ตอนที่ 199-2 คนไม่ดูตาม้าตาเรือระหว่างทางกลับเมืองหลวง

ยอดหญิงสกุลเสิ่น

“คุณชาย เหมือนกับว่ามีคนตามพวกเราอยู่” ฉวยโอกาสตอนที่คุณหนูญาติผู้น้องตั้งใจเลือกของ โอวหยางไน่ก็กล่าวกับเสิ่นเวยอย่างรวดเร็ว

 

 

“มีกี่คน” เสิ่นเวยมองโอวหยางไน่ ถามเงียบๆ

 

 

“สองคน” โอวหยางไน่ทำนิ้วสองนิ้วให้เสิ่นเวย หลังจากนั้นก็เสริมอีกหนึ่งประโยค “ตั้งแต่ที่พวกเราออกจากเหลาสุราก็ตามมาแล้ว”

 

 

นี่ก็หมายความว่าจ้องมองพวกนางมานานแล้วสินะ “ดูคุณหนูญาติผู้น้องไว้” สำหรับตัวนางเอง เหอๆ คนที่มุ่งเป้ามาที่นางจึงจะเป็นพวกเบื่อชีวิต…รนหาที่ตาย

 

 

“แขกทั้งสองท่านโปรดรอสักครู่ ผู้จัดการร้านของเราไปเอาสินค้าล้ำค่าที่สุดในร้านมาแล้ว ไม่อาจทำให้พวกท่านผิดหวังแน่นอน” เด็กในร้านส่งชาเข้ามาอย่างกระตือรือร้น ท่าทางเคารพอย่างยิ่ง

 

 

เสิ่นเวยไม่ได้สนใจ โบกมือไล่เด็กในร้านออกไป หากไม่ใช่ว่าเหอหลินหลินขี้สงสัย นางไหนเลยจะสนใจสินค้าล้ำค่าที่สุดในร้านอะไรนั่น ของดีๆ ใน**บเครื่องประดับนางเยอะจะตายไป ไหนเลยจะสนใจสินค้าล้ำค่าที่สุดของร้านเครื่องประดับแห่งนี้ ในเมื่อลูกผู้น้องสนใจ เช่นนั้นก็ดูสักหน่อยเถอะ ถือเสียว่าพักเท้า

 

 

เสิ่นเวยยกแก้วชาขึ้น เพิ่งจะจรดริมฝีปากก็หยุดชะงัก ทันใดนั้นก็กลับเป็นปกติ เม้มปากเบาๆ หลังจากนั้นนางก็ใช้ฝาแก้วเกลี่ยฟองชา จากนั้นก็เม้มปากอีกครา หางตาของนางมองเห็นเด็กในร้านที่ส่งชาเข้ามาก่อนหน้านี้คล้ายถอนหายใจอย่างแรงคราหนึ่ง จึงมั่นใจได้ว่าในน้ำชาผิดปกติจริงๆ

 

 

นางวางแก้วชาลงด้วยสีหน้าเรียบเฉย แสร้งมองไปรอบๆ ตามอำเภอใจ อาศัยตอนที่ชื่นชมทิวทัศน์ โยนถุงถักหนึ่งใบตรงเอวลงไปเงียบๆ ในใจนางคิดคำนวณว่าน่าจะเข้ามาในร้านมืดแล้ว หรือว่าร้านค้าแห่งนี้จะเป็นคนเดียวกับคนที่แกะรอยตามนางก่อนหน้านี้

 

 

ขณะที่กำลังคิด ก็เห็นลูกผู้น้องเหอหลินหลินดึงชายเสื้อของนางเบาๆ กล่าวเสียงเล็ก “ท่านพี่ ข้า ข้า…” ใบหน้าของนางแดงเล็กน้อย ขยับตัวอย่างไม่เป็นธรรมชาติ

 

 

เสิ่นเวยเข้าใจในทันที กล่าวกับเหอฮวาที่ยืนอยู่ข้างๆ “เหอฮวา พาคุณหนูญาติผู้น้องไปเข้าห้องน้ำ”

 

 

ชั่วขณะเหอหลินหลินก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก ยิ้มให้เสิ่นเวยอย่างเคอะเขิน เดินตามเหอฮวาออกไป เสิ่นเวยเห็นชาแก้วนั้นของเหอหลินหลินหมดไปครึ่งหนึ่งแล้ว คิ้วก็อดขมวดมุ่นไม่ได้ เสียดายเงียบๆ ในใจ ตนสะเพร่าไป ควรจะให้เย่ว์กุ้ยตามไปมากกว่า ตัวนางเองไม่กลัว แต่หากลูกผู้น้องเป็นอะไรไป ท่านอาคงจะเป็นกังวลแย่

