสำนัก แล้วพวกเขายินดีมอบเงินให้เจ้ามาลงทุนได้อย่างไร”

หวังลู่กล่าวตอบ “ข้าถึงได้ลงนามในสัญญาว่าจะมอบส่วนแบ่งสูงๆ ให้พวกเขาเป็นเวลาสิบปี หากส่วนแบ่งของหอนภาเร้นลับได้ตามเป้าที่กำหนดไว้ภายในสิบปีนี้ พวกเขาจะเข้ามาจุ้นจ้านในสำนักไม่ได้ แต่หากไม่ถึง ข้าต้องยอมให้พวกเขาเข้ามาจัดแจงสำนักได้ตามใจชอบ พวกเขาอยากจะฆ่าห่านที่ออกไข่เป็นทองคำ หรือยอมให้ห่านออกไข่ต่อไป ทั้งหมดทั้งมวลก็ขึ้นอยู่กับพวกเขาเลย”

หลิวเสี่ยนยังไม่ค่อยเชื่อ “ถึงอย่างนั้น แต่ด้วยขนาดของสำนักภูมิปัญญาแล้ว การเกลี้ยกล่อมให้พวกเขายอมให้เงินลงทุนถึงสองล้านมันก็ช่าง…”

หวังลู่หัวเราะ “เพราะหัวหน้าหน่วยประชาสัมพันธ์ของเราทำงานได้อย่างดีเยี่ยมยังไงเล่า”

เมื่อนึกถึงใบหน้าทรงเสน่ห์ของหญิงสาวที่อยู่อีกด้านของญาณทิพย์หยก หลิวเสี่ยนก็ย่นคิ้ว ในใจก็เข้าใจได้ว่าการทำธุรกิจของหอนภาเร้นลับนั้นช่างโสมมไม่เบา

ถึงตอนนี้ พวกเขาก็เข้าใจแผนการของหวังลู่อย่างชัดแจ้งอีกฝ่ายทำข้อตกลงกับหอนภาเร้นลับเพื่อเอาเงินมาลงทนุในสำนัก จากนั้นก็เอาเงินลงทุนก้อนนั้นมาติดสินบนเจ้าหน้าที่ของพันธมิตรหมื่นเซียนเพื่อลงทะเบียนสำนักและได้ตรารับรอง เป็นการเปลี่ยนดำเป็นขาว พลิกฟ้าคว่ำดิน เปลี่ยนลัทธิให้เป็นสมาชิกของพันธมิตรหมื่นเซียนจนได้!

ขั้นตอนเหล่านี้นั้นแสนง่ายดาย ทว่าในแต่ละขั้นตอนมีรายละเอียดมากมายจนกล่าวไม่หมด แม้ผู้อาวุโสทั้งสองจะนิ่งเงียบไปพักใหญ่ๆ แต่ก็ยังไม่อาจไล่ความตื่นตระหนกที่บังเกิดขึ้นในใจออกไปได้

หากการที่หวังลู่ซึ่งตอนนี้เป็นเพียงศิษย์ตบะขั้นฝึกปราณระดับหกสามารถใช้ค่ายกลและเส้นฮวงจุ้ยในการต้านการตรวจสอบของกระบี่แห่งสัจจะจะเรียกได้ว่าเป็นปาฏิหาริย์ เช่นนั้นการที่เขาเปลี่ยนลัทธิให้กลายเป็นสำนักที่ถูกต้องได้ก็เกินคำว่าปาฏิหาริย์ไปไกลโข!

หากหวังลู่ไม่ใช่หนึ่งในศิษย์ผู้สืบทอดของสำนักกระบี่วิญญาณ ด้วยสถานะของเขาที่เป็นเจ้าสำนักของสมาชิกแห่งพันธมิตรหมื่นเซียน ในทางทฤษฎีแล้ว เขาอยู่ในตำแหน่งเดียวกับหลิวเสี่ยนและฟางเฮ่อ! แม้ตบะขั้นจะเพียงขั้นฝึกปราณก็ตาม!

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ หลิวเสี่ยนก็อดถอนใจไม่ได้ ก่อนหน้านี้หวังลู่ถามว่าสิ่งที่เขาได้รับเมื่อเทียบกับศิษย์ผู้สืบทอดอีกสองคนเป็นอย่างไร หลิวเสี่ยนต้องยอมรับว่าแม้หวังลู่จะด้อยกว่าอีกสองคนเล็กน้อยในเรื่องการบำเพ็ญเซียน แต่หากใส่สำนักภูมิปัญญาไปด้วย ต่อให้สองคนนั้นรวมกันดูท่าว่าจะไม่อาจเทียบหวังลู่ได้!

