ตอนที่ 2584 การตัดสินใจขั้นสุดท้าย และเส้นทางสู่ขั้นสี่

ซือเฟิงนั้นอดไม่ได้ที่จะลังเล เมื่อเขาเห็นการแจ้งเตือนของระบบ ….

ทั้งคำแนะนำเกี่ยวกับมรดก และการเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับดาบแห่งภัยพิบัติมันก็นับเป็นโอกาสที่หายากอย่างไม่น่าเชื่อ

คำแนะนำเกี่ยวกับมรดกไม่เพียงแต่จะช่วยให้ผู้เล่นสามารถปลดล๊อคศักยภาพสูงสุดของร่างมานาของตัวเองได้ แต่มันยังจะช่วยให้พวกเขามีสิทผ่านทะลุเกณฑ์หนึ่งร้อยเปอเซ็นต์ได้ด้วย เพราะท้ายที่สุดความรู้ของนักบุญแห่งดาบอย่างเอลโวลต์นั้นมีค่าอย่างยิ่ง และตอนนี้ด้วยการที่พวกเทพขั้นหกล้วนเลือกจะอยู่อย่างสันโดษ ตัวตนระดับนี้จึงจัดว่าอยู่ในจุดสูงสุดของ God domain แล้วด้วย

แน่นอนว่าโอกาสที่ได้รับการเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับอาวุธก็มีค่าพอๆกัน

เพราะท้ายที่สุดแล้วการเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับอาวุธแบบนี้นั้นคือการเพิ่มมานาและความเข้ากันได้ของผู้เล่นกับอาวุธ ซึ่งนี่จะสามารถช่วยเพิ่มเอฟเฟคที่ซ่อนอยู่ของอาวุธได้ด้วย

ยกตัวอย่างเช่น หากนักบุญแห่งดาบขั้นห้าที่มีฉายาแบบเอลโวลต์ได้ช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับดาบแห่งภัยพิบัติระดับอีปิคนี้ มันก็จะสามารถแสดงพลังของอาวุธระดับเศษชิ้นส่วนไอเทมระดับตำนานออกมาได้เลย

ซึ่งแม้แต่ผู้เชี่ยวชาญของมหาอำนาจต่างๆก็ยังจะมองว่าอาวุธระดับนี้เป็นระดับพระเจ้า และโดยพื้นฐานแล้วพวกเขาก็แทบจะสามารถใช้งานได้ตลอดทั้งอาชีพของพวกเขาใน God domain โดยข้อจำกัดเรื่องเลเวลของอาวุธนั้นก็ไม่น่ากังวลเช่นกัน เพราะมันเป็นไปได้ที่จะเพิ่มเลเวลให้กับอาวุธระดับอีปิคเลเวลมากกว่าหนึ่งร้อย หรืออาวุธระดับสูงกว่านั้นที่เลเวลนี้ด้วยวิธีการบางอย่าง แม้ว่ามันจะมีราคาแพงมากก็ตาม

ซึ่งนี่เองถึงบอกว่ามันจะเป็นการคุ้มค่ามากๆ หากสามารถใช้อาวุธระดับอีปิคที่มีพลังเทียบเท่ากับเศษชิ้นส่วนไอเทมระดับตำนานได้

ในขณะที่ซือเฟิงกำลังลังเล เขาก็ได้ยินเสียงการแจ้งเตือนของระบบดังขึ้นอีกครั้ง

ระบบ : คุณมีเวลาเหลือหนึ่งนาที หากคุณไม่ตัดสินใจภายในเวลาที่กำหนด ตัวเลือกทั้งสองจะถูกยกเลิก

ด้วยเวลาที่เหลืออยู่เพียงเล็กน้อย ซือเฟิงก็กัดฟันของเขาและเดินเข้าไปหาเอลโวลต์

“ท่านนักบุญแห่งดาบ ฉันหวังที่จะได้รับคำแนะนำเรื่องมรดกจากท่าน” ซือเฟิงกล่าว
อย่างจริงจัง

“คุณแน่ใจงั้นหรอ ? คุณได้ปลดล๊อคศักยภาพร่างมานาของคุณได้หนึ่งร้อยเปอเซ็นต์แล้ว และเมื่อดูจากวิธีที่คุณประสบความสำเร็จ คุณน่าจะได้รับคำแนะนำจากตัวตนที่ทรงพลังอื่นมาแล้ว ฉันคิดว่าคำแนะนำของฉันคงจะช่วยคุณไม่ได้มากนักนะ ในทางตรงกันข้ามการเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับดาบแห่งภัยพิบัติจะช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งของคุณได้อย่างแน่นอน” เอลโวลต์บอกกับซือเฟิงอย่างใจเย็น