 

 

เมื่อคิดเช่นนี้ เสิ่นเวยก็อยากลุกขึ้น เพิ่งจะลุกขึ้นก็รู้สึกมึนศีรษะพักหนึ่ง คล้ายกับยังได้ยินเสียงอุทานตกใจ นางมองไปทางเหอหลินหลินกับเหอฮวา มองเห็นเงาร่างที่คุ้นเคยกะพริบวาบ ด้วยเหตุนี้เสิ่นเวยจึงกระโดดกลับไปที่เก้าอี้ ศีรษะโอนเอนหลายครา ไม่ขยับแล้ว

 

 

เด็กในร้านที่ส่งน้ำชาก่อนหน้านี้ก็วิ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว “คุณชาย คุณชาย คุณชายตื่น” แต่ไม่ว่าเขาจะเขย่าอย่างไร คนผู้นี้บนเก้าอี้ก็ยังคงหายใจช้ายาว หลับสนิทแล้ว

 

 

หนึ่งในเด็กในร้านทั้งสองกล่าว “ไม่ต้องเขย่าแล้ว หมดสติไปนานแล้ว นี่เป็นของดีคุณภาพสูง ใช้เพียงนิดเดียวก็สลบแล้ว เมื่อครู่ข้าเห็นเต็มๆ ตา เด็กคนนี้ดื่มไปสองอึกใหญ่” ในน้ำเสียงของคนผู้นี้พออกพอใจ

 

 

“เช่นนั้นยังจะรออะไร รีบพาคนไปเถอะ นายท่านยังรออยู่ ไม่รู้เหมือนกันว่าฝั่งนั้นจัดการได้แล้วหรือยัง” เด็กในร้านที่ส่งน้ำชากล่าวเสียงต่ำ

 

 

“ยังต้องคิดอีกหรือ เพียงแค่เด็กผู้หญิงสองคน ย่อมต้องจัดการได้อยู่แล้ว”

 

 

ทั้งสองมัดเสิ่นเวย พาออกไปยังที่แห่งหนึ่งด้วยความรวดเร็ว

 

 

โอวหยางไน่ที่อยู่ข้างล่างได้รับข่าวที่เสิ่นเวยส่งมาก็วิ่งขึ้นไปข้างบน แต่น่าเสียดายที่สายไปแล้ว ทันช่วยเพียงคุณหนูญาติผู้น้อง ส่วนคุณหนูของเขากับเหอฮวากลับหายไปไม่เห็นแม้แต่เงาแล้ว

 

 

โอวหยางไน่มองคุณหนูญาติผู้น้องที่หมดสติอยู่ในอ้อมอก คิ้วขมวดเล็กน้อย ลังเลครู่หนึ่งยังคงตัดสินใจส่งคุณหนูญาติผู้น้องกลับโรงเตี๊ยมก่อนแล้วค่อยออกมาหาคุณหนู

 

 

ไม่ใช่ว่าเขาไม่ภักดี แต่เขารู้ซึ้งถึงความสามารถคุณหนูของตน คุณหนูส่งข่าวให้เขาได้ เช่นนั้นก็จะต้องพบว่าผิดปกติก่อนแล้ว ภายใต้สถานการณ์ที่คุณหนูเตรียมการไว้แล้ว สามารถคำนวณได้ว่าคนของนางไม่มีจริงๆ คาดว่าคุณหนูน่าจะเกิดความคิด วางแผนซ้อนแผนแฝงตัวเข้าไปในรังโจรของพวกเขาแล้ว

 

 

เป็นห่วงคุณหนูไม่สู้เป็นห่วงคนไม่ดูตาม้าตาเรือพวกนั้น คุณหนูเพียงแค่อยากทานข้าวพักผ่อนที่ทงโจวหนึ่งคืน ใครกันที่โชคดีดันมายุแหย่หญิงปีศาจอย่างคุณหนูของเขาผู้นี้

 

 