ในใจของฟางเฮ่อกลับสับสนยิ่งกว่า แม้จะมีถ้อยคำมากมายซุกซ่อนอยู่ภายใน แต่เขากลับไม่อาจพูดออกมาได้แม้เพียงคำเดียว จนกระทั่งหวังลู่ยิ้มและเอ่ยปากถาม “ท่านลุง ท่านมีอะไรจะพูดกับข้าหรือเปล่า”

ฟางเฮ่อเงียบไปพักใหญ่ “ข้าไม่มีอะไรจะพูด”

ว่ากันตามเหตุผลแล้ว แม้วิธีในการจัดการสิ่งเหล่านี้ของหวังลู่จะยอดเยี่ยม แต่ก็ยังถือว่ามีปัญหา โดยเฉพาะเมื่อเขาได้การรับรองการเป็นสมาชิกพันธมิตรหมื่นเซียนด้วยการติดสินบนเงินก้อนใหญ่ ผู้บำเพ็ญเซียนที่มีจิตยุติธรรมหน้าไหนก็ไม่อาจทำใจยอมรับได้

ทว่าฟางเฮ่อไม่เพียงเป็นทูตแห่งความยุติธรรม ในฐานะผู้อาวุโสฝ่ายวินัยของสำนักกระบี่วิญญาณ ต่อให้สามารถเพิกเฉยต่อกฎของพันธมิตรหมื่นเซียนได้ เขาก็ยังอยากปกป้องความศักดิ์สิทธิ์ของกฎสำนักอยู่ดี ทว่ากฎของสำนักกระบี่วิญญาณไม่ได้ห้ามสมาชิกติดสินบนคนภายนอก…

นอกจากกฎข้อห้ามเรื่องสังหารไม่เลือกหน้า ข่มขืน ลักขโมย และกฎภายนอกด้านศีลธรรมต่างๆ สำนักกระบี่วิญญาณไม่มีข้อห้ามเรื่องการปฏิสัมพันธ์กับคนภายนอกมากมายนัก สิ่งนี้เรียกว่าเข้มงวดภายในปล่อยปละภายนอก หากดูจากวิธีการเพียงอย่างเดียว แม้การกระทำของหวังลู่จะถือว่าเกินขอบเขต แต่เห็นได้ชัดว่าไม่ได้ละเมิดกฎของสำนัก! แม้จะวัดด้วยมาตรฐานที่เข้มงวด อย่างมากสุดหวังลู่ก็เพียงต้องเขียนประเมินตัวเองและถูกหักคะแนนของสำนัก ซึ่งถือเป็นการลงโทษพื้นฐานที่ไม่ได้สลักสำคัญอะไร

เมื่อคิดเรื่องนี้ หลิวเสี่ยนก็อดถามขึ้นมาไม่ได้ “ในเมื่อเจ้าเตรียมการมาถึงขนาดนี้ เหตุใดจึงร้องขอกระบี่แห่งสัจจะเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ด้วยเล่า”

หวังลู่กล่าวอย่างลังเล “เพราะตามแผนแรก แผนในการลงทะเบียนสำนักเพิ่งเริ่มต้นเมื่อไม่กี่เดือนก่อน โชคร้ายที่ท่านลุงทั้งสองมาเร็วเกินไป ทำให้ข้าต้องใช้แผนสำรอง ในเมื่อเราเริ่มต้นทำตามแผนไปบ้างแล้ว อีกทั้งหัวหน้าหน่วยประชาสัมพันธ์ก็ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ บวกกับการที่สำนักภูมิปัญญายอมจ่ายไม่อั้น เราย่อมจัดการเรื่องนี้ได้แน่ ทว่าพันธมิตรหมื่นเซียนต้องการเวลาสามถึงห้าวันในการออกตราประทับทองคำ ดังนั้นเพื่อให้ได้เวลาสามถึงห้าวันเพิ่ม ข้าจึงต้องออกแรงด้วยตนเอง”

หลิวเสี่ยนยิ้มเหน็บ “เช่นนั้นเจ้าจึงร้องขอกระบี่แห่งสัจจะและขอเวลาเตรียมการสามวันสินะ”

หวังลู่กล่าวอย่างจริงใจ “นอกจากนี้หากจำเป็นข้าอาจยอมให้ตัวเองบาดเจ็บสาหัสเพื่อที่จะได้พักรักษาตัวสักสามถึงห้าวัน เพื่อประวิงเวลาไว้ก่อน”

“…เช่นนั้นเจ้าจึงทุ่มสุดตัวโดยไม่จำเป็น!?”

“อย่างไรเสียข้าก็แน่ใจว่าท่านลุงจะไม่ยืนเฉยดูข้าเผชิญวิกฤตเป็นแน่”

หลิวเสี่ยนกัดฟันแน่น พลางคิดในใจว่าเขาน่าจะปล่อยให้เจ้าเด็กระยำนี่ตายๆ ไปเสีย!