“ฉันแน่ใจท่านนักบุญแห่งดาบ” ซือเฟิงกล่าวตอบพลางพยักหน้า

แม้ว่าเขาจะปลดล๊อคศักยภาพร่างมานาของเขาได้หนึ่งร้อยเปอเซ็นต์แล้ว แต่นั่นมันก็ยังไม่พอเพียงพอสำหรับเป้าหมายในอนาคตของเขา เขาจะต้องข้ามผ่านเกณฑ์หนึ่งร้อยเปอเซ็นต์ไปให้ได้ และตัวตนที่ทรงพลังแบบนี้ทุกคนใน God domain ก็ล้วนมีเส้นทางที่แตกต่างกันไป ดังนั้นการได้รับคำแนะนำที่แตกต่าง เขาก็เชื่อว่ามันจะทำให้เขาก้าวผ่านเกณฑ์หนึ่งร้อยเปอเซ็นต์ได้แน่นอน

ที่สำคัญที่สุดคือโอกาสที่เขาจะได้รับคำแนะนำมรดกนั้นมันหายากมาก หากเขาพลาดโอกาสนี้ไป เขาอาจจะไม่ได้รับมันอีก

อีกทั้งพูดกันตรงๆเขามีร่างมานาระดับอีปิค การจะก้าวผ่านเกณฑ์หนึ่งร้อยเปอเซ็นต์ให้ได้นั้นมันจึงยากกว่าร่างระดับต่ำลงไปมากๆ ดังนั้นเขาจึงจำเป็นจะต้องได้รับคำแนะนำในแบบที่แตกต่างจากตัวตนที่ทรงพลังอื่นๆบ้าง เพื่อจะนำไปปรับใช้ให้ตัวเองก้าวผ่านเกณฑ์หนึ่งร้อยเปอเซ็นต์ได้

ซึ่งหากเขาไม่ได้รับคำแนะนำจากตัวตนที่ทรงพลังอื่นๆ โอกาสในเรื่องนี้ของเขาก็จะน้อยมาก แม้ว่าเขาจะมีหัวใจเทพเจ้าคอยช่วยก็ตาม

ดังนั้นเขาจึงไม่มีทางเลือกอื่น ….

แถมพูดกันตรงๆดาบแห่งภัยพิบัตินั้นก็เป็นหนึ่งในชิ้นส่วนของดาบโซโลมอน ซึ่งเมื่อเขารวบรวมมันมาได้ครบแล้ว เขาก็จะต้องนำมันไปสร้างดาบโซโลมอนขึ้นใหม่ และการเพิ่มความแข็งแกร่งให้มันก็จะไร้ประโยชน์ไป หากเขาเลือกตัวเลือกนี้ ….

ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้ซือเฟิงก็ยังมี Abyssal Blade ซึ่งเป็นอาวุธระดับเศษชิ้นส่วนไอเมระดับตำนานอยู่แล้ว ดังนั้นเขาจึงจะไม่ได้ล้าหลังใครเลย เมื่อพูดถึงมาตราฐานของอาวุธ

ที่สำคัญกว่านั้นคือขั้นสามนั้นไม่ใช่จุดจบสำหรับผู้เชี่ยวชาญที่แท้จริง มันเป็นเพียงแค่การเปลี่ยนผ่านเท่านั้น การเข้าไปถึงขั้นสี่ได้จะดีกว่าการได้รับเศษชิ้นส่วนไอเทมระดับตำนานมาซะอีก เพราะมันจะบังเกิดความแตกต่างระหว่างเลเวล และขั้นกับผู้เล่นที่มีทุกอย่างต่ำกว่าอย่างมาก ซึ่งบางทีเศษชิ้นส่วนไอเทมระดับตำนานหนึ่งถึงสองชิ้นนั้นไม่สามารถจะช่วยลดความแตกต่างได้ด้วยซ้ำ

แถมตอนนี้ซือเฟิงก็มีเลเวลหนึ่งร้อยสิบเจ็ดแล้ว เขาอยู่ห่างจากเกณฑ์เลเวลหนึ่งร้อยยี่สิบเพื่อจะทำเควสเลื่อนขั้นเป็นขั้นสี่แค่สามเลเวล

ซึ่งเควสเลื่อนขั้นเป็นขั้นสี่นั้นก็จะทำได้ยากกว่าขั้นสามมาก โดยทั้งสองอยู่ในระดับที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