โอวหยางไน่เดาไม่ผิดเลยแม้แต่น้อย ชาแก้วนั้นเสิ่นเวยดูเหมือนดื่มไปสองอึก อันที่จริงนางไม่ได้ดื่มแม้แต่อึกเดียว อีกทั้งยังกินยาถอนพิษไปหนึ่งเม็ดด้วยความระมัดระวังอย่างยิ่ง ดังนั้นตั้งแต่ต้นจนจบเสิ่นเวยจึงมีสติอยู่ตลอด นางเพียงแค่อยากดูว่าใครที่ตาดีเช่นนี้ เหตุใดถึงเล็งเป้ามาที่นาง คงไม่ใช่เห็นว่านางหน้าตาหล่อเหลา อยากจับนางไปขายในที่แบบนั้นหรือ ไม่ได้สิ ตอนนี้นางเป็นลูกท่านหลานเธอ จะขายเป็นนายโลมได้อย่างไร ให้ตายเถอะ ใครตาดีเช่นนี้ มุมปากของเสิ่นเวยกระตุกเล็กน้อย จู่ๆ ในใจก็เกิดความคิดแปลกประหลาด หากคุณชายสวีรู้ว่ามีคนคิดจะขายนางให้หอนายโลม จะขังนางไว้ในจวนไม่ให้ออกมา หรือว่าจะปาดคอคนทั้งหมดที่มุ่งร้ายนาง ไม่รู้เหมือนกันว่าคุณชายใหญ่สวีที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่ข้างนอกจะสบายดีหรือไม่ เหตุใดถึงมานั่งคิดถึงเขาได้

 

 

สวีโย่วที่กำลังนำคนเดินป่าก็จามอย่างแรงสามครั้ง เขาลูบหูที่เริ่มร้อน ความรู้สึกในใจแปลกประหลาดยิ่งนัก คงไม่ใช่ว่าน้องสี่แซ่เสิ่นคนใจดำคนนั้นด่าเขาอีกแล้วหรอกนะ

 

 

ดูสิ อีกไม่นานก็จะเป็นสามีภรรยากันแล้ว ไหนบอกว่าใจสื่อถึงกันมิใช่หรือ ไปไหนแล้วเล่า ไปไหนแล้ว ไปไหนแล้ว ใครอนุญาตให้เจ้าออกจากบ้านกัน

 

 

โอวหยางไน่อุ้มคุณหนูญาติผู้น้องที่หมดสติกลับไปถึงโรงเตี๊ยม พ่อบ้านรองตกใจแทบแย่ “คุณชาย คุณชายเล่า”

 

 

“คุณชายหายไปแล้ว” โอวหยางไน่ตอบอย่างตรงไปตรงมา

 

 

พ่อบ้านรองตื่นตระหนกในชั่วขณะ “อะไรนะ หายไปแล้วหรือ” เสียงของเขาขึ้นสูงทันที “แล้วเจ้ายังไม่รีบไปหาอีกเล่า” ใครๆ ก็บอกว่าคุณหนูสี่เก่งกาจ แต่ต่อให้เก่งกาจนางก็เป็นสตรีเช่นกัน หากคุณหนูสี่เป็นอะไรไป นายท่านผู้เฒ่าโหวจะไม่ถลกหนังเขาหรือ อ้อไม่ ไม่ต้องให้นายท่านผู้เฒ่าโหวลงมือ เขาจะเอาหัวโขกจนตัวตายเอง

 

 

เทียบกับพ่อบ้านรองที่สติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว โอวหยางไน่ก็สงบสติอารมณ์ได้มากแล้ว เขาเรียกเย่ว์กุ้ยกับเถาจือเข้ามา “คุณหนูญาติผู้น้องเพียงแค่ถูกยาสลบ นอนพอแล้วย่อมฟื้น เรื่องนี้อย่าได้ทำให้กูไหน่ไนตื่นตกใจ บอกเพียงแค่คุณหนูญาติผู้น้องเหนื่อยจึงมาพักก่อน ข้าจะไปหาคุณหนู พวกเจ้าสองคนกับแม่นมมั่วดูแลกูไหน่ไนกับคุณหนูญาติผู้น้องให้ดี”

 

 

เย่ว์กุ้ยกับเถาจือไม่เห็นคุณหนูของตนแม้ว่าจะเป็นกังวลอย่างถึงที่สุด แต่กลับไม่มีทางเป็นเหมือนพ่อบ้านรอง พวกนางต่างก็เคยเห็นความสามารถของคุณหนูด้วยตาตัวเองแล้ว แม้แต่มือสังหารยังทำอะไรนางไม่ได้ นับประสาอะไรกับโจรกระจอก สำหรับเหอฮวา ไม่ใช่ว่าพวกนางไม่เป็นห่วง แต่ก็ทราบดีว่า ขอเพียงแค่คุณหนูไม่เป็นอะไร เหอฮวาก็ไม่อาจเกิดเรื่องขึ้นแน่นอน

 

 