คราวนี้ฟางเฮ่อพูดบ้าง “เมื่อกี้ที่เจ้าตื๊อให้ข้าพูดออกมาว่ากฎนั้นยืดหยุ่นได้หรือไม่ และความหมายของลัทธิคืออะไร…เจ้าตั้งใจจะใช้คำพูดข้ามาย้อนตัวข้าเองใช่ไหม”

หวังลู่พยักหน้ายอมรับอย่างง่ายดาย “แม้ตราประทับรับรองการเป็นสมาชิกจากพันธมิตรหมื่นเซียนจะเป็นไพ่ที่ดี แต่ก็ยังรับประกันอะไรไม่ได้ หากไม่มีคำพูดจากปากของท่าน ท่านลุง ข้าก็ไม่อาจรีบหงายไพ่ใบนี้ได้”

ฟางเฮ่อเหยียดยิ้มสองสามรอบ แต่เป็นการยิ้มเย้ยตัวเองเสียมากกว่า “คนอะไรเช่นนี้ วิธีอะไรเช่นนี้!” เขาเงียบไปพักหนึ่งเพื่อใคร่ครวญอะไรบางอย่าง “มิน่าศิษย์น้องห้าถึงดูไม่กังวลเรื่องเจ้าแม้แต่น้อย ทั้งยังเมินเฉยไม่แยแส หนำซ้ำยังยืนกรานอีกว่านี่เป็นเรื่องธุรกิจส่วนตัว ดูท่านางคงคิดไว้แล้วว่าเรื่องมันจะเป็นเช่นนี้”

หวังลู่ไม่ปฏิเสธ ตอนที่เขาพบอาจารย์ของตนในโรงเตี๊ยมเมื่อสามวันก่อน เขาก็ดูออกว่านางเดาแผนการของเขาออกทั้งหมด นั่นเพราะพวกเขาทั้งคู่มีอะไรเหมือนกันเกินไป หากนางเป็นเขา ก็ย่อมใช้วิธีเดียวกัน เช่นนั้นแล้ว การอ่านความคิดตัวเองเพื่อให้รู้ความคิดของอีกคนทำให้หวังอู่คาดเดาวิธีการของหวังลู่ได้อย่างง่ายดาย

หวังลู่ถามกลับ “เช่นนั้นข้าว่าท่านลุงทั้งสองคงไม่มีปัญหาในเรื่องนี้แล้ว”

ฟางเฮ่อนิ่งเงียบไปพักใหญ่ก่อนจะส่ายศีรษะเป็นเชิงว่าเขาไม่มีปัญหา

จากนั้นหลิวเสี่ยนก็พูดเสียงต่ำ “ข้ามีอีกคำถามหนึ่ง เจ้าจะปกครองสำนักไปอีกนานเท่าไร”

ระหว่างที่พูด สายตาของเขาก็ดูเคร่งขรึมขึ้นอีกครั้ง

ในทางทฤษฎี แม้ตอนนี้หวังลู่จะเป็นเจ้าสำนัก ในแต่ฐานะศิษย์ของสำนักกระบี่วิญญาณ เขายังต้องอยู่ภายใต้กฎของสำนักกระบี่วิญญาณอยู่ และตามกฎของสำนักกระบี่วิญญาณ หลังเสร็จสิ้นการออกเดินทางสั่งสมประสบการณ์ เขาต้องกลับขึ้นเขาเพื่อฝึกบำเพ็ญเซียนต่อ จนกว่าขั้นตบะจะถึงขั้นพิสุทธิ์จึงจะสามารถลงจากภูเขาและท่องเที่ยวไปในอาณาจักรเก้าแคว้นได้อย่างอิสระ

ทว่ากลับกัน หากตอนนี้อีกฝ่ายประกาศออกมาว่าตนไม่ได้เป็นศิษย์สำนักกระบี่วิญญาณแล้ว เช่นนั้นอาจมีเพียงท้องฟ้าเท่านั้นที่ขวางกั้นเขาได้! ในเมื่อมีผู้ติดตามถึงหนึ่งล้านคน อำนาจและอิทธิพลในภายภาคหน้าของเด็กคนนี้ย่อมไร้ขีดจำกัดแน่! แม้จะได้ชื่อว่าเป็นคนไร้เกียรติที่ทรยศสำนัก แต่เขาจะไม่ถูกตามล่าสังหารแน่นอน ด้วยอุดมการณ์อันแน่วแน่ของสำนักกระบี่วิญญาณ ย่อมไม่ทำร้ายอีกฝ่ายยามล้มอย่างแน่นอน ดังนั้นราคาที่หวังลู่ต้องจ่ายเพื่อไปจากสำนักกระบี่วิญญาณนั้น เด็กคนนี้สามารถจ่ายได้อย่างแน่นอน

นี่คือสิ่งที่หลิวเสี่ยนจำเป็นต้องถามต่อหวังลู่ เจ้าต้องการอะไรกันแน่

เมื่อได้ยินคำถามนี้ รอยยิ้มของหวังลู่ก็พลันแจ่มใสขึ้น

“ท่านลุง ข้าเป็นนักผจญภัยมืออาชีพ หนึ่งในคุณสมบัติพื้นฐานก็คือความมุ่งมั่น ข้าไม่เคยลืมจุดประสงค์หลักในการก่อตั้งสำนักภูมิปัญญา เช่นนั้นแล้วท่านไม่จำเป็นต้องถามคำถามนี้กับข้า”

สี่เดือนต่อมา หวังลู่ก็กลับไปยังเขากระบี่วิญญาณ

…………………………………………….