เควสเลื่อนขั้น ขั้นสาม จะเหมือนกับผู้เล่นต้องไปเผชิญกับดันเจี้ยนโหมดปกติ ขณะที่เควสเลื่อนขั้น ขั้นสี่ นั้นมันจะเหมือนกับผู้เล่นต้องไปเผชิญกับดันเจี้ยนโหมดนรก มันมีความแตกต่างอย่างมากในเชิงคุณภาพระหว่างทั้งสอง

ผู้เชี่ยวชาญชั้นแนวหน้าส่วนใหญ่นั้นจะมาถึงขั้นสามกันแล้ว และแม้ว่าตอนนี้จะยังมีพวกเขาบางส่วนที่ทำไม่ได้ แต่พวกเขาก็จะได้ในตอนที่มีเลเวลหนึ่งร้อยยี่สิบถึงหนึ่งร้อยสามสิบอย่างแน่นอน อย่างไรก็ตามสำหรับขั้นสี่นัน้มันเป็นคนละเรื่อง ผู้เล่นมีสิทจะทำไม่สำเร็จเลยตลอดไป แม้ว่าพวกเขาจะไปถึงเลเวลสองร้อยแล้วก็ตาม

ด้วยเหตุนี้จำนวนผู้เชี่ยวชาญขั้นสี่จึงหายากอย่างไม่น่าเชื่อ แม้แต่ในหมู่มหาอำนาจต่างๆในชีวิตที่ผ่านมาของเขา และใครที่สามารถไปถึงขั้นสี่ได้ก็จะได้กลายเป็นพวกระดับสูงของกิลทันที

ยิ่งไปกว่านั้นการจะทำเควสเลื่อนขั้น ขั้นสี่ให้สำเร็จยังต้องใช้เวลานานมาก และตามสถิติที่ผู้เล่นรวบรวมกันมาในอดีต การจะทำเควสเลื่อนขั้น ขั้นสี่ให้เสร็จนั้นจะต้องใช้เวลาโดยเฉลี่ยหนึ่งถึงสองเดือน

อย่างไรก็ตามซือเฟิงนั้นยังมีการทดสอบของมังกรอย่างออร์เบ็คที่รอเขาอยู่อีก ดังนั้นเขาจึงจำเป็นที่จะต้องรีบหน่อย เพราะหากเขาไม่ไปถึงขั้นสี่ก่อนที่เขาจะทำการทดสอบของออร์เบ็ค โอกาสในการที่เขาจะพิชิตการทดสอบของออร์เบ็คได้มันก็แทบจะเป็นศูนย์ อีกทั้งเขาก็ไม่สามารถจะสูญเสียออร์เบ็คไปได้ เพราะเพื่อนผู้นี้ช่วยให้เขาตั้งตัวได้อย่างมั่นคงในทวีปด้านตะวันตก

ในสถานะปัจจุบันของเขาซือเฟิงคาดว่าเขาจะมีโอกาสสิบถึงยี่สิบเปอเซ็นต์เท่านั้นในการจะทำเควสเลื่อนขั้น ขั้นสี่ให้สำเร็จ ดังนั้นเขาจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องค้วาโอกาสใดๆก็ตามที่เข้ามาที่จะช่วยเพิ่มโอกาสให้เขาโดยเร็วที่สุด

“ดูเหมือนว่าคุณจะตัดสินใจเลือกเส้นทางของคุณแล้ว …” เอลโวลต์กล่าวและมองไปยังนักดาบตรงหน้าของเขาในแบบที่แตกต่างออกไป ตอนนี้เขาไม่ได้มองว่าซือเฟิงนั้นเป็นคนอ่อนแออีกต่อไปแล้ว แต่เขามองในฐานะที่เท่าเทียมกัน จากนั้นเขาก็หยิบบอลคริสตัลขึ้นมามอบให้กับซือเฟิงและพูดว่า “นี่เป็นประสบการณ์ที่ฉันได้รับในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ฉันหวังว่ามันจะช่วยคุณได้บ้าง …”

หลังจากนั้นเอลโวลต์ และ NPC ขั้นสี่สองคนข้างเขาก็กลายเป็นลำแสงและหายออกไปจากเมืองพิษ ขณะที่ซือเฟิงก็ทำการเก็บดาบแห่งภัยพิบัติเข้ากระเป๋าของเขาโดยไม่คิดจะนำมันออกมาใช้