เสิ่นเวยถูกคนแบกไปก่อน หลังจากนั้นก็โยนขึ้นไปบนรถม้า รถม้าแข็งอย่างยิ่ง คนที่แบกนางไม่ทะนุถนอมเลยแม้แต่น้อย โยนนางขึ้นไปตรงๆ เจ็บจนนางเกือบจะแสร้งต่อไม่ได้ ให้ตายเถอะ อย่างไรเสียเจ้าก็วางเบาๆ หน่อยไม่ได้หรือ ไม่ใช่ว่าพวกเจ้าชอบเนื้อหนังของข้าหรือไร หากผิวเป็นรอยขีดข่วน ดูสิว่าพวกเจ้าจะบอกนายอย่างไร หึๆ

 

 

เสิ่นเวยกัดฟันบ่นในใจ สาบานเงียบๆ ว่าอีกประเดี๋ยวจะต้องเอาคืนคนที่โยนนางผู้นั้น

 

 

รถม้าเคลื่อนตัวอย่างไม่รีบไม่ร้อน หลังจากนั้นก็หยุดลง ต่อมาก็มีคนแบกเสิ่นเวยออกมา โยนเข้าไปในห้องๆ หนึ่ง

 

 

เสิ่นเวยลืมตาขึ้นเล็กน้อย เห็นว่าฟางบนพื้นยังมีเด็กหนุ่มผู้หนึ่งนอนอยู่ กำลังหมดสติ เขาหันหลังให้เสิ่นเวย มองไม่เห็นว่าเขาหน้าตาเช่นไร แต่ดูจากเสื้อผ้าที่เขาใส่และปิ่นที่รวบผม เด็กหนุ่มคนนี้น่าจะมีฐานะไม่ต่ำต้อย ไม่ใช่คุณชายตระกูลขุนนาง ก็เป็นบุตรในตระกูลที่ร่ำรวย

 

 

เสิ่นเวยเพิ่งจะลุกขึ้นขยับเท้าเล็กน้อย ก็ได้ยินเสียงเท้าดังเข้ามา นางนอนลงแกล้งตายทันที

 

 

ประตูเปิดออก อีกคนผนึ่งถูกโยนเข้ามา หลังจากนั้นเสิ่นเวยก็ได้ยินพวกเขาพูด “เหตุใดถึงโยนสตรีผู้นี้ไว้ในห้องนี้เล่า”

 

 

อีกคนหนึ่งกล่าว “จับผิดคนแล้ว นี่มันสาวใช้ วางไว้ไหนก็เหมือนกันมิใช่หรือ”

 

 

เสิ่นเวยใจเต้น สาวใช้หรือ หรือว่าจะเป็นเหอฮวา เช่นนั้นดูท่าแล้วลูกผู้น้องจะถูกโอวหยางไน่ช่วยไว้แล้ว นางถอนหายใจอย่างอดไม่ได้ ลูกผู้น้องไม่เป็นอะไรก็ดี มิเช่นนั้นนางคงจะไม่มีหน้าไปเจอท่านอาแล้วจริงๆ

 

 

“ใครสนว่านางจะเป็นสาวใช้หรือคุณหนู ขอเพียงแค่หน้าตาดีก็พอแล้ว อย่างไรเสียพวกเราก็รับเงินจากหน้าตา ยิ่งไปกว่านั้นบนหน้าของคุณหนูสาวใช้ผู้นี้ก็ไม่ได้เขียนอะไรไว้ เปลี่ยนเสื้อผ้า ใครจะรู้ว่าเมื่อก่อนนางเป็นใคร”

 

 

“นั่นก็ถูก คนผู้นี้เจ้าต้องดูให้ดี คนผู้นั้นก่อนหน้านี้เป็นของดี ไม่อาจให้เป็นอะไรไปได้”

 

 

“เหอะ ดูน้องพูดเข้า ข้าทำหน้าที่บกพร่องตั้งแต่เมื่อไรกัน วางใจเถอะ เพียงแค่ลูกท่านหลานเธอไร้เรี่ยวแรงเป็นไก่อ่อน แม้เจ้าจะให้เขาวิ่งเขาจะวิ่งไปไหนได้ นับประสาอะไรกับหมดสติ ข้าว่าไม่ถึงพรุ่งนี้เช้าก็คงไม่ตื่นขึ้นมาหรอก”

 

 

“พอแล้ว ข้าไปแล้ว อย่างไรเสียเจ้าก็ระมัดระวังหน่อยแล้วกัน หากเกิดเรื่องจริงๆ ผลลัพธ์หลังจากนี้ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าข้าจะแบกรับได้”