ดาบแห่งภัยพิบัตินั้นต่างจากอาวุธทั่วไป มันจะเปลี่ยนมานาของผู้ใช้ให้เป็นพลังแห่งความตายที่หนาแน่น ซึ่งมันจะส่งผลต่อผู้เล่นทุกคนที่สัมผัสกับมันนอกเหนือจากผู้ใช้ และเพียงแค่เอาเข้าฝักเก็บไว้เฉยๆไม่ได้อยู่ในกระเป๋า มันก็จะส่งผลกระทบต่อผู้เล่นคนอื่นได้แล้ว ดังนั้นมันจึงไม่ใช่อาวุธที่จะสามารถนำออกมาใช้ได้ทั่วไป นี่ก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ซือเฟิงจะปฎิเสธการเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับดาบแห่งภัยพิบัติ

“หัวหน้ากิล เรารวบรวมไอเทมที่ดรอปจากบอสมาเรียบร้อยแล้ว …” อควาโรสรายงานด้วยความตื่นเต้น เมื่อเห็นว่าซือเฟิงคุยกับเอลโวลต์เสร็จ “ครั้งนี้เราเก็บเกี่ยวได้ค่อนข้างมากเลยทีเดียว นอกเหนือจากเสื้อคลุมนักเวทย์ที่มีชื่อว่า Undead’s Will ที่เป็นเศษชิ้นส่วนไอเทมระดับตำนานแล้ว อันเดธตัวนี้ยังดรอปอาวุธระดับอีปิคออกมาได้อีกสองชิ้น ได้แก่คทาและกริช ขณะที่มันก็มีเซ็ทเนเธอร์ที่เป็นเซ็ทอุปกรณ์ขั้นสามสำหรับนักเวทย์ครบเซ็ทดรอปด้วย แถมมันยังมีวัสดุและสูตรอีกมากมายที่ดรอป ซึ่งตามความต้องการของหัวหน้ากิลเราได้จัดประมูลภายในสำหรับอาวุธระดับอีปิคแล้ว และบลูฟอร์สก็ได้รับคทาไป ขณะที่ฟลายอิ้งชาโด้วได้รับกริชไป แล้วเราจะทำยังไงกับเซ็ทอุปกรณ์ขั้นสามนี้ กับ Undead’s Will ?”

“มอบ Undead’s Will ให้กับบลูฟอร์สไป เขาจำเป็นจะต้องควบคุมสถานการณ์ต่างๆในดาร์คเดน และต่อกรกับมหาอำนาจต่างๆ นี่มันจะช่วยทำให้งานของเขาง่ายขึ้น” ซือเฟิงกล่าวหลังจากครุ่นคิด

ก่อนที่ซือเฟิงจะทันได้พูดอะไรต่อกับอควาโรส บลูเรนโบว์จากดาร์ครัปโซดี้ก็เดินเข้ามาหาเขาและกล่าวอย่างเป็นห่วงว่า “หัวหน้ากิลแบล๊คเฟรม ฉันพึ่งได้รับรายงานมาว่าทีมพันธมิตรของหัวใจปีศาจได้ไปถึงบอสตัวที่สามของชั้นหนึ่งและเริ่มการโจมตีแล้ว และดูจากรูปการณ์ พวกเขาก็มีโอกาสสูงมากที่จะล้มมันได้ …”

ชั้นหนึ่งของหอคอยเทพโบราณนั้นมีบอสทั้งหมดสี่ตัว หากทีมพันธมิตรของหัวใจปีศาจสามารถจะเอาชนะบอสตัวที่สามได้ มันก็แทบจะรับประกันว่าพวกเขาจะสามารถเอาชนะบอสตัวสุดท้ายได้เช่นกัน

“ความเร็วในการโจมตีของพวกเขานั้นน่าทึ่งมากจริงๆ !!” ซือเฟิงเองก็รู้สึกประหลาดใจมากเช่นกัน เมื่อได้ยินเรื่องนี้ เพราะแต่ละชั้นของหอคอยทดสอบนั้นมีขนาดใหญ่พอๆกับแผนที่ทรัพยากรขนาดเล็ก ดังนั้นการค้นหาบอสจึงไม่ใช่เรื่องง่าย อย่างไรก็ตามซือเฟิงก็หัวเราะเบาๆ และให้ความมั่นใจกับบลูเรนโบว์ว่า “โชคดีที่เราทำงานของเราที่นี่เสร็จแล้ว ดังนั้นมันก็ได้เวลาจะกลับไปจัดการที่นั่นสักที …!!”